วันที่ 15 สิงหาคม 2568 ผู้ช่วยศาสตราจารย์นพดล อินนา สมาชิกวุฒิสภา ส่งหนังสือกระทู้ถาม น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กรณีของพนักงานสอบสวนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับข้อสั่งการให้เข้าไปตรวจสอบ จัดเก็บข้อมูลวัด พระภิกษุ สามเณร ไวยาวัจกร และผู้อาศัยอยู่ในวัด ทั่วราชอาณาจักร ส่อไปในลักษณะข่มขู่ คุกคาม ตลอดทั้งมีการนำเสนอข่าวเพื่อให้เกิดความอื้อฉาว จนเกิดผล กระทบต่อภาพลักษณ์ของคณะสงฆ์และวงการพระพุทธศาสนา อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการระงับยับยั้งไม่ให้มีการกระทำอันไม่สมควรเช่นนั้นอีกต่อไป โดยมี รายละเอียดว่า
ตามที่ปรากฏเป็นข่าวผ่านสื่อสารมวลชนทุกแขนงเรื่อยมาเป็นเวลากว่า ๓ เดือนแล้วว่าได้มีพนักงานสอบสวนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อ้างข้อสั่งการจากผู้บังคับบัญชาระดับสูงให้เข้าไปจัดเก็บข้อมูล เกี่ยวกับวัด พระภิกษุ ข้อมูลพื้นฐานของวัดในพื้นที่ต่าง ๆทั่ว ราชอาณาจักร แล้วมีการออกมาให้ข่าวผ่านสื่อสารมวลชน เป็นระยะ ๆ โดยที่ยังมิได้มีการตั้งข้อกล่าวหาใด ๆ แต่สาธารณชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารจากการแถลงข่าว ของพนักงานสอบสวน จนเกิดความเข้าใจไขว้เขว และอาจเข้าใจผิดไปได้ว่า พระภิกษุสามเณรในปัจจุบันจำนวนมาก มีการกระทำที่ไม่สุจริต ทั้ง ๆที่ข้อเท็จจริงก็เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าพระภิกษุสามเณรที่พำนักอยู่ในวัดและ สำนักสงฆ์ทั่วราชอาณาจักรซึ่งมีจำนวนร่วม ๓๐๐,๐๐๐ รูป อาจจะมีบางรูปมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมแก่สมณสารูป บ้าง แต่ไม่ใช่เหมารวมทั้งหมด ซึ่งก็ไม่แตกต่างจากข้าราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีทั้งสุจริตและไม่สุจริต ปะปนกันไปเป็นธรรมดาของปุถุชน
ดังนั้น เพื่อเป็นการธำรงไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติที่ประกอบไปด้วย ชาติ พระศาสนา และพระมหากษัตริย์ ข้าพเจ้าในฐานะที่อดีตเคยดำรงตำแหน่งกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ ประเภทผู้ทรงคุณวุฒิด้านพัฒนาองค์กร (ก.ต.ช.) และเป็นประธานคณะอนุกรรมการนโยบบายตำรวจแห่งชาติ (อ.ก.ต.ช.) ด้านการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ จึงขอเรียนถามนายกรัฐมนตรีในฐานะที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามที่กฎหมายกำหนด ดังต่อไปนี้
๑) นายกรัฐมนตรี ทราบหรือไม่ว่า จากสภาพการณ์ในปัจจุบัน ได้มีพนักงานสอบสวนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ได้รับข้อสั่งการมาจากหน่วยงานต่าง ๆ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อาทีเช่น กองบัญชาการ ตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปป.) กองบัญชาการดำรวจภูธรภาคต่าง ๆได้เข้าไปตรวจค้นเอกสารต่าง ๆในวัด บันทึก ข้อมูลส่วนตัวของพระภิกษุสามเณร โดยมิได้มีหมายค้น หรือเอกสารใด ๆที่แสดงถึงความสุจริตของพนักงานสอบสวนมาแสดงต่อพระภิกษุสามเณรหรือเจ้าอาวาสของวัดดังกล่าวนั้นๆ
นายกรัฐมนตรีทราบหรือไม่ว่า การกระทำเช่นนี้ นอกจากเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้วยังอาจถือได้ว่าเป็นการคุกคามข่มขู่ทางอ้อม โดยอาศัยนักข่าวที่มีความคุ้นเคยกับตนเป็นคนนำเสนอข่าวไปในทำนองเชิงลบกับพระภิกษุสามเณร หากไม่ทราบ ก็สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องมอบหมายให้รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีที่กำกับราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการทักท้วงไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติโดยด่วน
