ปลาแซลมอนกว่า 50% ที่อยู่บนโต๊ะอาหารทั่วโลก ล้วนส่งออกมาจากประเทศนอร์เวย์นอกจากปลาแซลมอนแล้ว นอร์เวย์ยังเป็นอันดับ 1 ในการส่งออกปลาค็อด ปลาเทราต์ ปลาแมกเคอเรล และอยู่ในอันดับต้น ๆ ของการส่งออกอาหารทะเลอีกหลายต่อหลายชนิด ทั้งหมดล้วนส่งผลให้นอร์เวย์ เป็นประเทศที่ส่งออกอาหารทะเลมากที่สุดอันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศจีน
แต่สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่เรื่องของปริมาณ..
เพราะคุณภาพอาหารทะเลของนอร์เวย์ ก็เป็นสิ่งที่ประทับใจคนทั้งโลก ทั้งความสะอาด อุดมไปด้วยสารอาหาร และความสดใหม่ โดยเฉพาะเนื้อปลาเกรดพรีเมียม ที่จะละลายทันทีเมื่อถูกนำเข้าปากอะไรที่ทำให้ประเทศเล็ก ๆ อย่างนอร์เวย์ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านอาหารทะเลของโลก ?
คนทั่วโลกรู้จักนอร์เวย์ในฐานะ “ดินแดนแห่งพระอาทิตย์เที่ยงคืน” เนื่องจากมีทำเลที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากขั้วโลกเหนือ ช่วงฤดูร้อนของนอร์เวย์ จึงมีเวลากลางวันยาวนานกว่ากลางคืนมาก ยิ่งใกล้ขั้วโลกเท่าไร เวลาที่พระอาทิตย์ส่องแสงก็ยิ่งยาวนานขึ้นเท่านั้น
แต่ถึงแม้จะอยู่ใกล้กับขั้วโลกเหนือ ชายฝั่งทะเลของนอร์เวย์กลับไม่เป็นน้ำแข็งในช่วงฤดูหนาว ด้วยอิทธิพลจากกระแสน้ำอุ่น Gulf Stream ที่นำพาความอบอุ่นมาให้กับชายฝั่งอันยาวเหยียดของนอร์เวย์
แต่ความโชคดียิ่งกว่า คือกระแสน้ำอุ่นที่มากระทบกับความเย็นของกระแสน้ำเย็นจากขั้วโลก เกิดเป็นระบบนิเวศทางทะเลที่อุดมสมบูรณ์ เรียกว่า “Dogger Bank” ที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตของสัตว์ทะเล เป็นแหล่งอาศัยของปลาน้อยใหญ่และทำให้ท้องทะเลของนอร์เวย์อุดมสมบูรณ์ที่สุดในยุโรปด้วยแนวชายฝั่งที่ยาวกว่า 29,750 กิโลเมตร ทำให้นอร์เวย์มีพื้นที่สำหรับทำการประมงอย่างมหาศาล การทำประมงจึงแทรกซึมอยู่ในวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวนอร์เวย์มาเป็นเวลาหลายศตวรรษจนกลายเป็นความเชี่ยวชาญ โดยมีศูนย์กลางการค้าปลาอยู่ที่เมืองเบอร์เกน (Bergen) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ
แต่จุดเปลี่ยนสำคัญทางเศรษฐกิจของนอร์เวย์ คือการค้นพบแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ในทะเลเหนือช่วงทศวรรษ 1960s ที่ทำให้น้ำมันกลายเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของประเทศแทนอาหารจากท้องทะเลหลังจากนั้นมา นอร์เวย์ได้กลายเป็นผู้ส่งออกน้ำมันที่สำคัญของยุโรป และด้วยความที่มีประชากรน้อยมาก ชาวนอร์เวย์ 5 ล้านคน จึงมี GDP ต่อหัวสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลนอร์เวย์ก็ได้เล็งเห็นว่า น้ำมันเป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป ความมั่งคั่งจากน้ำมันจึงเป็นความมั่งคั่งที่ไม่ยั่งยืน จึงได้พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ความมั่งคั่งนี้ยังคงหล่อเลี้ยงชาวนอร์เวย์ต่อไป แม้ในวันที่ไม่มีน้ำมันอีกแล้ว
