JJNY : ศิริกัญญาชงปรับลดงบ 5หมื่นล.│พริษฐ์ซัดระบบราชการซ้ำซ้อน 3ด้าน│ไอซ์ซัดแรงทุเรศ│วีระเตือนไทยเสี่ยงเจอวิกฤติการคลัง

ศิริกัญญา ชงปรับลดงบ 5 หมื่นล. เก็บกระสุนไว้ใช้ยามวิกฤต ชี้คลังอยู่ในภาวะ 3 เสี่ยง
https://www.khaosod.co.th/politics/news_9890975
.
.
ศิริกัญญา ชงปรับลดงบ 5 หมื่นล้าน เก็บกระสุนไว้ใช้ยามวิกฤต ชี้การคลังไทยอยู่ในภาวะ 3 เสี่ยง เผยหากกู้ตามแผน จีดีพีจะขึ้นไปถึง 69% หนี้สาธรณะอาจชนเพดานในปี 69
.
เมื่อเวลา 09.35 น. วันที่ 13 ส.ค. 2568 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ที่กมธ.พิจารณาเสร็จแล้ว วาระ 2 เข้าสู่การพิจารณารายมาตรา
.
โดยในมาตรา 4 ภาพรวม น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะกมธ. สงวนความเห็น อภิปรายว่า ขอให้มีการปรับลดงบประมาณเพิ่มอีก 50,000 ล้านบาท เหลือ 373,600 ล้านบาท ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติที่เราจะอยากตัดลดงบประมาณเพิ่มในยามที่ประเทศอาจจะยังเผชิญกับวิกฤตคู่ ทั้งด้านเศรษฐกิจ และการปะทะกันในเขตชายแดน ซึ่งเราหวังว่าวิกฤตชายแดนน่าจะจบลงในเร็ววันไม่ยึดเยื้อไปจนถึงปีงบประมาณ 2569
.
แต่วิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้เรามาถึงจุดที่ต้องขอปรับลดงบประมาณลง 50,000 ล้านบาท เพื่อเป็นการเก็บกระสุนไว้ใช้ในยามจำเป็น
.
อีก 3 วันข้างหน้า สมาชิกก็คงจะได้รับฟังว่ามีรายการอะไรบ้าง มีประเด็นใดบ้างของงบประมาณปี 69 ที่ได้จัดทำมาซ้ำซ้อน แพง ไม่จำเป็น และจำเป็นจะต้องปรับลด รีดไขมันออก ต้องชะลอ เลื่อนออกไปก่อน ต้องจัดลำดับความสำคัญกันใหม่ นั่นคือเหตุผลทางด้านงบประมาณ
.
ส่วนดิฉันอยากจะนำเสนอเหตุผลในการปรับลดงบประมาณที่เป็นเหตุผลทางด้านการคลัง จากวิกฤตที่จะเกิดจากสงครามการค้าซึ่งกำลังจะมาถึง ทำให้การคลังของประเทศตกอยู่ในภาวะ 3 เสี่ยง ทั้งด้านรายได้ รายจ่าย และหนี้สาธารณะ” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว
.
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า แนวโน้มเศรษฐกิจที่จัดทำโดยสภาพัฒน์ฯ ที่นำมาเสนอให้กมธ.ได้รับทราบคือประมาณการของจีดีพีในปี 2569 ว่าจากเดิมที่ตอนจัดทำงบประมาณฉบับนี้ประมาณปลายปี 2567 ตอนนั้นจีดีพีคาดการณ์ว่าจะเติบโตที่ 2.8%
.
ล่าสุดเดือนพ.ค.2568 มีการคาดการณ์ว่าในปี 69 จีดีพีจะเติบโตเพียงแค่ 1.6% ลดลงมา 1.2% หลายท่านอาจจะบอกว่าตอนนี้เราทราบอัตราภาษีสหรัฐฯ แล้ว สถานการณ์อาจจะดีขึ้น ซึ่งไม่ได้เป็นเช่นนั้นเพราะหลายสำนักมีการปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจสำหรับปี 2568 ขึ้นเป็น 2.0 , 2.3 , 2.5% บ้าง แต่ยังไม่มีสำนักวิจัยไหนที่ปรับเพิ่มจีดีพีสำหรับปี 2569 เลย
.
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า เสี่ยงแรกที่จะเกิดวิกฤตจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงมากกับรายได้ ประมาณการรายได้ของปี 2569 ใช้ฐานจากจีดีพีที่ 2.8% ทำให้เมื่อจีดีพีปรับลดลงก็จะทำให้การจัดเก็บรายได้ลดลงด้วย จากการประมาณการของสำนักงานเศรษฐกิจการคลังบอกว่า ทุกๆ 1% ที่เป็นจีดีพีราคาประจำปีลดลงจะทำให้รายได้จากการจัดเก็บรายได้ลดลง 0.85%
.
