‘ศิริกัญญา’ ผิดหวัง นายกฯ โยน ’จุลพันธ์‘ ตอบประเด็นศก.อยากให้ รมว.ทส.ตอบPM2.5 แต่ไม่เห็นในห้องประชุม
https://www.matichon.co.th/politics/news_4360912
‘ศิริกัญญา’ ผิดหวัง นายกฯ โยน ’จุลพันธ์‘ ตอบประเด็นเศรษฐกิจ เสียใจหยิบประเด็น GDP กลบคำถามสำคัญที่ รมต.จะต้องตอบ รอครม.ชี้แจง ให้กระจ่าง เผื่อเปลี่ยนใจฝ่ายค้านก่อนลงมติ
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 5 มกราคม ที่รัฐสภา น.ส.
ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ แถลงสรุปการอภิปรายงบประมาณ 2567 ว่าร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ว่า ไม่ได้สะท้อนว่ารัฐบาลจะมีการแก้ไขวิกฤตต่างๆ อาทิ วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม มลพิษที่รั่วไหล ฝุ่น PM 2.5 การศึกษา เด็กเกิดน้อย หรือสังคมผู้สูงวัย เป็นต้น
น.ส.
ศิริกัญญา กล่าวด้วยว่า ขณะเดียวกันยังพบงบประมาณที่มีการสอดไส้งบประมาณที่ไม่ตรงปกและไม่ตรงแผน เพราะแทนที่จะมีแผนสร้างความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศ กลับแทรกแผนการสร้างถนน สร้างตึกเข้ามาแทน และมีแต่งบประมาณที่เอาไปใช้หนี้ ฉะนั้น รัฐบาลจำเป็นจะต้องตอบข้อสงสัยเหล่านี้ในวันสุดท้าย ทั้งเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม น.ส.
ศิริกัญญา ยอมรับว่ารู้สึกเสียใจที่ได้หยิบยกประเด็นการประมาณการณ์เศรษฐกิจ GDP ที่ 5.4% เอาไว้ เพราะทำให้กลบคำถามสำคัญที่รัฐมนตรีจะต้องตอบ แต่สำหรับกรณีที่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า เอกสารจากสำนักงบประมาณผิดเพียงแค่จุดเดียวที่เป็นการแสดงตัวเลข Nominal GDP ที่ไม่ได้หักผลของเงินเฟ้อ ส่วนหน้าอื่นเป็น Real GDP นั้น เรื่องนี้หากท่านยอมรับว่าเป็นข้อผิดพลาดแต่โดยดี ก็ไม่ต้องถกเถียงกันเป็นเวลาถึง 2 วัน เพราะการคำนวณแบบนี้ไม่มีใครเขาทำ
น.ส.
ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่มีการตั้งงบประมาณบำเน็จบำนาญไว้ไม่เพียงพอต่อการจ่ายในปี 2567 เนื่องจากไม่ได้ตั้งเงินเดือนข้าราชการเผื่อไว้ ทั้งที่จะมีนโยบายขึ้นเงินเดือนข้าราชการ เรื่องนี้ก็ยังไม่ได้คำตอบ ว่าจะไปใช้งบประมาณกลาง หรืองบคงคลังแทน
ทั้งนี้ สำหรับการประมาณการณ์รายได้ที่สูงเกินจริง ฝ่ายค้านได้สอบถามถึงภาษี 4 ตัวที่รายได้หายไป เนื่องจากมีปัญหาว่ารัฐบาลจะนำเงินจากส่วนใดมาทดแทน อาทิ ภาษีขายหุ้น การลดหย่อนกองทุนต่างๆ และรายได้นำส่งกฟผ. แต่ได้คำตอบกลับมาเพียงเรื่องการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลและเบนซิน ทำทำให้รายได้หายไป โดยชี้แจงว่า รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการมาแล้ว 2 เดือน ทำให้ลดภาษีไปได้ประมาณ 10,000 กว่าล้านบาท ซึ่งในความเป็นจริงเราคาดการณ์ว่ารัฐบาลจะดำเนินมาตรการนี้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2567 จึงสะท้อนได้ว่ารัฐบาลจะไม่ต่อมาตรภาษีสรรพสามิตน้ำมันใช่หรือไม่
นอกจากนี้ น.ส.