ประการแรก รัฐบาลได้จัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งรัฐ หรือ “Government Pension Fund” ขึ้น โดยกองทุนนี้จะนำเงินที่เก็บจากภาษีของบริษัทน้ำมันมาลงทุนเก็บเกี่ยวดอกผล โดยลงทุนในบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อเป็นหลักประกันว่าจะมีเงินงบประมาณเพียงพอสำหรับลูกหลานชาวนอร์เวย์ในอนาคต
ประการที่สอง การหาภาคส่วนเศรษฐกิจมาทดแทนการส่งออกน้ำมัน ซึ่งก็ย้อนกลับไปที่ภาคเศรษฐกิจที่มีบทบาทมาเป็นเวลาหลายร้อยปี อย่าง “การทำประมง”นับตั้งแต่อดีต การทำประมงของนอร์เวย์นั้นเป็นประมงนอกชายฝั่ง หรือ“Offshore” ที่เป็นการตักตวงทรัพยากรจากท้องทะเลซึ่งก็อาจหมดไปได้ในวันหนึ่งข้างหน้า
ในช่วงทศวรรษ 1970s รัฐบาลจึงริเริ่มสนับสนุนให้มีการทำประมงบนฝั่ง“Inshore” โดยเฉพาะฟาร์มเลี้ยงปลามากขึ้นชายฝั่งทะเลของนอร์เวย์มีความพิเศษ คือ มีลักษณะเว้าแหว่งเข้ามาในแผ่นดินเป็นอ่าวแคบ ๆ อยู่ระหว่างหน้าผาสูงชัน เรียกว่า ฟยอร์ด (Fjord) ซึ่งเกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำแข็งตั้งแต่ยุคน้ำแข็งหลายหมื่นปีก่อน
การมีฟยอร์ดที่เว้าแหว่งกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ตามธรรมชาติที่ดีสำหรับการทำฟาร์มเลี้ยงปลา เพราะมีพื้นที่เพียงพอให้ปลาว่ายน้ำ และอยู่ห่างไกลจากเส้นทางเดินเรือนอกชายฝั่งที่ปล่อยมลภาวะ พอเรื่องเป็นแบบนี้ก็ทำให้ประเทศนอร์เวย์มีการทำฟาร์มเลี้ยงปลามากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะฟาร์มปลาแซลมอน และปลาเทราต์ ซึ่งการทำฟาร์มเลี้ยงปลามีผู้ควบคุมก็คือ กระทรวงการประมงและกิจการชายฝั่ง ที่มีการจัดตั้งช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อดูแลอุตสาหกรรมประมงโดยเฉพาะฟาร์มปลาทุกแห่งจะต้องทำตามข้อกำหนดของกระทรวง
ไม่ว่าจะเป็นในกระชังแต่ละใบจะต้องมีพื้นที่เพียงพอให้ปลาสามารถเจริญเติบโตได้ สภาพแวดล้อมในกระชังจะต้องสะอาด ฟาร์มเพาะพันธุ์ปลาจะต้องไม่อยู่ใกล้กับเส้นทางเดินเรือ และควบคุมการใช้สารเคมีและยาปฏิชีวนะในการเลี้ยงดูปลาอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ได้พันธุ์ปลาที่มีคุณภาพที่สุด
จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของการทำประมงในนอร์เวย์ คือความร่วมมืออย่างเหนียวแน่นระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนรัฐบาลนอร์เวย์ให้ความสำคัญกับงานวิจัยและพัฒนามาก โดยเป็นผู้ให้งบประมาณแก่สถาบันวิจัยของรัฐ สำหรับนำมาปรับใช้กับภาคเอกชนทุกระดับ ตั้งแต่ชาวประมงอิสระ เจ้าของฟาร์มเลี้ยงปลา ไปจนถึงบริษัทขนาดใหญ่หนึ่งในสถาบันสำคัญที่เป็นแรงผลักดันในกระบวนการวิจัยและพัฒนา คือสถาบันวิจัยทางทะเลแห่งชาตินอร์เวย์หรือ Norwegian Institute of Marine Research ตั้งอยู่ในเมืองเบอร์เกน ศูนย์กลางด้านประมงของประเทศ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการผลักดันงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเลมาสู่ภาคเอกชน ตัวอย่างหน่วยงานวิจัยที่สำคัญ เช่น
