ส.ส.จอมกระทู้ "นิยม เวชกามา" ชี้พิรุธกรณีตำรวจจับกุมพระ

นายนิยม เวชกามา ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย ตั้งกระทู้ถามถึงนายกรัฐมนตรีเรื่องการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นการแสดงส่อไปในทางที่อาจมีวาระซ่อนเร้นและเป็นการแสดงพฤติการณ์ที่อาจเข้าข่ายการกระทำเกินกว่าเหตุ ทำให้เกิดผลกระทบต่อวงการพระพุทธศาสนา โดยมีรายละเอียดระบุว่า

เป็นข่าวฮือฮากันเมื่อสัปดาห์ก่อน เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดปฏิบัติการ “ล้างบาปปราบอลัชชี ทุจริตเงินทอนวัด” ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหากับพระสิทธิวรนายก (ประเชิญ เมืองเกษม) เจ้าอาวาสวัดเขาทุเรียน และรองเจ้าคณะจังหวัดนครนายก ต.เขาพระ อ.เมือง จ.นครนายก ในข้อหาว่าร่วมกับนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีตผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและพวกได้ร่วมกันทุจริตเงินอุดหนุนที่ได้รับอนุมัติให้วัดในพื้นที่จ.นครนายก จำนวน ๑๒ วัดและมีการแถลงข่าวเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ 
         การแถลงข่าวของเจ้าหน้าที่ตำรวจในกรณีดังกล่าว มีข้อพิรุธหลายประการ สมควรอย่างยิ่งที่นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของสนง.ตำรวจแห่งชาติจะต้องแสดงความรับผิดชอบและต้องคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อวงการพระพุทธศาสนา เพราะหากมีการกระทำผิดจริงๆ โดยไม่มีการบิดเบือนข้อเท็จจริง ก็เป็นเรื่องที่กระบวนการยุติธรรมจะดำเนินการไปตามเนื้อผ้า แต่ข้อพิรุธต่างๆนายกรัฐมนตรีจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้
         จึงขอเรียนถามว่า ๑) จากกรณีที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กล่าวอ้างว่า ได้มีผู้ร้องเรียนว่า พระภิกษุรูปดังกล่าวกระทำความผิด ขอทราบว่า บุคคลผู้ร้องเรียนเป็นผู้ใด ร้องเรียนไปยังหน่วยงานใด เคยมีเรื่องบาดหมางกับผู้ถูกร้องเรียนอย่างไรหรือไม่ นับถือศาสนาใด ขอทราบรายละเอียด
         ๒) ได้มีกรณีที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งว่า เจ้าพนักงานตำรวจยัดเยียดความผิดให้ผู้ถูกกล่าวหาด้วยการสร้างพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ อาทิเช่น นำยาเสพติดให้โทษจำนวนหนึ่งซุกซ่อนไว้ในที่ที่ผู้ต้องหาไม่ทราบเรื่องมาก่อน แล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจแสดงตนเข้าจับกุม การกระทำเยี่ยงนี้ได้ปรากฏขึ้นบ่อยครั้งจนเป็นที่ทราบกันดีในหมู่ประชาชน และเมื่อไม่นานมานี้เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ไปดำเนินการเช่นเดียวกันกับพระภิกษุในพระอารามหลายพระอาราม หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมก็ออกมาแถลงข่าวให้สังคมเข้าใจว่า ข้อเท็จจริงได้มีการพิสูจน์ทราบเรียบร้อยแล้ว ทั้งๆที่ในภายหลังปรากฏข้อเท็จจริงอย่างแจ้งชัดว่า มิได้เป็นเช่นที่แจ้งข้อกล่าวหา นายกรัฐมนตรีทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้อย่างไรหรือไม่ หากทราบแล้วเพราะเหตุใดจึงมิได้ดำเนินการแก้ไขให้เกิดความชัดเจนโดยเร่งด่วน เพราะภาพลักษณ์ในวงการตำรวจไทยวันนี้ตกต่ำลงเป็นลำดับ หากท่านนายกรัฐมนตรีปล่อยทิ้งไว้ ต่อไปข้าราชการตำรวจอาจไม่กล้าแต่งเครื่องแบบปรากฏตัวในที่สาธารณะเหมือนดังเช่นเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๖ ขอคำอธิบายโดยละเอียด