ศิริกัญญา ยังกล่าวถึงวิกฤติการณ์ด้านความมั่นคง ที่ยังได้รับคำตอบไม่ชัดเจน ว่าเมื่อวานนี้ (4 มกราคม) นาย
สุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวถึงสัดส่วนงบกลาโหมที่งบประมาณไม่ลดลง แม้ว่าจะเกิดวิกฤตการณ์ต่างๆ แต่ในปีนี้กลับเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 2 ว่า นาย
สุทินยอมรับว่า ไม่ได้ตั้งใจให้ลดลงมากเช่นนี้และจริงๆ ของบไปมากกว่านี้ แต่สำนักงบประมาณจัดให้เพียงเท่านี้ คำตอบนี้ตอบคำถามที่ดาวน์น้อยผ่อนนาน เป็น
สุทินดาวน์น้อย นาย
สุทินบอกว่า ไม่อยากดาวน์น้อย อยากดาวน์มากกว่านี้ไปจนถึง 20% ซึ่งหากนาย
สุทินอยากดาวน์ตามที่วางแผนไว้ เราจะมีงบกระทรวงกลาโหมที่สูงกว่านี้แน่นอน
น.ส.
ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องแผนการลดกำลังพลนั้น เข้าใจว่านาย
สุทินเพิ่งเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เพียงแค่ 3 เดือน แต่แผนการลดกำลังพลของกองทัพนั้นเป็นแผนปี 2560-2570 ซึ่งผ่านมาแล้ว 7 ปีก็คาดหวังว่าจะเห็นการลดลงของงบประมาณบุคลากรกองทัพได้แล้ว ไม่ใช่ยังคงเพิ่มขึ้น และยังเห็นจำนวนทหารที่เพิ่มขึ้นทุกปี แต่มีเรื่องที่น่าตื่นเต้นคือการเกษียณอายุก่อนราชการสำหรับข้าราชการกลาโหม ซึ่งจะรอติดตามในงบประมาณปี 2568 เพราะต้องมีการตั้งงบเพื่อชดเชยค่าตอบแทนสำหรับผู้ที่เข้าร่วมโครงการและงบบุคลากรก็อาจจะเพิ่มขึ้นในปี 2568 สำหรับเรื่องเรือดำน้ำนั้น เหมือนนาย
สุทินจะยอมรับความพ่ายแพ้ตั้งแต่อยู่ในมุ้ง ส่วนที่นาย
สุทินชี้แจงว่าเราผิดสัญญา แต่ความจริงเราไม่ได้ผิดสัญญาเรือดำน้ำแม้แต่ครั้งเดียว วันนี้เกินระยะเวลาที่ต้องส่งเรือดำน้ำแล้ว เราจึงมาทวงถามว่าสรุปแล้วจะเอาอย่างไรกันแน่
น.ส.
ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องวิกฤตสิ่งแวดล้อมนั้น ไม่มีอะไรที่จะรบกวนจิตใจประชาชนในช่วงนี้ได้เท่ากับฝุ่น PM 2.5 ซึ่งเมื่อนายกรัฐมนตรีได้ฟังคำอภิปรายของสส.พรรคก้าวไกล ในการเตรียมงบประมาณด้วยตึกห้าชั้นแล้ว แต่ท่านก็ยอมรับเองว่าไม่ได้มีแผนอะไรอยู่ในงบของปี 2567 แล้วจะไปใช้งบกลางในการดำเนินนโยบายนี้ ทั้งที่เรื่องฝุ่น PM 2.5 ไม่ใช่ว่าจะเพิ่งเกิดขึ้น แต่เราจะอยู่ในการบริหารราชการแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวไปถึงเมื่อไหร่ คิดว่าเปลี่ยนรัฐบาลแล้วจะดีขึ้นแต่ก็ยังเหมือนเดิม
น.ส.
ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการแลนด์บริดจ์ที่มีการตั้งงบประมาณไว้ 2 ก้อนในปี 2567 นั้น เรื่องท่อน้ำมันที่มีการเว้นที่ไว้สำหรับการวางท่อน้ำมัน แต่ในการศึกษาความเป็นไปได้ ไม่มีท่อน้ำมันอยู่ในนั้น ดังนั้น การที่จะไปหานักลงทุนมาขนถ่ายน้ำมันก็อาจจะเป็นเรื่องที่ผิดฝา หรือไม่เช่นนั้นอาจจะต้องรื้อรายงานที่เราจ่ายเงินไปแล้ว 68 ล้านบาทที่ใกล้เสร็จแล้วไปปรับแผน ซึ่งหากทำเช่นนั้นก็จะไม่ตรงกับผลของคณะรัฐมนตรี (ครม.) รวมถึงเรื่องช่องแคบมะละกาที่นายกรัฐมนตรีอ้างว่ามีความแออัดก็ไม่ได้แออัดขนาดนั้น จึงเป็นเหตุผลที่เราไม่ควรที่จะสร้างโครงการแลนด์บริดจ์ ทั้งนี้ หากมีความแออัดจริงสิงคโปร์ก็คงจะไม่สร้างท่าเรือใหม่
น.ส.
