‘ผักโขมอบชีส’ ใน 7-Eleven ขายได้เกือบ ‘10 ล้านกล่อง’
ทำยอด New High ติดกันทุกปี ตั้งเป้าอีก 2 ปี ต้องถึง ‘พันล้าน’
คุยกับ “เรียว-ชณา” เจ้าของและผู้ก่อตั้ง REO’s Deli ผักโขมอบชีส-ลาซานญ่า-มักกะโรนีชีสเบคอน สินค้าขายดีเจ้าดังใน “7-Eleven” พลิกจากพนักงานกินเงินเดือนสู่เจ้าของแบรนด์อาหารอิตาลี ขายดีทำยอด New High ทุกปี ตั้งเป้าไปถึง “พันล้าน” ภายในปี 2570 กางแผนพาบริษัทเข้าตลาดหุ้น-พร้อมติดปีกไปต่างประเทศ
.
“ผักโขมอบชีส” อาหารสัญชาติอิตาเลียนที่คนไทยชื่นชอบ จากที่เคยหากินได้ตามร้านอาหารฝรั่งพอร์ชันหลักร้อยบาท มาวันหนึ่งสินค้าตัวเดียวกันถูกพัฒนาให้มีราคาจับต้องได้ไม่ถึง 40 บาท เข้าไปอยู่บนชั้นวางร้านสะดวกซื้อ “เซเว่น-อีเลฟเว่น” (7-Eleven) จนกลายเป็นสินค้าขายดีติดอันดับ และในเวลาต่อมาได้ขยายไลน์โปรดักต์อื่นๆ เพิ่มเติม กระทั่งปัจจุบัน “REO’s Deli” ของ “เรียว-ชณา วสุวัต” ทำเงินไปแล้ว “363 ล้านบาท” กำไรสุทธิอีก “45 ล้านบาท” และอีกสองปีข้างหน้ายังตั้งเป้าใหญ่ไปให้ถึง “พันล้าน” ด้วย
.
ประสบความสำเร็จกับการทำธุรกิจอาหารแช่เย็น แต่รู้หรือไม่ว่า “ชณา” ไม่ได้คลุกคลีในวงการอาหารมาก่อน ไม่ได้เรียนจบฟู้ดไซน์ แต่ใช้วิธีต่อยอด-พลิกแพลงจากธุรกิจดั้งเดิมของภรรยา แม้ว่าตอนนั้นจะมีหน้าที่การงานมั่นคงในตำแหน่งระดับผู้จัดการฝ่ายการตลาด ดูแลธุรกิจรับจ้างผลิตรองเท้าให้กับเครือใหญ่ เขาตัดสินใจลาออกหันมาเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง โดยมีเส้นในใจว่า ถ้าไม่สำเร็จภายใน 3 ปีก็จะกลับไปหางานประจำทำอีกครั้ง
.
ช่วงแรกที่เปิดบริษัท “ชณา” ตั้งใจเริ่มจากธุรกิจที่เชี่ยวชาญก่อน ซึ่งก็คืองานผลิตรองเท้าโดยเป็นการรับผลิตรายโปรเจกต์ แต่ภรรยาชวนคิดใหม่อยากให้หาธุรกิจที่มีรายได้เข้ามาตลอดไม่ต้องรอเงินก้อนใหญ่หลังจบงาน ประจวบเหมาะกับธุรกิจดั้งเดิมของภรรยาที่เคยทำร้านอาหารมาก่อน ตอนนั้นพอเพื่อนๆ เริ่มรู้ว่า ชณาลาออกมาเปิดบริษัท จึงชักชวนขอให้ทำอาหารเข้ามาวางขายที่ร้านกาแฟ
.
“ชณา” เลือกเมนู “ผักโขมอบชีส” และ “ลาซานญ่า” ทำขายด้วยบรรจุภัณฑ์ขนาดพอเหมาะ ไม่นานก็ได้รับความนิยมมาก จึงคิดต่อยอดหาโอกาสทำขายส่งช่องทางโมเดิร์นเทรด ด้วยไอเดีย “ทำน้อยได้มาก” ยึดจากพื้นฐานที่เคยทำธุรกิจรองเท้ามาก่อน ช่องทางโมเดิร์นเทรดน่าจะดีที่สุด
.
อดีตผู้จัดการฝ่ายการตลาดเริ่มจากนำสินค้าเข้าไปเสนอขายให้ “MaxValu” คอนวีเนียนสโตร์ในเครือ AEON ด้วยเหตุผลเรื่องคลังสินค้าอยู่ใกล้บ้าน “ชณา” เลือก “ผักโขมอบชีส” และ “ลาซานญ่า” ไปเสนอกับฝ่ายจัดซื้อ ปรากฏว่า “MaxValu” ซื้อไอเดีย จึงวางแผนส่งวันละ 300 กล่อง สัปดาห์ละ 2 วัน วันแรกขับรถไปส่งตั้งแต่ตีสามกลับถึงบ้านช่วงเย็นก็ได้รับสายจากฝ่ายจัดซื้อให้นำสินค้าเข้ามาเติมอีกเพราะสินค้าหมดเกลี้ยงแล้ว
.
