#แม่ชีแก้ว_เสียงล้ำ ประวัติ
ต่อมาคุณแม่แก้วได้บวชเป็นชี
คุณแม่ชีแก้ว ได้ไปอยู่ศึกษาปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์คำพัน ที่วัดภูเก้าเป็นเวลา 8 ปี ได้พบเห็นเกิดความรู้ ความเห็นแปลก ๆ ต่าง ๆ นานา อย่างที่ไม่เคยรู้เคยเห็นมาก่อน เช่น เมื่อภาวนาแล้วเห็นวัวหรือควาย มาขอให้คุณแม่กินหนังนอก หนังใน (หัวใจ) เขาจะได้หมดกรรม และจะได้เกิดเป็นคน รุ่งเช้าคุณแม่ฝากคนไปซื้อหัวใจวัวควายที่ถูกฆ่าเมื่อเช้านี้ แต่ไม่ทัน คนฆ่าเอาไปกินเสียก่อน บางครั้งเมื่อนั่งภาวนาก็มีผีมารบกวน ต้องสวดมนต์แผ่เมตตาบทกรณียเมตตสูตร จึงได้หายไป
ความเป็นอยู่ที่ภูเก้านี้ ลำบากมากกันดาร น้ำ ต้องตักน้ำใส่กระบอกมาใช้ ในช่วงนี้พี่ชายของคุณแม่ก็ได้มาเยี่ยม เห็นว่าน้องสาวลำบากมาก ก็ชวนให้กลับบ้านห้วยทราย คุณแม่ชีแก้ว จึงตั้งจิตอธิษฐานว่าถ้าจะได้อยู่ที่ภูเก้านี้ ขอให้พบแหล่งน้ำ เมื่อท่านนั่งสมาธิภาวนา จึงได้เห็นแอ่งน้ำถึง 11 แอ่ง อยู่บริเวณลานหิน ด้านล่างมีเถาวัลย์และหญ้าปกคลุมอยู่เป็นหย่อมๆ แอ่งน้ำเหล่านี้ เดิมเป็นที่อาบน้ำของพระปัจเจกพระพุทธเจ้ามาก่อน
ในเวลาต่อมาพระอาจารย์คำพันลาสิกขา คุณแม่ชีแก้ว จึงต้องพาคณะแม่ชี ลงมาหาที่อยู่ใหม่ที่บ้านห้วยทราย ก็คือที่ดินตรงที่เป็นสำนักแม่ชีในปัจจุบันนี้ เดิมเป็นที่ดินของมหาภูบาล มงคลเกตุ ครึ่งหนึ่ง และของนายกะตุด ผิวขำอีกครึ่งหนึ่ง คุณแม่ชีแก้วได้ตั้งเป็นสำนักแม่ชี ในปี พ.ศ. 2488 ในระยะแรกนั้นลำบากมากอัตคัดขาดแคลนไปหมด ต้องใช้กระบอกไม้ไผ่บ้านลำใหญ่เป็นกระโถน ถังตักน้ำก็แตกรั่ว ไม่มีรองเท้าต้องตัดกาบหมากมาใช้ มีดพร้าจอบเสียมก็ไม่มี มีแต่มีดเล็กๆ ไว้ใช้ส่วนตัว
ความทุกข์กายนี้ก็พอทนได้ แต่ความทุกข์ใจ เพราะขาดครูบาอาจารย์นี้เป็นเรื่องทุกใหญ่ เพราะขาดผู้ใช้ทางนั่นเอง คุณแม่ชีแก้วจึงได้แยกตัวไปเสาะหาครูบาอาจารย์ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นหลายองค์ ได้แก่ หลงปู่กงมา จิรปุญโญ หลวงปู่ฝั่น อาจาโร อยู่หลายปี แล้วจึงกลับมาเป็นหลักให้แก่คณะแม่ชีรุ่นหลัง