ศิริกัญญา อย่างไรก็ตาม ความผิดพลาดนี้เราอาจจะไม่ต้องกังวลมาก เพราะสุดท้ายหากเราคาดว่าโครงการนี้จะเป็นโครงการที่เอกชนจะมาลงทุนเองเกือบ 100% หากนักลงทุนไม่มาเพราะเราวาดแผนที่สวยหรูเกินจริง เราก็คงไม่ต้องกังวลเพราะสุดท้ายโครงการนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น แต่ที่ตนต้องมาพูดเรื่องนี้เพราะหากไม่มีนักลงทุนมาคนที่จะนอนไม่หลับคือประชาชนซึ่งอยู่ในพื้นที่ที่กำลังจะถูกเวนคืนที่ดิน เพราะเขาจะไม่เหลือความมั่นคงอะไรในชีวิตแล้ว
โดยที่ต้องลุ้นไปวันต่อวันว่าบ้านของเขาจะถูกเวนคืนที่ดินหรือไม่ แต่ยืนยันว่าเราเห็นด้วยกับการที่จะพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ การปรับปรุงท่าเรือเดิมหรือสร้างใหม่ก็ตามให้เป็นท่าเรือยุทธศาสตร์สำคัญ แต่สิ่งที่เรายังกังขาคือความคุ้มค่า สวยหรูจริงหรือไม่ จึงต้องฝากให้นายกรัฐมนตรีไปศึกษาอย่างรอบคอบ
“
นี่เป็นคำถามที่เรายังรอคำตอบจากรัฐบาล และยังให้เวลากับรัฐบาลในช่วงสุดท้ายของการอภิปราย ก่อนที่จะมีการลงมติ โดยในช่วงบ่าย พรรคร่วมฝ่ายค้านจะมีการแถลงว่าเราจะมีมติเช่นไร ซึ่งท่านยังคงมีเวลาที่จะเปลี่ยนใจเราได้ในอีกไม่กี่ชั่วโมงนี้ ตอบคำถามเหล่านี้ให้ครบถ้วน ให้กระจ่างว่าจะแก้ปัญหาให้ประเทศนี้พ้นวิกฤตผ่านงบประมาณปี 67 ได้อย่างไรบ้าง“ น.ส.
ศิริกัญญา กล่าว
น.ส.
ศิริกัญญา กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ การชี้แจงของนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะการชี้แจงเรื่องเศรษฐกิจนั้น ตนคาดหวังว่านายกรัฐมนตรีจะตอบมากกว่านี้ แต่กลับให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังตอบเรื่องงบประมาณและเศรษฐกิจเป็นหลัก ซึ่งก็น่าผิดหวัง และช่วงที่ผ่านมามีเพียง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ตอบเรื่องงบประมาณเป็นหลัก ตนจึงคาดหวังว่าช่วงท้ายในการพิจารณา นายกรัฐมนตรีจะมีบทบาทในการอภิปรายงบประมาณ
“
การชี้แจงเรื่องงบประมาณและปัญหาเศรษฐกิจน่าผิดหวังมากที่สุด หรืออาจเป็นอคติของดิฉัน แต่ต้องสอบถามท่านอื่นด้วยว่ามีอะไรที่มีปัญหา ซึ่งเราต้องติดตามว่ายังมีรัฐมนตรีท่านใดที่ยังไม่ตอบ โดยเฉพาะเรื่อง PM2.5 ที่ต้องดูว่าท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม จะมาตอบเองหรือไม่ แต่มีใครเห็นท่านอยู่ในห้องประชุมบ้างหรือไม่” น.ส.