ดังนั้น ถ้าจีดีพีลดลง 1.7% จะทำให้รายได้ที่รัฐบาลจัดเก็บลดลง 1.45% แต่เศรษฐกิจที่จะชะลอตัวจากสงครามการค้าไม่ได้ส่งผลเฉพาะจีดีพีของประเทศเรา แต่ส่งผลต่อจีดีพีทั่วโลก และอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้รายได้ที่เราจัดเก็บลดลง คือราคาน้ำมันที่ลดลงด้วย
.
มีการประมาณการว่าราคาน้ำมันดิบโลกในปี 2569 จะอยู่ระหว่าง 60-68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเท่านั้น ต่างจากที่เคยประมาณการไว้ 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งน่าจะทำให้เราจัดเก็บรายได้ที่ได้จากภาษีเงินได้ปิโตรเลียมและภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าน้ำมันลดลงประมาณ 0.7% เช่นเดียวกัน
.
รวมๆ แล้วแค่สองปัจจัยนี้ก็จะทำให้รัฐจัดเก็บรายได้พลาดเป้าอาจจะเกือบ 64,000 ล้านบาท นี่เป็นเรื่องใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นในปี 2569 อันเนื่องมาจากความผันผวนของเศรษฐกิจที่เกิดจากสงครามการค้า แต่เรื่องเดิมที่เป็นปัญหาของการจัดเก็บรายได้ของประเทศไทยยังคงอยู่
.
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า เรามีปัญหาในเรื่องการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐบาลมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน เราจัดเก็บภาษีได้ประมาณ 15% ของจีดีพี ซึ่งต่ำกว่าหลายๆ ประเทศที่เป็นประเทศในกลุ่มเดียวกับประเทศของเรา
.
ปี 67 รายได้ภายหลังจากภาษีจัดเก็บตกเป้าเกือบ 80,000 ล้านบาท แต่ในท้ายที่สุดสามารถที่จะปิดได้เพราะมีรายได้พิเศษไม่ว่าจะเป็นการให้ปตท.ปันผลก่อนเวลาอันควร หรือบีบให้กองทุนวายุภักษ์ปันผลเพิ่มเติม และกองสลากมีรายได้เพิ่มเติมก็สามารถที่จะปันผลได้เพิ่ม แต่สังเกตว่ารายได้จากรัฐวิสาหกิจในปี 67 เพิ่มขึ้นถึง 25.4 % เรียกว่าเป็นเดอะแบกที่ทำให้เราสามารถปิดหีบในปี 2567 ได้
.
ส่วนปี 68 สถานการณ์ก็ยังคงเหมือนเดิม เรามีแนวโน้มที่จะจัดเก็บภาษีตกเป้าอีกเช่นเคย เฉพาะ 9 เดือนแรกรายได้ภาษีตกเป้าไปแล้วเกือบ 70,000 ล้านบาท เห็นได้ชัดคือกรมสรรพสามิตจัดเก็บภาษีรถยนต์ ภาษีน้ำมัน ภาษียาสูบไม่ได้เลย
.
ส่วนกรมสรรพากร พอเศรษฐกิจตกต่ำก็จะทำให้จัดเก็บภาษีเงินได้ลดลงเช่นเดียวกัน แต่ไม่รู้ว่าปีนี้จะมีเดอะแบกอย่างรัฐวิสาหกิจใดมาช่วยปิดหีบอีกหรือไม่ ถ้าไม่มีก็จะเป็นปัญหาทางการคลังต่อไป
.
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ในปี 2569 ความล่าช้าเรากำลังจะมีปัญหาใหม่มาทั้งที่ปัญหาเดิมยังไม่ได้มีการแก้ไข ถึงแม้จะมีแผนปฏิรูปโครงสร้างภาษีที่จะประกาศประมาณเดือนก.ย. แต่ตอนนี้เรายังไม่เห็น จึงอยากได้จากประธานกมธ.ว่าจะมีแนวทางอย่างไร
.
เพราะปัญหาเดิมๆ ไม่ว่าจะการจัดเก็บภาษีรถยนต์ที่มีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ การที่คนหันไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือการจัดเก็บภาษียาสูบที่มีการเปลี่ยนอัตราใหม่ก็ไม่สามารถจัดเก็บได้เหมือนเดิมอีกต่อไป จึงถือเป็นความเสี่ยงสำคัญทางด้านรายได้ที่เราจะต้องเจอในปี 69
.