“ตอนนั้นดีใจปนทรุดเพราะยังไม่ได้นอนเลยตั้งแต่คืนก่อน เป็นอะไรที่ไม่คาดฝัน ตลาดตอบรับกับสินค้าตัวนี้เพราะปกติลาซานญ่าเขาจะเสิร์ฟเป็นแผ่นใหญ่ครึ่งฟุต แต่ผมเสิร์ฟไซซ์ 1 ใน 3 ทำให้ราคาต่อยูนิตมันถูก ตอนนั้นขายราคากล่องละ 59 บาท แต่ถ้าเป็นแผ่นเต็มจะอยู่ที่กล่องละ 175 บาท ราคาต่อหน่วย ต่อกรัม ไม่ได้ถูกลง แต่การควักเงินของลูกค้าประหยัดลง”
.
นอกจากคลังสินค้าใกล้บ้าน “ชณา” บอกว่า ช่องว่างที่ตนมองเห็น คือ “MaxValu” โดดเด่นเรื่องอาหารญี่ปุ่นแต่ยังไม่มีอาหารฝั่งตะวันตกเข้าไปเติมเต็ม สิ่งที่เข้าไปบอกกับฝ่ายจัดซื้อในวันนั้น คือ “แวลู ซอร์สซิ่ง” ขอเป็นคนดูแลอาหารฝั่งเวสเทิร์น หลังจากนั้นก็เริ่มขยายเข้า “Tops” คอนวีเนียนสโตร์ค่ายเซ็นทรัล เข้าไปขายได้ไม่นานก็ติดอันดับสินค้าขายดี ขายได้มากถึงเดือนละ “4 แสนบาท” และไปต่อกับ “Family Mart” จนขึ้นแท่น 1 ใน 5 สินค้าขายดีที่ช่วยดึงดูดลูกค้าเข้าร้านได้
.
หลังเจาะโมเดิร์นเทรดจนเข้าไปอยู่ในคอนวีเนียนสโตร์หลายแห่งสำเร็จ ปี 2562 “ชณา” ก็เจอชาเลนจ์ใหม่อีกครั้งกับการนำสินค้าวางขายใน “เซเว่น-อีเลฟเว่น” ที่ต้องปรับเปลี่ยนตั้งแต่การทำราคา ขนาดสินค้า จนถึงขั้นตอนสำคัญอย่างการอบสินค้า ปัจจุบันสินค้าทุกตัวจาก REO’s Deli ใช้วิธี “No-bake” ไม่ได้ผ่านขั้นตอนเข้าเตาอบเหมือนเดิม
.
“ชณา” เล่าว่า ปกติอาหารทุกตัวของแบรนด์ต้องจบด้วยใส่ถาดฟอยล์แล้วนำเข้าเตาอบ แต่กับเซเว่น-อีเลฟเว่นทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะถาดฟอยล์มีโอกาสบุบสูงในขั้นตอนขนส่งสินค้า เขามองข้ามช็อตแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ถ้าใช้ฟอยล์แล้วบุบก็ไม่ต้องใช้ฟอยล์ จะไม่ใช้ฟอยล์ก็แปลว่า ต้องไม่ผ่านการอบ จึงไปจบที่ปรับสูตรแบบ “No-bake” ผัดผักโขมเสร็จแล้วบรรจุลงถาด ราดซอสชีส อบเฉพาะแผ่นชีสที่ต้องวางโปะด้านบน อบเสร็จค่อยนำชีสมาวางเป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการ
.
ปัจจุบัน “REO’s Deli” ผูกปิ่นโตขายสินค้าที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นแต่เพียงผู้เดียว สินค้ามีทั้งหมด 3 รายการ ได้แก่ ผักโขมอบชีส ลาซานญ่า และมักกะโรนีชีสเบคอน “ชณา” เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” เพิ่มเติมด้วยว่า ภายในปีนี้จะมีสินค้าตัวใหม่วางจำหน่าย แต่จะเป็นอะไรต้องรอลุ้นกันอีกที
.
ทั้งนี้ บริษัท แวลู ซอร์ซซิ่ง จำกัด มีผลประกอบการย้อนหลัง 4 ปี ดังนี้
.
- ปี 2567: รายได้ 363 ล้านบาท กำไรสุทธิ 45 ล้านบาท
- ปี 2566: รายได้ 203 ล้านบาท กำไรสุทธิ 26 ล้านบาท
- ปี 2565: รายได้ 139 ล้านบาท กำไรสุทธิ 14 ล้านบาท
- ปี 2564: รายได้ 105 ล้านบาท กำไรสุทธิ 6.3 ล้านบาท
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ
ผักโขมอบชีส’ ใน 7-Eleven ขายได้เกือบ ‘10 ล้านกล่อง’ ตั้งเป้าพันล้าน ปี 2570