ศิริกัญญา กล่าว
ส.ส.ก้าวไกลถามรัฐบาล งบฯ67 แก้เหลื่อมล้ำยังไง ซัดรัฐบาลไม่คิดจะกระจาย แต่หวังกระชับอำนาจ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4360843
ส.ส.ก้าวไกล ไม่เห็นด้วยร่างกม.งบฯ67 เสนอตัดงบจังหวัด-กลุ่มจว. ชี้เป็นการใช้เงินไม่มีประสิทธิภาพ ซัดรบ.ไม่คิดจะกระจายแต่หวังกระชับอำนาจมากกว่า แนะแบ่งไปให้ท้องถิ่นบริหารกันเอง
เมื่อเวลา 10.37 น.ที่รัฐสภา น.ส.
ภคมน หนุนอนันต์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า เมื่ออ่านเอกสารงบประมาณปี 67 ทำให้รู้เลยว่า ไม่ว่าประเทศไทยจะเกิดวิกฤตอะไรขึ้น หน้าตางบประมาณไทยไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ถ้าปิดชื่อนายกรัฐมนตรีที่มาแถลงปีนี้ตนยังคิดว่าเป็นรัฐบาลพล.อ.
ประยุทธ์ แต่ไม่เป็นไรถ้ารัฐบาลไม่รู้ว่าจะอธิบายว่าตรงไหน คือวิกฤตตนมีคำตอบให้ คือ ผู้บริหารประเทศที่จัดงบแบบนี้คือจุดเริ่มต้นของความวิกฤต โดยมองเห็นว่าประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำในการพัฒนาเชิงพื้นที่ กรุงเทพฯ รวยกว่าชนบท หัวเมืองใหญ่ได้รับการพัฒนามากกว่าหัวเมืองรอง แต่จากงบประมาณปี67 ที่จัดมานั้นตนขอตั้งคำถามว่า แล้วแบบนี้จะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้อย่างไร วันนี้วิกฤตที่ตนและประชาชนมองเห็นต้องใช้ศักยภาพและใจของผู้บริหารประเทศในการมองเห็น ไม่ใช่วิกฤตที่แก้ด้วยการกู้เงินมาแจกแบบที่รัฐบาลอยากให้เป็น
"การจัดงบประมาณของท่านไม่มีเจตนาในการที่จะกระจายอำนาจ แต่ท่านต้องการกระชับอำนาจต่างหาก งบประมาณแต่ละปีเงินอุดหนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ยังมีงบประมาณอีกส่วนมาในรูปแบบของงบจังหวัดปีละประมาณ 20,000 ล้านบาท ซึ่งงบส่วนนี้ให้ผู้ว่าฯจังหวัดในการตัดสินใจใช้ โดยเป็นงบเพื่อนำมาพัฒนาท้องที่ให้ตอบโจทย์ความต้องการของจังหวัด และดำเนินการตามแผนพัฒนาจังหวัด แต่ถ้าไปดูไส้ในแล้วไม่ตอบโจทย์งานอะไรเหล่านี้เลย งบจังหวัดและกลุ่มจังหวัดเป็นงบซ้ำซ้อน ส่วนเกินและไม่จำเป็น ซึ่งงบนี้เคยถูกปรับลดลงหลังช่วงโควิดและในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ แต่พอมารัฐบาลเศรษฐากลับเพิ่มเต็มเพดาน นั่นสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลเศรษฐากำลังอยากเพิ่มกำลังอำนาจราชการส่วนภูมิภาค" น.ส.
ภคมน กล่าว
น.ส.