         ๓) ในกรณีที่มีการเข้าตรวจค้น จับกุมพระภิกษุของเจ้าหน้าที่ตำรวจในหลายๆกรณี ได้ปรากฏข้อพิรุธที่สาธารณชนสามารถรับรู้ได้ว่า เจ้าพนักงานตำรวจที่เข้าทำการตรวจค้นหรือจับกุมชุดนั้นๆ พยายามยัดเยียดว่า พระภิกษาในกลุ่มเป้าหมายของตนมีภาพลักษณ์เป็นผู้มีความประพฤติเลวทราม ไม่เหมาะสมกับสมณสารูป เป็นอลัชชีในสายตาชาวพุทธด้วยการกล่าวหาเอาดื้อๆแบบมโนเอาเองว่า เสพเมถุน ดื่มสุราเพื่อสื่อความหมายให้เป็นคนชั่วร้าย ประพฤติผิดอาบัติร้ายแรง สนองวาระซ่อนเร้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจและกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อแสดงให้บุคคลทั่วไปเห็นว่า การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นไปด้วยความถูกต้อง ทั้งๆที่ในบางกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มดังกล่าวนี้ได้รับนโยบายมาว่า ต้องให้เอาผิดให้ได้ จนมีคำพูดว่า “เป็นคดีนโยบาย” ขอถามว่า นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับทราบเรื่องราวข้อเท็จจริงอย่างที่กล่าวมานี้หรือไม่ หากทราบแล้ว จะมีวิธีการแก้ไขอย่างไร หากไม่ทราบ เพราะเหตุใดจึงไม่ทราบ ทั้งๆที่ประชาชนโดยทั่วไปเขาทราบกันมาเป็นเวลานานแล้ว
         ๔) การแถลงข่าวของเจ้าพนักงานตำรวจที่นำโดยผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ ปรากฏภาพข่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการแถลงข่าวในฐานะผู้กล่าวหาพระภิกษาตามที่ปรากฏเป็นข่าวแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยมิได้นำผู้ถูกกล่าวหา หรือทนายความผู้รับมอบอำนาจจากผู้ถูกกล่าวหามาแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อให้สังคมได้รับทราบข้อมูลทั้งสองฝ่ายคือ ฝ่ายผู้กล่าวหา และฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาในเวลาเดียวกัน อันเป็นหลักสากลปฏิบัติ (International Practice) ซึ่งในประเทศที่มีความศิวิไลซ์แล้ว เขาไม่มีการแถลงข่าวใดๆ จากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำการตรวจค้นหรือจับกุม จนกว่ากระบวนการยุติธรรมจะดำเนินการไปจนถึงที่สุดแล้ว เพราะหากมีการกระทำอย่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยกระทำอยู่ในเวลานี้ จะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๖๐ มาตรา ๔ มาตรา ๒๕ มาตรา ๒๗ และมาตรา ๓๒ วรรคแรกอย่างแจ้งชัด ขอถามนายกรัฐมนตรีว่า จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยในประเด็นดังกล่าวนี้โดยด่วนอย่างไรหรือไม่ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นตลอดมาทั้งในอดีตและปัจจุบัน เป็นการประจานประเทศไทยว่า เป็นประเทศที่มีการปล่อยปละละเลยให้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างออกนอกหน้า โดยรัฐบาลทุกรัฐบาลที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มิได้ให้ความคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของปวงชนชาวไทยเลยแม้แต่น้อย แสดงให้เห็นถึงการไม่ทำหน้าที่ของรัฐบาลที่ควรจะต้องทำเป็นลำดับแรกๆ เพื่อปวงชนชาวไทย ขอทราบคำอธิบายจากนายกรัฐมนตรีโดยละเอียด