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า ความเสี่ยงทางด้านรายจ่าย เมื่อเราต้องเจอกับวิกฤตเศรษฐกิจเราจำเป็นจะต้องมีงบพยุง ฟื้นฟู กระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ไม่ได้มีการเตรียมการเอาไว้ งบกลางในการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ยังอยู่ที่ 25,000 ล้านบาทเท่าเดิม ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงหรือแปรเพิ่มเข้ามาในส่วนนี้
.
ทั้งที่ในปี 68 ไม่มีวิกฤตยังมีงบเกือบ 200,000 ล้านบาทปี ทุนเอฟทีเอที่จะช่วยเหลือเกษตรกรไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเลย และไม่ได้มีการแปรญัตติงบเพิ่มเติมแต่อย่างใด กองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้งบเพิ่มแค่ 5 ล้านบาท ซึ่ง 800 ล้านบาทแทบจะทำอะไรไม่ได้ในช่วงที่เกิดวิกฤต ซึ่งจะทำให้เราไม่มีงบประมาณเหลือจ่ายไปใช้ในการที่จะพยุงหรือฟื้นฟูเศรษฐกิจ
.
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า ความเสี่ยงด้านหนี้สาธารณะที่กำลังจะชนเพดานแล้ว พื้นที่ทางการคลังของเราเหลือไม่มากแล้ว ปัจจุบันเดือนมิ.ย.68 หนี้สาธารณะอยู่ที่ 64% ซึ่งเราคิดว่าน่าจะพอไหวแต่สิ้นปีงบประมาณ ปี 68 ขึ้นอยู่ที่ 66% ในส่วนปี 69 หากกู้ตามที่ได้วางแผนไว้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะขึ้นไปถึง 69% เนื่องมาจากจีดีพีของเรากำลังทดถอยลงเรื่อยๆ ทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีกำลังจะชนเพดานในปี 2569 นี้
.
จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงจะต้องประหยัดงบประมาณในส่วนนี้เพื่อไปสมทบในส่วนหน้า ตนคิดว่าแน่นอนแล้วที่เราจำเป็นจะต้องมีการขยายเพดานหนี้สาธารณะให้เกิน 70% ของจีดีพี และอาจจะต้องมีการออกพ.ร.บ.เงินกู้ หรือเงินกู้ต่างๆ เพื่อมาพยุงเศรษฐกิจในปี 2569
.
เพราะถ้าดูจากยอดปรับลดของปี 69 เพื่อที่จะเกลี่ยงบประมาณใหม่ไปใช้ในสิ่งที่ถูกที่ควร ปรากฏว่าไม่ได้เป็นไปตามนั้น เพราะการพิจารณาที่ผ่านมาปรับลดงบประมาณไปได้เพียง 8,921 ล้านบาท แล้วถูกนำไปเกลี่ยให้กับงบประมาณที่ควรจะต้องขอมาตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการใช้หนี้ให้กับรถไฟฟ้าสายสีส้ม การจัดงานประชุมผู้ว่าการธนาคาร ไอเอ็มเอฟ งบที่ต้องใช้คืนประกันสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่เราควรจะต้องเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วตั้งนั้น
.
จะเห็นได้ว่ายอดปรับลดงบปี 69 ไม่ได้รู้สึกรู้สาเลยว่าเรามีวิกฤตรออยู่ ต่างจากปีอื่นๆ ที่เรามีวิกฤตโควิดก็สามารถตัดงบประมาณได้ถึง 30,000 ล้านบาท จึงเป็นเหตุผลว่าดิฉันไม่ได้อยากตัดงบประมาณในช่วงที่เราเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ แต่เราจำเป็นจะต้องเก็บกระสุนไว้ เพราะการจัดงบประมาณในครั้งนี้ไม่ได้ตอบโจทย์ที่จะช่วยให้ประเทศรอดพ้นจากสงครามการค้าได้ เราก็จำเป็นต้องปรับลดงบประมาณในครั้งนี้ เพื่อเก็บพื้นที่ทางการคลังเอาไว้ใช้เมื่อเกิดวิกฤตจริง” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว
.

.
พริษฐ์ ซัดระบบราชการซ้ำซ้อน 3 ด้าน ถ้าไม่ปรับปรุง งบไม่เหลือแก้ปัญหาเร่งด่วน
https://www.khaosod.co.th/politics/news_9891013
.
พริษฐ์ ซัด ระบบราชการมีปัญหาความซ้ำซ้อน 3 ด้าน “แยก-แย่ง-ย้าย” ชี้หากไม่เริ่มต้นปรับปรุงการจัดทำงบ ประเทศเสี่ยงจะไม่เหลืองบประมาณเพียงพอแก้ไขปัญหาสำคัญ
.