ภคมน กล่าวอีกว่า งบจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ได้กำหนดนโยบายโดยคน 20 คนเรียกว่าคณะกรรมการบูรณาการนโยบายภาค(ก.บ.ภ.) ที่มีที่มาจากฝ่ายการเมือง 8 คน ข้าราชการ 8 คน ภาคเอกชน 5 คน ตัวแทน อปท. 1 คน และตัวแทนประชาสังคม 4 คน ที่มีข้อสังเกตที่น่าสนใจคือตัวแทนจากภาคประสังคมพบว่ามี 2 คนที่ไม่ใช่ประชาชนแต่เป็นนักธุรกิจใหญ่ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ประธานบริษัทเกี่ยวกับแอลกอฮอล์ และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของประเทศไทย การจัดสรรงบประมาณแบบนี้ 23,000 ล้านบาทที่กำหนดโดยกลไกราชการแบบรวมศูนย์แบบนี้ท่านคิดว่าจะแก้ปัญหากว่าที่เคยเป็นมาได้อย่างไร การแบ่งเค้กงบประมาณ 23,000 ล้านบาทนี้มีการกำหนดสูตรในการจัดสรรงบ สูตรนี้ท่านก็ได้ให้จังหวัดที่ใหญ่ ยิ่งรวย และงบของจังหวัดก็มีการจัดสรรแบบเดียวกันและเพิ่มมาคือการตอบสนองต่อนโยบายของตนเอง
JJNY : ‘ศิริกัญญา’ ผิดหวัง│ก้าวไกลถามรบ.งบฯ67 แก้เหลื่อมล้ำยังไง│เงินเฟ้อติดลบจากมาตรการรัฐ│เกาหลีใต้สั่งชาวบ้านอพยพ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4360912
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 5 มกราคม ที่รัฐสภา น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ แถลงสรุปการอภิปรายงบประมาณ 2567 ว่าร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ว่า ไม่ได้สะท้อนว่ารัฐบาลจะมีการแก้ไขวิกฤตต่างๆ อาทิ วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม มลพิษที่รั่วไหล ฝุ่น PM 2.5 การศึกษา เด็กเกิดน้อย หรือสังคมผู้สูงวัย เป็นต้น
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวด้วยว่า ขณะเดียวกันยังพบงบประมาณที่มีการสอดไส้งบประมาณที่ไม่ตรงปกและไม่ตรงแผน เพราะแทนที่จะมีแผนสร้างความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศ กลับแทรกแผนการสร้างถนน สร้างตึกเข้ามาแทน และมีแต่งบประมาณที่เอาไปใช้หนี้ ฉะนั้น รัฐบาลจำเป็นจะต้องตอบข้อสงสัยเหล่านี้ในวันสุดท้าย ทั้งเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม น.ส.ศิริกัญญา ยอมรับว่ารู้สึกเสียใจที่ได้หยิบยกประเด็นการประมาณการณ์เศรษฐกิจ GDP ที่ 5.4% เอาไว้ เพราะทำให้กลบคำถามสำคัญที่รัฐมนตรีจะต้องตอบ แต่สำหรับกรณีที่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า เอกสารจากสำนักงบประมาณผิดเพียงแค่จุดเดียวที่เป็นการแสดงตัวเลข Nominal GDP ที่ไม่ได้หักผลของเงินเฟ้อ ส่วนหน้าอื่นเป็น Real GDP นั้น เรื่องนี้หากท่านยอมรับว่าเป็นข้อผิดพลาดแต่โดยดี ก็ไม่ต้องถกเถียงกันเป็นเวลาถึง 2 วัน เพราะการคำนวณแบบนี้ไม่มีใครเขาทำ
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่มีการตั้งงบประมาณบำเน็จบำนาญไว้ไม่เพียงพอต่อการจ่ายในปี 2567 เนื่องจากไม่ได้ตั้งเงินเดือนข้าราชการเผื่อไว้ ทั้งที่จะมีนโยบายขึ้นเงินเดือนข้าราชการ เรื่องนี้ก็ยังไม่ได้คำตอบ ว่าจะไปใช้งบประมาณกลาง หรืองบคงคลังแทน