สมัยที่คุณแม่ไปปฏิบัติอยู่กับหลวงปู่กงมานั้น ปฏิบัติอย่างไร ภาวนาอย่างไร จิตก็ไม่ยอมลง เพราะถือความรู้ตัวเองมากจนเกินไป “นิพพานก็รู้แล้วทางไปก็รู้แล้ว ประตูนิพพานก็รู้แล้ว ญาท่านมั่นท่านก็สอนไว้ทุกอย่าง” ที่นี้พอภาวนา ใจก็ไม่ยอมลงให้หลวงปู่กงมา ทำอย่างไรจิตใจก็ไม่อ่อนไม่ลง จิตไม่รวมแข็งกระด้างอยู่อย่างนั้น ก็ได้แต่นึกด่าตัวเองอยู่ในจ่า “อีทิฐิ อีมานะ อีหยาบอีดื้อ อีหม้อนรกอเวจี”
นั่งภาวนาก็ด่า เดินจงกรมก็ด่า ปวดท้องบิดก็ปวดฝนก็ตกกระหน่ำ เดินจงกรมตากฝนตลอดคืน จนค่อนสว่าง จึงทบทวนตรวจดูตนเองว่าเป็นอย่างไร จึงแข็งกระด้างหนักหนาจิตใจดวงนี้ มาคิดได้ว่า กิจของตนก็ประกอบอยู่แล้ว ข้าวปลาอาหารก็อาศัยอยู่กับครูบาอาจารย์ มันดื้อ มันอวด มันประจานตัวเอง ไม่ยอมลงแก่ใคร ๆ อยู่นี่ เพราะมาถือว่าตนรู้ถือผู้รู้นี้หรือ
ทีนี้ก็เลยตั้งจิตอธิษฐานขออโหสิกรรมพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ไหว้พระ สวดมนต์ เจริญเมตตา จิตจึงลั่นครึบ ตกวูบลงภายใน สงบนิ่งอยู่สักพัก แสงสว่างภายในจากจุดน้อย ๆ ก็สว่างมากขึ้น กว้างขึ้น ขยายกว้างจนสว่างหมด แต่ก่อนมันไม่สว่าง ไม่ชัดเจนหรุบหรู่อยู่ พอจิตยอมแล้วก็สว่างแจ้งใส ใจก็ชัดเจน พิจารณาอะไรมันก็ควร จิตอ่อน จิตเบา จิตควรแก่การงาน มีธรรมะอบรมอยู่ในใจ พิจารณาธรรมะอันใด ก็ชัดเจนหมด
เมื่อออกจากทางจงกรมแล้ว เปลี่ยนเสื้อผ้า ทำกิจการงานอะไรก็สบายรู้ตลอดไป จนหลวงปู่กงมากลับจากบิณฑบาต กิริยาของท่านเปลี่ยนไป ดูยิ้มแย้มแจ่มใส จัดแจงแบ่งปันอาหารบิณฑบาตด้วยองค์ท่านเอง แบ่งให้พระเณรแบ่งให้แม่ชี กิริยาใด ๆ ก็ดูนุ่มนวลอ่อนละมุนละไม ซึ่งผิดกับเมื่อครั้งก่อน ๆ กิริยาของท่านบูดบึ้ง มึนตึง ไม่ควรว่าก็ว่า ไม่ควรด่าก็ด่า คำด่าก็เป็นคำเดียวกันกับที่คุณแม่นึกด่าตัวเองอยู่ภายในใจนั่นเอง และมักจะยกย่องคนนั้นคนนี้ แม่ชีรูปนั้นรูปนี้ว่าดี อันนั้นก็ดี อันนี้ก็ถูก
ภายหลังฉันจังหันเสร็จแล้ว หลวงปู่ก็ประกาศดัง ๆ คับศาลาว่า “แม่แก้วเอ๋ย..ถูกทางของเธอแล้ว ตั้งใจไปเถิด” พอพูดจบก็ลงจากศาลาไป ถึงเวลาบ่าย หลวงปู่ออกจากที่พักผ่อนแล้ว คุณแม่ก็จัดแต่งขัน 5 ขัน 8 ไปขอขมาคารวะ แต่ท่านให้คารวะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก่อน จากนั้นท่านก็รับการขอขมาคารวะจากคุณแม่เป็นลำดับสุดท้าย และท่านได้เล่าความฝันอันเป็นอุบายธรรมภาวนาให้คุณแม่ฟังว่า “เมื่อคืนนี้อาตมาฝันว่า ควายอีตู้ มาชนหมู ของอาตมา”
ที่มา เพจ: แม่ชีกรรมฐานบ้านห้วยทราย
