คนไทกินกาแฟ340แก้วต่อปีโตสวนเสดกิจ

กระทู้คำถาม


คนไทยดื่มกาแฟทะลุ 340 แก้วต่อปี ดันธุรกิจกาแฟโตสวนเศรษฐกิจ
.
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผย อุตสาหกรรมกาแฟไทยโตต่อเนื่อง หลังคนไทยดื่มเพิ่มขึ้นเฉลี่ยมากกว่า 340 แก้วต่อคนต่อปี มูลค่าตลาดในประเทศแตะระดับ 65,000 ล้านบาท   แต่ต้องเจอกับการแข่งขันที่รุนแรงและต้นทุนที่ผันผวน แนะผู้ประกอบการปรับตัว
.
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ วิเคราะห์ธุรกิจดาวเด่นประจำเดือนมิ.ย. 2568 พบว่า “อุตสาหกรรมกาแฟไทย” ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง สอดรับกับกระแสตลาดโลกที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งอุตสาหกรรมกาแฟทั้งระดับโลกและประเทศ ไทยกำลังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยในปี 2024 ตลาดกาแฟโลกมีมูลค่าสูงถึง 269.27 พันล้านดอลลาร์และคาดว่าจะขยายตัวถึง 369.46 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ด้วยอัตราเติบโต เฉลี่ยต่อปี (CAGR) 5.3% จากการที่กาแฟกลายมา เป็นเครื่องดื่มประจำวัน จึงทำให้การบริโภคกาแฟ เพิ่มขึ้น
.
ขณะที่ คนไทยมีพฤติกรรมการบริโภคกาแฟเพิ่มขึ้นเฉลี่ยมากกว่า 340 แก้วต่อคนต่อปี ส่งผลให้มูลค่าตลาดในประเทศแตะระดับ 65,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 8.33%
.
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผยว่า ไทยสามารถผลิตเมล็ดกาแฟได้ ทั้งสายพันธุ์ อ าราบิก้าและโ รบัสต้า โดยมีพื้นที่ปลูกกว่ า 220,000 ไร่ทั่วประเทศ ซึ่งผลิตได้ประมาณ 40,000–50,000 ตัน/ปี แต่เป็นกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee) เพียง 5 ,000 ตันเท่านั้น ซึ่งการผลิตยังไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภค ภายในประเทศ ส่งผลให้ต้องนำเข้าเมล็ดกาแฟ มากขึ้น โดยในปี 2568 (ม.ค. - พ.ค.) มีมูลค่าการ นำเข้าสูงถึง 8,387 ล้านบาท และมูลค่าการ ส่งออกอยู่ที่ 2,411 ล้านบาท
.
ขณะเดียวกัน การจัดตั้งธุรกิจใหม่ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้นถึง 8.92% สะท้อนความนิยมของผู้บริโภครุ่นใหม่ที่มองกาแฟเป็นทั้งไลฟ์สไตล์และธุรกิจที่สร้างโอกาส ชี้ตลาดยังเปิดกว้างพร้อมมีโมเดลการลงทุนร้านกาแฟในรูปแบบแฟรนไชส์ให้นักลงทุนมือใหม่ได้ปิดความเสี่ยงในการทำธุรกิจ และกลุ่มกาแฟคุณภาพสูงยังมีอนาคตที่สดใส ด้านเจ้าของร้านกาแฟต้องใส่ใจคิดค้นกลยุทธ์ใหม่ๆ ให้ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคอยู่เสมอ
.
พฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน จากการบริโภคกาแฟ สำเร็จรูปสู่กาแฟสด และกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee) โดยกลุ่มผู้บริโภคแต่ละเจนเนอเรชันมีความ ต้องการต่างกัน ตั้งแต่ Gen X ที่เน้นความสะดวก ไปจนถึง Gen Y และ Z ที่ให้ความสำคัญกับ ประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ และความยั่งยืน ส่งผลให้ รูปแบบร้านกาแฟมีความหลากหลายมากขึ้นในเชิงโครงสร้างธุรกิจ สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1. Franchise/chain เช่น Café Amazon, PunThai Coffee ได้เปรียบด้านแบรนด์ เข้าถึงง่าย มีสาขามากและ Net Profit Margin สูงเฉลี่ย 17.5%  2. Independent เช่น NANA Coffee Roaster, Red Diamond Cafe เน้นคุณภาพ ประสบการณ์ และความเฉพาะตัว แต่มีต้นทุนสูง และกำไร เฉลี่ยเพียง 4.6%
.
โดยข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า ข้อมูลจดทะเบียนธุรกิจ ปี 2568 (ม.ค. - มิ.ย.) มีการจัดตั้งธุรกิจใหม่ 415 ราย เพิ่มขึ้นจากปี ก่อนหน้า 8.9% แต่ทุนจดทะเบียนลดลง 33.7% ส่วนใหญ่ (96%) เป็นธุรกิจขนาดเล็ก และตั้งอยู่ใน กรุงเทพฯ (33%) สะท้อนภาพการแข่งขันที่สูงและ ความสนใจในตลาดกาแฟอย่างต่อเนื่อง และข้อมูล ผลประกอบการย้อนหลัง พบว่า รายได้รวมของ ธุรกิจกาแฟอยู่ในระดับทรงตัว แต่ก าไรสุทธิ เริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ผลิต ขณะที่ธุรกิจประเภท Franchise/chain สามารถ รักษา Net Profit Margin เฉลี่ยที่ 17.5% ส่วน ธุรกิจประเภท Independent มีอัตราก าไรเฉลี่ย เพียง 4.6% สะท้อนถึงความท้าทายในการบริหาร จัดการต้นทุนและสร้างความแตกต่าง
.
.
ลิงก์อ่านต่อในคอมเมนท์
.
.
#กรุงเทพธุรกิจ #InsightforOpportunities #กรุงเทพธุรกิจBusiness

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่