ทั้งนี้ สำหรับการประมาณการณ์รายได้ที่สูงเกินจริง ฝ่ายค้านได้สอบถามถึงภาษี 4 ตัวที่รายได้หายไป เนื่องจากมีปัญหาว่ารัฐบาลจะนำเงินจากส่วนใดมาทดแทน อาทิ ภาษีขายหุ้น การลดหย่อนกองทุนต่างๆ และรายได้นำส่งกฟผ. แต่ได้คำตอบกลับมาเพียงเรื่องการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลและเบนซิน ทำทำให้รายได้หายไป โดยชี้แจงว่า รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการมาแล้ว 2 เดือน ทำให้ลดภาษีไปได้ประมาณ 10,000 กว่าล้านบาท ซึ่งในความเป็นจริงเราคาดการณ์ว่ารัฐบาลจะดำเนินมาตรการนี้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2567 จึงสะท้อนได้ว่ารัฐบาลจะไม่ต่อมาตรภาษีสรรพสามิตน้ำมันใช่หรือไม่
นอกจากนี้ น.ส.ศิริกัญญา ยังกล่าวถึงวิกฤติการณ์ด้านความมั่นคง ที่ยังได้รับคำตอบไม่ชัดเจน ว่าเมื่อวานนี้ (4 มกราคม) นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวถึงสัดส่วนงบกลาโหมที่งบประมาณไม่ลดลง แม้ว่าจะเกิดวิกฤตการณ์ต่างๆ แต่ในปีนี้กลับเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 2 ว่า นายสุทินยอมรับว่า ไม่ได้ตั้งใจให้ลดลงมากเช่นนี้และจริงๆ ของบไปมากกว่านี้ แต่สำนักงบประมาณจัดให้เพียงเท่านี้ คำตอบนี้ตอบคำถามที่ดาวน์น้อยผ่อนนาน เป็นสุทินดาวน์น้อย นายสุทินบอกว่า ไม่อยากดาวน์น้อย อยากดาวน์มากกว่านี้ไปจนถึง 20% ซึ่งหากนายสุทินอยากดาวน์ตามที่วางแผนไว้ เราจะมีงบกระทรวงกลาโหมที่สูงกว่านี้แน่นอน
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องแผนการลดกำลังพลนั้น เข้าใจว่านายสุทินเพิ่งเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เพียงแค่ 3 เดือน แต่แผนการลดกำลังพลของกองทัพนั้นเป็นแผนปี 2560-2570 ซึ่งผ่านมาแล้ว 7 ปีก็คาดหวังว่าจะเห็นการลดลงของงบประมาณบุคลากรกองทัพได้แล้ว ไม่ใช่ยังคงเพิ่มขึ้น และยังเห็นจำนวนทหารที่เพิ่มขึ้นทุกปี แต่มีเรื่องที่น่าตื่นเต้นคือการเกษียณอายุก่อนราชการสำหรับข้าราชการกลาโหม ซึ่งจะรอติดตามในงบประมาณปี 2568 เพราะต้องมีการตั้งงบเพื่อชดเชยค่าตอบแทนสำหรับผู้ที่เข้าร่วมโครงการและงบบุคลากรก็อาจจะเพิ่มขึ้นในปี 2568 สำหรับเรื่องเรือดำน้ำนั้น เหมือนนายสุทินจะยอมรับความพ่ายแพ้ตั้งแต่อยู่ในมุ้ง ส่วนที่นายสุทินชี้แจงว่าเราผิดสัญญา แต่ความจริงเราไม่ได้ผิดสัญญาเรือดำน้ำแม้แต่ครั้งเดียว วันนี้เกินระยะเวลาที่ต้องส่งเรือดำน้ำแล้ว เราจึงมาทวงถามว่าสรุปแล้วจะเอาอย่างไรกันแน่
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องวิกฤตสิ่งแวดล้อมนั้น ไม่มีอะไรที่จะรบกวนจิตใจประชาชนในช่วงนี้ได้เท่ากับฝุ่น PM 2.5 ซึ่งเมื่อนายกรัฐมนตรีได้ฟังคำอภิปรายของสส.พรรคก้าวไกล ในการเตรียมงบประมาณด้วยตึกห้าชั้นแล้ว แต่ท่านก็ยอมรับเองว่าไม่ได้มีแผนอะไรอยู่ในงบของปี 2567 แล้วจะไปใช้งบกลางในการดำเนินนโยบายนี้ ทั้งที่เรื่องฝุ่น PM 2.5 ไม่ใช่ว่าจะเพิ่งเกิดขึ้น แต่เราจะอยู่ในการบริหารราชการแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวไปถึงเมื่อไหร่ คิดว่าเปลี่ยนรัฐบาลแล้วจะดีขึ้นแต่ก็ยังเหมือนเดิม