ประวัติแม่ชีอรหันต์ ต้องให้หลวงปู่มั่นหลวงตาบัวช่วยสอนถึงแก้จริตอภิญญาสูงได้
ต่อมาคุณแม่แก้วได้บวชเป็นชี
คุณแม่ชีแก้ว ได้ไปอยู่ศึกษาปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์คำพัน ที่วัดภูเก้าเป็นเวลา 8 ปี ได้พบเห็นเกิดความรู้ ความเห็นแปลก ๆ ต่าง ๆ นานา อย่างที่ไม่เคยรู้เคยเห็นมาก่อน เช่น เมื่อภาวนาแล้วเห็นวัวหรือควาย มาขอให้คุณแม่กินหนังนอก หนังใน (หัวใจ) เขาจะได้หมดกรรม และจะได้เกิดเป็นคน รุ่งเช้าคุณแม่ฝากคนไปซื้อหัวใจวัวควายที่ถูกฆ่าเมื่อเช้านี้ แต่ไม่ทัน คนฆ่าเอาไปกินเสียก่อน บางครั้งเมื่อนั่งภาวนาก็มีผีมารบกวน ต้องสวดมนต์แผ่เมตตาบทกรณียเมตตสูตร จึงได้หายไป
ความเป็นอยู่ที่ภูเก้านี้ ลำบากมากกันดาร น้ำ ต้องตักน้ำใส่กระบอกมาใช้ ในช่วงนี้พี่ชายของคุณแม่ก็ได้มาเยี่ยม เห็นว่าน้องสาวลำบากมาก ก็ชวนให้กลับบ้านห้วยทราย คุณแม่ชีแก้ว จึงตั้งจิตอธิษฐานว่าถ้าจะได้อยู่ที่ภูเก้านี้ ขอให้พบแหล่งน้ำ เมื่อท่านนั่งสมาธิภาวนา จึงได้เห็นแอ่งน้ำถึง 11 แอ่ง อยู่บริเวณลานหิน ด้านล่างมีเถาวัลย์และหญ้าปกคลุมอยู่เป็นหย่อมๆ แอ่งน้ำเหล่านี้ เดิมเป็นที่อาบน้ำของพระปัจเจกพระพุทธเจ้ามาก่อน
ในเวลาต่อมาพระอาจารย์คำพันลาสิกขา คุณแม่ชีแก้ว จึงต้องพาคณะแม่ชี ลงมาหาที่อยู่ใหม่ที่บ้านห้วยทราย ก็คือที่ดินตรงที่เป็นสำนักแม่ชีในปัจจุบันนี้ เดิมเป็นที่ดินของมหาภูบาล มงคลเกตุ ครึ่งหนึ่ง และของนายกะตุด ผิวขำอีกครึ่งหนึ่ง คุณแม่ชีแก้วได้ตั้งเป็นสำนักแม่ชี ในปี พ.ศ. 2488 ในระยะแรกนั้นลำบากมากอัตคัดขาดแคลนไปหมด ต้องใช้กระบอกไม้ไผ่บ้านลำใหญ่เป็นกระโถน ถังตักน้ำก็แตกรั่ว ไม่มีรองเท้าต้องตัดกาบหมากมาใช้ มีดพร้าจอบเสียมก็ไม่มี มีแต่มีดเล็กๆ ไว้ใช้ส่วนตัว
ความทุกข์กายนี้ก็พอทนได้ แต่ความทุกข์ใจ เพราะขาดครูบาอาจารย์นี้เป็นเรื่องทุกใหญ่ เพราะขาดผู้ใช้ทางนั่นเอง คุณแม่ชีแก้วจึงได้แยกตัวไปเสาะหาครูบาอาจารย์ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นหลายองค์ ได้แก่ หลงปู่กงมา จิรปุญโญ หลวงปู่ฝั่น อาจาโร อยู่หลายปี แล้วจึงกลับมาเป็นหลักให้แก่คณะแม่ชีรุ่นหลัง