๒) จากกรณีที่ได้มีการกระทำของพนักงานสอบสวน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้กระทำการต่อ พระภิกษุสามเณรส่อไปในลักษณะ “เกินกว่าเหตุ” อาทิเช่น บุกเข้าไปในวัดยามวิกาลโดยอ้างว่าจะเข้าไปขอข้อมูล พร้อมทั้งพกพาอาวุธประจำกาย เข้าไปในวัดจนทำให้พระภิกษุสามเณรเกิดความหวาดกลัว อีกทั้งยังให้พระภิกษุ สามเณรรูปนั้น ๆ ถือบัตรประจำตัวแล้วถ่ายภาพ คล้ายกับเป็นผู้ต้องหาไปแล้ว ตลอดจนมีการใช้ถ้อยคำและวาจา ที่ไม่เหมาะสมกับพระภิกษุสามเณร เมื่อข้อเท็จจริงได้ปรากฏเป็นเช่นนี้ นายกรัฐมนตรีจะมีแนวทางแก้ไขปัญหา ประการใดได้บ้างที่จะป้องกันมิให้พนักงานสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติกระทำการอันไม่งามดังกล่าวแล้วข้างต้น อีกต่อไป
๓) ได้เกิดกรณีที่พนักงานสอบสวน ระดับชั้นผู้ใหญ่ใช้กลวิธีการกดดันให้เจ้าอาวาสและพระภิกษุ ที่ดำรงตำแหน่งเป็นพระสังฆาธิการบางจังหวัดลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาส ด้วยวิธีการต่อรองไปในทำนองว่า หากไม่ลาออกจะแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีในอีกเรื่องหนึ่ง โดยการแอบอ้างว่าการดำเนินคดีในอีกเรื่องหนึ่งนั้น ได้รับคำสั่งกันมาเป็นทอด ๆ ซึ่งการกระทำเยี่ยงนี้ไม่ควรมีอยู่ในข้าราชการทุกระดับของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอถามว่า นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้กำกับราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะมีนโยบายแช่นไรที่จะสื่อสารไปถึง ผู้บัญชาการดำรวจแห่งชาติดำเนินการตามอำนาจหน้าที่โดยเร่งด่วนต่อไป
๔) ในทางการบริหารราชการแผ่นดินที่นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร จำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องแจ้งเป็นนโยบายให้ผู้บัญชาการตำราวจแห่งชาติได้ทราบว่า พนักงานสอบสวนถือเป็นเจ้าพนักงาน ตามกระบวนการยุติธรรมที่มีกฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่า หากเจ้าพนักงานตามกระบวนการยุติธรรมกระทำผิดเสียเอง เช่นดำเนินการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และอาจมีพระภิกษุสามเณรบางรูป ใช้สิทธิทางศาลยุติธรรมหากการกระทำนั้น ๆ เป็นความผิดชัดแจ้งอันเป็นที่ยุติแล้ว พนักงานสอบสวนรายนั้น ๆ จะต้องได้รับการระวางโทษเป็น ๒ เท่าของบทลงโทษตามปกติ นายกรัฐมนตรีจะเร่งรีบดำเนินการต่อไปในทางใด ได้บ้าง ขอทราบรายละเอียด
๕) นายกรัฐมนตรีทราบหรือไม่ว่า รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ใด้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๒๒ /๒๕๖๘ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามภัยคุกคามและ เสริมสร้างความมันคงในพระพุทธศาสนา สั่ง ณ วันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๖๘ โดยมีผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นประธานกรรมการ และองค์ประกอบคณะกรรมการรวมจำนวน ๒๕ ท่าน ซึ่งเมื่อได้พิจารณาถึงอำนาจ และหน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้แล้ว เห็นว่า การแต่งตั้งตามคำสั่งดังกล่าวนี้ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น ต่อคณะสงฆ์ เพราะเป็นการทำหน้าที่ซํ้าข้อนกับหน้าที่ของมหาเถรสมาคมอย่างแจ้งขัด และยังเป็นการทำลาย เกียรติภูมิของมหาเถรสมาคม ซึ่งมีเจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเป็นประธาน จึงขอเรียนถามว่า นายกรัฐมนตรีเมื่อทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้แล้ว จะพิจารณา ยกเลิกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๒๒/๒๕๖๘ นี้ได้เมื่อใด เพราะนอกจากเป็นการซ้ำซ้อนดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ยังอาจเกิดผลกระทบในวงกว้าง สร้างความระส่ำระสายให้ขยายตัวไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด ขอให้ตอบในราชกิจจานุเบกษา
พร้อมกันนี้ได้ส่งเอกสารสำเนาไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติด้วย เช่นกัน
แหล่งที่มา :
https://thebuddh.com/?p=90915
สว. ตั้งกระทู้ถามนายกรัฐมนตรี 5 คำถาม กรณี “ตำรวจขอข้อมูลวัด” แฉ!!อาศัยนักข่าวที่คุ้นเคยเสนอข่าวพระในเชิงลบ??
แหล่งที่มา : https://thebuddh.com/?p=90915