• CRISP หน่วยงานวิจัยด้านการพัฒนาการทำประมงด้วยคลื่นโซนาร์และเสียงเอคโค เพื่อให้เรือประมงนอกชายฝั่งสามารถประยุกต์ใช้คลื่นสะท้อนนี้ในการวัดขนาด และชนิดของฝูงปลา ทำให้การทำประมงมีทิศทางที่แม่นยำ และประหยัดทั้งต้นทุนด้านพลังงาน และเวลา
• EcoNorSe หน่วยงานวิจัยด้านการศึกษาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของปลานอกชายฝั่งทะเล และนำเสนอเป็นข้อมูล ทั้งการกระจายตัวของปลาเศรษฐกิจที่สำคัญ และปริมาณการบริโภคแพลงก์ตอนทะเลของปลาเศรษฐกิจที่สำคัญ
นอกเหนือจากสถาบันของรัฐ ยังมีสถาบันการศึกษาอย่าง University of Bergen ที่เป็นสถาบันที่เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเลมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกที่มีงานวิจัยร่วมกันกับทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะการทำฟาร์มเลี้ยงปลาและพัฒนากระบวนการขนส่งอาหารทะเลที่จะกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
นอกเหนือจากการสนับสนุนจากภาครัฐบาลแล้ว ทางฝั่งของภาคเอกชนก็ได้มีการลงทุนเป็นเงินมากกว่า 500 ล้านบาทในแต่ละปี เพื่อให้เกิดการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งบริษัท Leroy Seafood Group บริษัท Marine Harvest และบริษัท SalMar ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นผู้นำในการทำฟาร์มปลาแซลมอนในระดับโลก
นอกจากด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล ซึ่งเป็นศาสตร์พื้นฐาน ที่ทำให้ได้ผลผลิตอาหารทะเลที่มีคุณภาพ รัฐบาลนอร์เวย์ยังเป็นผู้นำในการสนับสนุนการทำการตลาด เพื่อให้ผลผลิตที่มีคุณภาพ ถึงมือลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
โดยด้านการตลาด เป็นหน้าที่ของสภาอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์ หรือ Norwegian Seafood Council (NSC) ซึ่งมีหน้าที่ในการทำการตลาดในทุกรูปแบบ ทั้งการหาตลาดใหม่ การวิเคราะห์ข้อมูลทางการตลาดของประเทศลูกค้าที่สำคัญ การวางแผนการขนส่งทางอากาศเพื่อให้อาหารทะเลสดใหม่ถึงมือผู้รับอย่างเร็วที่สุด และเป็นผู้กำหนดตราสัญลักษณ์ “Seafood from Norway” เพื่อการันตีคุณภาพอาหารทะเลจากนอร์เวย์ ว่ามีความสด ความสะอาด และความปลอดภัย
NSC มีสำนักงานตั้งอยู่ใน 12 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย เพื่อทำการตลาดอาหารทะเลให้เฉพาะกับลูกค้าในแต่ละประเทศที่มีความต้องการแตกต่างกันไป การทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบของภาครัฐและเอกชน ทั้งภาควิจัยและพัฒนาที่เป็นเหมือนผลิตภัณฑ์ต้นน้ำ กับภาคการตลาด ที่เป็นเหมือนบริการปลายน้ำกลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัว ทำให้อาหารทะเลจากนอร์เวย์มีคุณภาพสูง สามารถเจาะตลาดไปสู่ลูกค้าทั่วทุกมุมโลก