สมัยที่คุณแม่ไปปฏิบัติอยู่กับหลวงปู่กงมานั้น ปฏิบัติอย่างไร ภาวนาอย่างไร จิตก็ไม่ยอมลง เพราะถือความรู้ตัวเองมากจนเกินไป “นิพพานก็รู้แล้วทางไปก็รู้แล้ว ประตูนิพพานก็รู้แล้ว ญาท่านมั่นท่านก็สอนไว้ทุกอย่าง” ที่นี้พอภาวนา ใจก็ไม่ยอมลงให้หลวงปู่กงมา ทำอย่างไรจิตใจก็ไม่อ่อนไม่ลง จิตไม่รวมแข็งกระด้างอยู่อย่างนั้น ก็ได้แต่นึกด่าตัวเองอยู่ในจ่า “อีทิฐิ อีมานะ อีหยาบอีดื้อ อีหม้อนรกอเวจี”
นั่งภาวนาก็ด่า เดินจงกรมก็ด่า ปวดท้องบิดก็ปวดฝนก็ตกกระหน่ำ เดินจงกรมตากฝนตลอดคืน จนค่อนสว่าง จึงทบทวนตรวจดูตนเองว่าเป็นอย่างไร จึงแข็งกระด้างหนักหนาจิตใจดวงนี้ มาคิดได้ว่า กิจของตนก็ประกอบอยู่แล้ว ข้าวปลาอาหารก็อาศัยอยู่กับครูบาอาจารย์ มันดื้อ มันอวด มันประจานตัวเอง ไม่ยอมลงแก่ใคร ๆ อยู่นี่ เพราะมาถือว่าตนรู้ถือผู้รู้นี้หรือ
ทีนี้ก็เลยตั้งจิตอธิษฐานขออโหสิกรรมพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ไหว้พระ สวดมนต์ เจริญเมตตา จิตจึงลั่นครึบ ตกวูบลงภายใน สงบนิ่งอยู่สักพัก แสงสว่างภายในจากจุดน้อย ๆ ก็สว่างมากขึ้น กว้างขึ้น ขยายกว้างจนสว่างหมด แต่ก่อนมันไม่สว่าง ไม่ชัดเจนหรุบหรู่อยู่ พอจิตยอมแล้วก็สว่างแจ้งใส ใจก็ชัดเจน พิจารณาอะไรมันก็ควร จิตอ่อน จิตเบา จิตควรแก่การงาน มีธรรมะอบรมอยู่ในใจ พิจารณาธรรมะอันใด ก็ชัดเจนหมด
เมื่อออกจากทางจงกรมแล้ว เปลี่ยนเสื้อผ้า ทำกิจการงานอะไรก็สบายรู้ตลอดไป จนหลวงปู่กงมากลับจากบิณฑบาต กิริยาของท่านเปลี่ยนไป ดูยิ้มแย้มแจ่มใส จัดแจงแบ่งปันอาหารบิณฑบาตด้วยองค์ท่านเอง แบ่งให้พระเณรแบ่งให้แม่ชี กิริยาใด ๆ ก็ดูนุ่มนวลอ่อนละมุนละไม ซึ่งผิดกับเมื่อครั้งก่อน ๆ กิริยาของท่านบูดบึ้ง มึนตึง ไม่ควรว่าก็ว่า ไม่ควรด่าก็ด่า คำด่าก็เป็นคำเดียวกันกับที่คุณแม่นึกด่าตัวเองอยู่ภายในใจนั่นเอง และมักจะยกย่องคนนั้นคนนี้ แม่ชีรูปนั้นรูปนี้ว่าดี อันนั้นก็ดี อันนี้ก็ถูก
ภายหลังฉันจังหันเสร็จแล้ว หลวงปู่ก็ประกาศดัง ๆ คับศาลาว่า “แม่แก้วเอ๋ย..ถูกทางของเธอแล้ว ตั้งใจไปเถิด” พอพูดจบก็ลงจากศาลาไป ถึงเวลาบ่าย หลวงปู่ออกจากที่พักผ่อนแล้ว คุณแม่ก็จัดแต่งขัน 5 ขัน 8 ไปขอขมาคารวะ แต่ท่านให้คารวะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก่อน จากนั้นท่านก็รับการขอขมาคารวะจากคุณแม่เป็นลำดับสุดท้าย และท่านได้เล่าความฝันอันเป็นอุบายธรรมภาวนาให้คุณแม่ฟังว่า “เมื่อคืนนี้อาตมาฝันว่า ควายอีตู้ มาชนหมู ของอาตมา”
ที่มา เพจ: แม่ชีกรรมฐานบ้านห้วยทราย