         ๕) ในหลายๆกรณีที่เกิดขึ้น ตำรวจไทยได้มีการเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน อาทิเช่น หากมีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยกันว่ากระทำความผิด เจ้าหน้าที่ตำรวจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็จะเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาที่เป็นตำรวจด้วยกันออกมานั่งแถลงข่าวร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าทำการจับกุม แต่กับประชาชนทั่วไปมิได้รับสิทธิเช่นนี้ ขอถามนายกรัฐมนตรีว่า กรณีเช่นนี้ จะแก้ไขการเลือกปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างไรหรือไม่ อีกกรณีหนึ่ง ตำรวจไทยในฐานะเนเพียงมือปืนรับจ้างโดยอ้างว่า ได้รับนโยบายจากหน่วยเหนือให้มากล่าวหาประชาชน หรือให้มากล่าวหากพระภิกษุ ทั้งๆที่ตนเองมิได้อยากกระทำเช่นนั้น จนถึงกับบางกรณี มีนักข่าวมาแจ้งว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำการจับกุมทำการเขียนข่าวให้กับนักข่าวเสียเอง ขอถามว่า นายกรัฐมนตรีได้เคยล่วงรู้ในข้อเท็จจริงต่อกรณีนี้อย่างไรหรือไม่ และเมื่อรู้แล้วจากกระทู้ถามนี้ จะดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยด่วนอย่างไรหรือไม่ ขอคำอธิบายโดยละเอียด
         ๖) มีข้อพิจารณาที่จะต้องให้นายกรัฐมนตรีพึงสำเหนียกว่า การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ผ่านมา อาจเข้าองค์ประกอบที่กระทำการเกินกว่าเหตุ กล่าวคือ เป็นการปฏิบัติการในลักษณะละเมิดสิทธิมนุษยชนตามที่มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้อย่างเต็มที่อยู่แล้ว แต่เจ้าพนักงานตำรวจได้ละเลยและไม่นำพาต่อบทบัญญัติดังกล่าวนี้เลย แท้ที่จริงแล้วการจะดำเนินการกับเจ้าหน้าที่รัฐหรือพระภิกษุ หากจะถูกกล่าวหาว่ากระทำการทุจริต ก็ย่อมที่จะสามารถดำเนินการโดยต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามบทบัญญัติมาตรา ๔ ของรัฐธรรมนูญฯ และยังต้องคำนึงถึงบทบัญญัติมาตรา ๒๙ วรรคสองของรัฐธรรมนูญฯประกอบกันด้วย ดังจะเห็นได้จากการดำเนินการกับพระภิกษุที่ผ่านมาในหลายๆวัด เช่น วัดสุทธิวารี จ.จันทบุรี, วัดเขาทุเรียน จ.นครนายก เป็นต้น ต้องถือว่าเนการกระทำที่เกินกว่าเหตุ เพราะขนาดองค์กรอิสระอย่างเช่น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่มีผลงานตรวจสอบการทุจริตทางการเงินในคดีสำคัญๆ ก็ยังไม่ได้กระทำการเยี่ยงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้กระทำการที่ผ่านมานี้ ทั้งๆที่หน่วยงาน ป.ป.ช.ก็มีอำนาจหน้าที่ในการเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ก็ไม่เคยปฏิบัติการเยี่ยงนี้ เพราะการที่เป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหานั้น ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙ วรรคสองอยู่แล้ว ขอเรียนถามนายกรัฐมนตรีว่า พฤติการณ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีจะแก้ไขให้เกิดความชอบด้วยรัฐธรรมนูญได้ด้วยวิธีการใด หากไม่แก้ไขจะอ้างเหตุผลใด ขอคำอธิบายโดยละเอียด
         ขอให้ตอบในราชกิจจานุเบกษา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่