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการแลนด์บริดจ์ที่มีการตั้งงบประมาณไว้ 2 ก้อนในปี 2567 นั้น เรื่องท่อน้ำมันที่มีการเว้นที่ไว้สำหรับการวางท่อน้ำมัน แต่ในการศึกษาความเป็นไปได้ ไม่มีท่อน้ำมันอยู่ในนั้น ดังนั้น การที่จะไปหานักลงทุนมาขนถ่ายน้ำมันก็อาจจะเป็นเรื่องที่ผิดฝา หรือไม่เช่นนั้นอาจจะต้องรื้อรายงานที่เราจ่ายเงินไปแล้ว 68 ล้านบาทที่ใกล้เสร็จแล้วไปปรับแผน ซึ่งหากทำเช่นนั้นก็จะไม่ตรงกับผลของคณะรัฐมนตรี (ครม.) รวมถึงเรื่องช่องแคบมะละกาที่นายกรัฐมนตรีอ้างว่ามีความแออัดก็ไม่ได้แออัดขนาดนั้น จึงเป็นเหตุผลที่เราไม่ควรที่จะสร้างโครงการแลนด์บริดจ์ ทั้งนี้ หากมีความแออัดจริงสิงคโปร์ก็คงจะไม่สร้างท่าเรือใหม่
น.ส.ศิริกัญญา อย่างไรก็ตาม ความผิดพลาดนี้เราอาจจะไม่ต้องกังวลมาก เพราะสุดท้ายหากเราคาดว่าโครงการนี้จะเป็นโครงการที่เอกชนจะมาลงทุนเองเกือบ 100% หากนักลงทุนไม่มาเพราะเราวาดแผนที่สวยหรูเกินจริง เราก็คงไม่ต้องกังวลเพราะสุดท้ายโครงการนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น แต่ที่ตนต้องมาพูดเรื่องนี้เพราะหากไม่มีนักลงทุนมาคนที่จะนอนไม่หลับคือประชาชนซึ่งอยู่ในพื้นที่ที่กำลังจะถูกเวนคืนที่ดิน เพราะเขาจะไม่เหลือความมั่นคงอะไรในชีวิตแล้ว
โดยที่ต้องลุ้นไปวันต่อวันว่าบ้านของเขาจะถูกเวนคืนที่ดินหรือไม่ แต่ยืนยันว่าเราเห็นด้วยกับการที่จะพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ การปรับปรุงท่าเรือเดิมหรือสร้างใหม่ก็ตามให้เป็นท่าเรือยุทธศาสตร์สำคัญ แต่สิ่งที่เรายังกังขาคือความคุ้มค่า สวยหรูจริงหรือไม่ จึงต้องฝากให้นายกรัฐมนตรีไปศึกษาอย่างรอบคอบ
“นี่เป็นคำถามที่เรายังรอคำตอบจากรัฐบาล และยังให้เวลากับรัฐบาลในช่วงสุดท้ายของการอภิปราย ก่อนที่จะมีการลงมติ โดยในช่วงบ่าย พรรคร่วมฝ่ายค้านจะมีการแถลงว่าเราจะมีมติเช่นไร ซึ่งท่านยังคงมีเวลาที่จะเปลี่ยนใจเราได้ในอีกไม่กี่ชั่วโมงนี้ ตอบคำถามเหล่านี้ให้ครบถ้วน ให้กระจ่างว่าจะแก้ปัญหาให้ประเทศนี้พ้นวิกฤตผ่านงบประมาณปี 67 ได้อย่างไรบ้าง“ น.ส.ศิริกัญญา กล่าว
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ การชี้แจงของนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะการชี้แจงเรื่องเศรษฐกิจนั้น ตนคาดหวังว่านายกรัฐมนตรีจะตอบมากกว่านี้ แต่กลับให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังตอบเรื่องงบประมาณและเศรษฐกิจเป็นหลัก ซึ่งก็น่าผิดหวัง และช่วงที่ผ่านมามีเพียง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ตอบเรื่องงบประมาณเป็นหลัก ตนจึงคาดหวังว่าช่วงท้ายในการพิจารณา นายกรัฐมนตรีจะมีบทบาทในการอภิปรายงบประมาณ
“การชี้แจงเรื่องงบประมาณและปัญหาเศรษฐกิจน่าผิดหวังมากที่สุด หรืออาจเป็นอคติของดิฉัน แต่ต้องสอบถามท่านอื่นด้วยว่ามีอะไรที่มีปัญหา ซึ่งเราต้องติดตามว่ายังมีรัฐมนตรีท่านใดที่ยังไม่ตอบ โดยเฉพาะเรื่อง PM2.5 ที่ต้องดูว่าท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม จะมาตอบเองหรือไม่ แต่มีใครเห็นท่านอยู่ในห้องประชุมบ้างหรือไม่” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว
ส.ส.ก้าวไกลถามรัฐบาล งบฯ67 แก้เหลื่อมล้ำยังไง ซัดรัฐบาลไม่คิดจะกระจาย แต่หวังกระชับอำนาจ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4360843
