เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ก็มีความเคลื่อนใหม่สำคัญ จากเดิมถือหุ้น 10% ใน “เถ้าแก่น้อย” ตอนนี้ยกระดับความสัมพันธ์ไปอีกขั้น
จับมือกันตั้งบริษัท ทีเคเอ็น แอนด์ เมเจอร์ ป๊อบคอร์น จำกัด
ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท
- เถ้าแก่น้อย ถือหุ้น 51%
- เมเจอร์ฯ ถือหุ้น 49%
เป้าหมายคือ
ผลิต–จัดจำหน่ายป๊อปคอร์นซองพร้อมทาน ทำตลาดทั้งในไทยและต่างประเทศ
อาศัยจุดแข็งของเมเจอร์ในด้านแบรนด์ป๊อปคอร์นหน้าโรง + เถ้าแก่น้อยที่มีตลาดสแน็กในจีนและฐานผลิตที่สหรัฐฯ
ป๊อปคอร์นถือเป็นสินค้าทำเงินสำคัญของเมเจอร์
- ปี 2567 รายได้จาก Concession (อาหาร–เครื่องดื่มหน้าโรง) มีสัดส่วนถึง 26%
- ป๊อปคอร์น + เครื่องดื่มอัดลม คือพระเอก
- ขยายสู่ Kiosk ในห้างและร้านสะดวกซื้อแล้ว ได้สัดส่วนยอดขายเพิ่ม 20%
ตลาดสแน็กไทยมูลค่ากว่า 44,000 ล้านบาท แต่ “ป๊อปคอร์น” ยังมีผู้เล่นน้อย ทำให้การร่วมทุนครั้งนี้เป็นการบุกตลาดแบบเต็มตัว
ที่มา
กรุงเทพธุรกิจ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้'เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์' ขยับร่วมทุน 'เถ้าแก่น้อย' ลุยตลาดป๊อปคอร์น
.
จากถือหุ้น 10% ใน “เถ้าแก่น้อย” ล่าสุด "เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์" ขยับ “ร่วมทุน” ตั้งบริษัท ทีเคเอ็น แอนด์ เมเจอร์ ป๊อบคอร์น จำกัด เดินเกมรุกขาย "ป๊อปคอร์น" ทั้งใน-ต่างประเทศ
.
ปี 2567 เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกีด(มหาชน) ทำรายได้รวม 7767 ล้นาบาท ธุรกิจโรงภาพยนตร์ทำเงินสูงสุด 79% ที่เหลือเป็นธุรกิจโฆษณา โบว์ลิ่งและคาราโอเกะ ให้เช่าพื้นที่และบริการ รวมถึงธุรกิจสื่อภาพยนตร์
.
หลายปีที่ผ่านมาธุรกิจที่มีศักยภาพสร้างการเติบโตจนบริษัทต้องเดินเกมรุก คือการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม(Concession)บริเวณหน้าโรงหนังและ “ป๊อปคอร์น” กลายเป็นอีกโปรดักท์แชมป์เปียน
.
ทำให้ที่ผ่านมา เมเจอร์ฯ ผนึกพันธมิตรขนมขบเคี้ยว(สแน็ค)หมวดสาหร่ายเบอร์ 1 อย่าง “เถ้าแก่น้อย” ด้วยการที่เมเจอร์ฯ เข้าไปถือหุ้นสัดส่วน 10% ในเถ้าแก่น้อย สะท้อนการเอาจริงรุกตลาดสแน็กป๊อปคอร์น ต่อยอดที่บริษัทสร้างแบรนด์ “ป๊อปสตาร์” เจาะช่องทางใหม่ๆ เช่น ร้านสะดวกซื้อ
.
ล่าสุด เมเจอร์ฯขยับขยายความร่วมมือสู่การ “ร่วมทุน” กับเถ้าแก่น้อยด้วยการตั้ง บริษัท ทีเคเอ็น แอนด์ เมเจอร์ ป๊อบคอร์น จำกัด ภายใต้ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ซึ่งบริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้งจำกัด(มหาชน) ถือหุ้นสัดส่วน 51% และบริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ปจำกัด(มหาชน) ถือหุ้นสัดส่วน 49% ซึ่งบริษัทร่วมทุนดังกล่าวจะผลิต จัดซื้อ และจัดจำหน่ายสินค้าประเภทข่าวโพดคั่วแบบซองพร้อมรับประทานหรือป๊อปคอร์น ทำตลาดทั้งในและต่างประเทศ
.
ปี 2567 รายได้ของ Consessio nหน้าโรงหนังมีสัดส่วนถึง 26% ซึ่งรายได้หลักมาจาก “ป๊อปคอร์น” และเครื่องดื่มอัดลมที่เสิร์ฟในภาชนะดึงดูดลูกค้า โดยเฉพาะออกแบบอิงกับหนังเรื่องโปรดที่เข้าโรงในแต่ละเดือน มีเมนูขายดีเป็นพระเอก เมเจอร์ฯ ยังเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้า ด้วยการเสิร์ฟแซนวิช ฮอทดอก สแน็กอื่นๆ เช่น มันฝรั่งแผนกรอบ สาหร่ายอบกรอบ ลูกอม เพิ่มด้วย
.