วันที่ 13 ส.ค.2568 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 วาระ 2-3 เป็นวันแรก หลังจาก คณะกรรมาธิการ (กมธ.)วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 พิจารณาเสร็จแล้ว
.
เวลา 10.00 น. นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะกมธ. สงวนความเห็น อภิปรายในมาตรา 4 ภาพรวมว่า ตนเข้าใจดีว่ารัฐบาลเริ่มจัดสรรงบประมาณปี 69 ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตภาษีตอบโต้กับสหรัฐฯ
.
แต่ที่ไม่สามารถเข้าใจได้ คือการที่กมธ มีเสียงข้างมากจากรัฐบาลได้ทำน้อยเกินไป ในการจัดลำดับความสำคัญงบประมาณ ปี 69 เพื่อเตรียมรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจที่จะตามมาจากทั้งข้อตกลงกับสหรัฐฯ และจากระเบียบโลกที่มีความไม่แน่นอน จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อปากท้องของประชาชนในทุกภาคส่วน
.
หากเทียบเมื่อ 5 ปีที่แล้วกมธ. ในปี 64 ได้มีการจัดงบใหม่ไปประมาณ 3.1 หมื่นกว่าล้านบาท เพื่อเตรียมต่อกรกับวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากโควิด แต่ในปี 69 กมธ. มีการจัดงบใหม่เพียง 8 พันกว่าล้านบาท เพื่อต่อกรกับวิกฤตเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นจากกรณีภาษีตอบโต้ของสหรัฐ
.
สิ่งที่ประเทศเราขาดมากที่สุดคือประสิทธิภาพในการใช้งบประมาณอย่างตรงจุดและคุ้มค่า ไม่ว่าจะเปิดไปในงบของกระทรวงไหนก็สามารถพบบางส่วนที่ปรับลดได้เพื่อไปโยกแก้ปัญหาให้กับประชาชน
.
นายพริษฐ์ กล่าวา ปัญหาเรื่องความซ้ำซ้อนในการจัดทำงบประมาณ แบ่งออกเป็น 3 ด้านคือ
.
1.แยกกันทำ หมายถึงความซ้ำซ้อนในระดับโครงการ คือการที่มีโครงการที่อาจจะเป็นประโยชน์และคาบเกี่ยวกับภารกิจของหลายหน่วยงาน แต่หน่วยงานต่างเลือกที่จะต่างคนต่างทำ มากกว่าการร่วมกันทำ
.
2.แย่งกันทำ หรือความซ้ำซ้อนในระดับของภารกิจ คือการที่หลายหน่วยงานอาจจะมีการขีดเส้นและจัดวางภารกิจที่แตกต่างกัน ไม่ซ้ำซ้อนกันอย่างชัดเจนแต่ในทางปฏิบัติเราเห็นว่ามีหลายหน่วยงานขยายภารกิจของตัวเองที่เสี่ยงจะไปซ้ำซ้อนกับภารกิจของหน่วยงานอื่น
.
และ 3. ย้ายออกไปทำ หรือความซ้ำซ้อนในระดับหน่วยงาน คือการที่มีหลายหน่วยงานที่ถูกตั้งขึ้นมาด้วยภารกิจที่เสี่ยงจะซ้ำซ้อนกับหน่วยงานที่มีอยู่แล้ว
.
นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า การพิจารณาควบรวมหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งต้องศึกษากันอย่างละเอียดรอบคอบ เข้าใจว่าการควบรวมหน่วยงานแล้ว ไม่ได้หมายความว่า จำนวนงานและจำนวนคนจะลดลงเสมอไป
.
แต่เชื่อว่าหากเรามีการศึกษาและพิจารณาควบรวมหน่วยงานที่มีภารกิจที่เสี่ยงจะซ้ำซ้อนกันอย่างจริงจัง จะทำให้โครงการและกิจกรรมของรัฐนั้นมีความสะเปะสะปะน้อยลง และก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนทรัพยากรมากขึ้น เราจะทำให้หน่วยงานของรัฐผลิตแผนขึ้นหิ้งน้อยลง และทำงานในทิศทางเดียวกันมากขึ้น
.
หากเราไม่เริ่มต้นมาปรับปรุงเรื่องการจัดทำงบประมาณโดยการลดความซับซ้อนที่แทรกอยู่ในทุกระดับของระบบราชการ ประเทศเราเสี่ยงจะไม่เหลืองบประมาณเพียงพอในการแก้ไขปัญหาสำคัญของประชาชน และเสี่ยงจะไม่มีความคล่องตัวมากพอในการรับมือกับวิกฤตและปัญหาใหม่ที่ถาถมเข้ามา”นายพริษฐ์ กล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่