ส.ส.ก้าวไกล ไม่เห็นด้วยร่างกม.งบฯ67 เสนอตัดงบจังหวัด-กลุ่มจว. ชี้เป็นการใช้เงินไม่มีประสิทธิภาพ ซัดรบ.ไม่คิดจะกระจายแต่หวังกระชับอำนาจมากกว่า แนะแบ่งไปให้ท้องถิ่นบริหารกันเอง
เมื่อเวลา 10.37 น.ที่รัฐสภา น.ส.ภคมน หนุนอนันต์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า เมื่ออ่านเอกสารงบประมาณปี 67 ทำให้รู้เลยว่า ไม่ว่าประเทศไทยจะเกิดวิกฤตอะไรขึ้น หน้าตางบประมาณไทยไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ถ้าปิดชื่อนายกรัฐมนตรีที่มาแถลงปีนี้ตนยังคิดว่าเป็นรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ แต่ไม่เป็นไรถ้ารัฐบาลไม่รู้ว่าจะอธิบายว่าตรงไหน คือวิกฤตตนมีคำตอบให้ คือ ผู้บริหารประเทศที่จัดงบแบบนี้คือจุดเริ่มต้นของความวิกฤต โดยมองเห็นว่าประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำในการพัฒนาเชิงพื้นที่ กรุงเทพฯ รวยกว่าชนบท หัวเมืองใหญ่ได้รับการพัฒนามากกว่าหัวเมืองรอง แต่จากงบประมาณปี67 ที่จัดมานั้นตนขอตั้งคำถามว่า แล้วแบบนี้จะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้อย่างไร วันนี้วิกฤตที่ตนและประชาชนมองเห็นต้องใช้ศักยภาพและใจของผู้บริหารประเทศในการมองเห็น ไม่ใช่วิกฤตที่แก้ด้วยการกู้เงินมาแจกแบบที่รัฐบาลอยากให้เป็น
"การจัดงบประมาณของท่านไม่มีเจตนาในการที่จะกระจายอำนาจ แต่ท่านต้องการกระชับอำนาจต่างหาก งบประมาณแต่ละปีเงินอุดหนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ยังมีงบประมาณอีกส่วนมาในรูปแบบของงบจังหวัดปีละประมาณ 20,000 ล้านบาท ซึ่งงบส่วนนี้ให้ผู้ว่าฯจังหวัดในการตัดสินใจใช้ โดยเป็นงบเพื่อนำมาพัฒนาท้องที่ให้ตอบโจทย์ความต้องการของจังหวัด และดำเนินการตามแผนพัฒนาจังหวัด แต่ถ้าไปดูไส้ในแล้วไม่ตอบโจทย์งานอะไรเหล่านี้เลย งบจังหวัดและกลุ่มจังหวัดเป็นงบซ้ำซ้อน ส่วนเกินและไม่จำเป็น ซึ่งงบนี้เคยถูกปรับลดลงหลังช่วงโควิดและในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ แต่พอมารัฐบาลเศรษฐากลับเพิ่มเต็มเพดาน นั่นสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลเศรษฐากำลังอยากเพิ่มกำลังอำนาจราชการส่วนภูมิภาค" น.ส.ภคมน กล่าว
น.ส.ภคมน กล่าวอีกว่า งบจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ได้กำหนดนโยบายโดยคน 20 คนเรียกว่าคณะกรรมการบูรณาการนโยบายภาค(ก.บ.ภ.) ที่มีที่มาจากฝ่ายการเมือง 8 คน ข้าราชการ 8 คน ภาคเอกชน 5 คน ตัวแทน อปท. 1 คน และตัวแทนประชาสังคม 4 คน ที่มีข้อสังเกตที่น่าสนใจคือตัวแทนจากภาคประสังคมพบว่ามี 2 คนที่ไม่ใช่ประชาชนแต่เป็นนักธุรกิจใหญ่ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ประธานบริษัทเกี่ยวกับแอลกอฮอล์ และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของประเทศไทย การจัดสรรงบประมาณแบบนี้ 23,000 ล้านบาทที่กำหนดโดยกลไกราชการแบบรวมศูนย์แบบนี้ท่านคิดว่าจะแก้ปัญหากว่าที่เคยเป็นมาได้อย่างไร การแบ่งเค้กงบประมาณ 23,000 ล้านบาทนี้มีการกำหนดสูตรในการจัดสรรงบ สูตรนี้ท่านก็ได้ให้จังหวัดที่ใหญ่ ยิ่งรวย และงบของจังหวัดก็มีการจัดสรรแบบเดียวกันและเพิ่มมาคือการตอบสนองต่อนโยบายของตนเอง