ส่วนเกมรุก “ป๊อปคอร์น” ขายดีหน้าโรงหนังแล้วบริษัทต่อยอดสู่โมเดลใหม่อย่างการเปิด Kiosk ในพื้นที่ห้างค้าปลีกต่างๆ ซึ่งผลตอบรับดีสร้างยอดขายสัดส่วน 20% จากป๊อปคอร์นทั้งหมด และยังขายผ่านร้านสะดวกซื้อ เป็นต้น
.
ย้อนช่วงเมเจอร์ฯถือหุ้น10%ในเถ้าแก่น้อยฯ “วิชา พูลวรลักษณ์” แม่ทัพใหญ่แห่งเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป เคยให้สัมภาษณ์กรุงเทพธุรกิจว่า การลงทุนดังกล่าวช่วย “ติดอาวุธ” ให้กับเมเจอร์ฯในการขยายและขายป๊อปคอร์นไปสู่ตลาดในและต่างประเทศเพราะ “เถ้าแก่น้อย” มีตลาดสแน็กในจีน รวมถึงการเข้าไปลงทุนมีฐานผลิตที่สหรัฐฯ สามารถ “ต่อจิ๊กซอว์” สแน็กไทยไปปักหมุดตลาดโลกได้มากขึ้น
.
ย้อนดูตลาดสแน็คในประเทศไทยมูลค่ารวมกว่า 4.4หมื่นล้านบาท โดยหมวดใหญ่ยังเป็นมันฝรั่งทอดกรอบ ขนมขึ้นรูป สาหร่าย ถั่ว ฯ ขณะที่ “ป๊อปคอร์น” กลับมีแบรนด์ปักหมุดไม่มากที่คุ้นชื่อมี “โตโร”(TORO) ทำให้ “เมเจอร์ฯ” ที่ลงสนามป๊อปคอร์นเต็มตัวมองโอกาสทำเงินก้อนโตถึงขั้นอยากให้“แซงโรงภาพยนตร์”ด้วย
.
อย่างไรก็ตามการลงสนามสแน็กด้วย “ป๊อปคอร์น” ในตลาดค้าปลีกเมเจอร์ฯ ได้เรียนรู้หลายอย่างทั้งการพัฒนารสชาติให้ตอบโจทย์ผู้บริโภครวมถึงการ “ตั้งราคาขาย” ที่ทำให้กลุ่มเป้าหมายยอมควักเงินซื้อมีการประเดิมขายสินค้า 40 กรัม ราคา 35 บาท ภายหลังปรับเป็น 35 กรัม เพื่อขาย 28 บาท หา Magic Price ตัวเลขมหัศจรรย์เพื่อให้โดนใจกลุ่มเป้าหมาย
.
หลังการร่วมทุนต้องตามดูหมากรบ “เมเจอร์-เถ้าแก่น้อย” จะพาป๊อปคอร์นสัญชาติไทยไปได้ไกลและเติบโตมากเพียงใด
.
สำหรับภาพรวมผลประกอบการเมเจอร์ฯ ไตรมาส 2 สร้างรายได้รวม 1,940 ล้านบาท ลดลง 5% ส่วนกำไรสุทธิ 124 ล้านบาท ลดลง 46% เหตุผลเพราะไตรมาส 2 ปี 2567 มีหนังไทยทำเงินอู้ฟู่ เช่น หลานม่า อนงค์ เทียบกับปีนี้ที่ลดลง ส่วน “รายได้ป๊อปคอร์น” ก็อยู่ในภาวะ “ลดลง” ตามไปด้วย
[สรุปข่าว] เมเจอร์ จับมือ เถ้าแก่น้อย ตั้งบริษัทร่วมทุน ลุยขาย “ป๊อปคอร์น” ทั้งใน-นอกประเทศ
ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท
- เมเจอร์ฯ ถือหุ้น 49%
เป้าหมายคือ ผลิต–จัดจำหน่ายป๊อปคอร์นซองพร้อมทาน ทำตลาดทั้งในไทยและต่างประเทศ
อาศัยจุดแข็งของเมเจอร์ในด้านแบรนด์ป๊อปคอร์นหน้าโรง + เถ้าแก่น้อยที่มีตลาดสแน็กในจีนและฐานผลิตที่สหรัฐฯ
ป๊อปคอร์นถือเป็นสินค้าทำเงินสำคัญของเมเจอร์
- ปี 2567 รายได้จาก Concession (อาหาร–เครื่องดื่มหน้าโรง) มีสัดส่วนถึง 26%
- ป๊อปคอร์น + เครื่องดื่มอัดลม คือพระเอก
- ขยายสู่ Kiosk ในห้างและร้านสะดวกซื้อแล้ว ได้สัดส่วนยอดขายเพิ่ม 20%
ตลาดสแน็กไทยมูลค่ากว่า 44,000 ล้านบาท แต่ “ป๊อปคอร์น” ยังมีผู้เล่นน้อย ทำให้การร่วมทุนครั้งนี้เป็นการบุกตลาดแบบเต็มตัว
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