นอร์เวย์เป็นประเทศที่โชคดี มีทั้งทรัพยากรทางทะเลที่อุดมสมบูรณ์ และมีทรัพยากรอย่างน้ำมันที่สร้างรายได้มหาศาล แต่ความโชคดีก็เป็นสิ่งไม่จีรังยั่งยืน ในเมื่อทรัพยากรที่มีล้วนเป็นสิ่งที่ใช้แล้วหมดไป หลายประเทศบนโลกที่ร่ำรวยจากการส่งออกทรัพยากรธรรมชาติ แต่ท้ายที่สุดกลับประสบปัญหาทางเศรษฐกิจเพราะขาดการบริหารจัดการที่ดี
เป้าหมายหลักของรัฐบาลนอร์เวย์ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา จึงเป็นการค่อย ๆลดสัดส่วนของการส่งออกน้ำมัน และนำรายได้จากการส่งออกน้ำมันมาพัฒนาและวางรากฐานการทำประมงให้มีประสิทธิภาพ ทุ่มเทสร้างงานวิจัย นำมาประยุกต์ใช้กับภาคเอกชนอย่างแข็งขัน ทำการตลาดอย่างจริงจังเพื่อสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุดและวางแผน
ในปี 2050 การส่งออกอาหารทะเลจากนอร์เวย์ คาดว่าจะสร้างมูลค่าสูงถึง 2 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่มากกว่าการส่งออกอาหารทะเลในปี 2018 เกือบ 6 เท่า ความโชคดีอาจเป็นสิ่งที่หลายประเทศใฝ่หา แต่สำหรับประเทศนอร์เวย์ซึ่งเป็นเจ้าแห่งอาหารทะเลแล้วสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่า ก็คือ “ความยั่งยืน”
ทำไม นอร์เวย์จึงเป็นประเทศแห่งอาหารทะเล ?
ปลาแซลมอนกว่า 50% ที่อยู่บนโต๊ะอาหารทั่วโลก ล้วนส่งออกมาจากประเทศนอร์เวย์นอกจากปลาแซลมอนแล้ว นอร์เวย์ยังเป็นอันดับ 1 ในการส่งออกปลาค็อด ปลาเทราต์ ปลาแมกเคอเรล และอยู่ในอันดับต้น ๆ ของการส่งออกอาหารทะเลอีกหลายต่อหลายชนิด ทั้งหมดล้วนส่งผลให้นอร์เวย์ เป็นประเทศที่ส่งออกอาหารทะเลมากที่สุดอันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศจีน
แต่สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่เรื่องของปริมาณ..
เพราะคุณภาพอาหารทะเลของนอร์เวย์ ก็เป็นสิ่งที่ประทับใจคนทั้งโลก ทั้งความสะอาด อุดมไปด้วยสารอาหาร และความสดใหม่ โดยเฉพาะเนื้อปลาเกรดพรีเมียม ที่จะละลายทันทีเมื่อถูกนำเข้าปากอะไรที่ทำให้ประเทศเล็ก ๆ อย่างนอร์เวย์ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านอาหารทะเลของโลก ?
คนทั่วโลกรู้จักนอร์เวย์ในฐานะ “ดินแดนแห่งพระอาทิตย์เที่ยงคืน” เนื่องจากมีทำเลที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากขั้วโลกเหนือ ช่วงฤดูร้อนของนอร์เวย์ จึงมีเวลากลางวันยาวนานกว่ากลางคืนมาก ยิ่งใกล้ขั้วโลกเท่าไร เวลาที่พระอาทิตย์ส่องแสงก็ยิ่งยาวนานขึ้นเท่านั้น
แต่ถึงแม้จะอยู่ใกล้กับขั้วโลกเหนือ ชายฝั่งทะเลของนอร์เวย์กลับไม่เป็นน้ำแข็งในช่วงฤดูหนาว ด้วยอิทธิพลจากกระแสน้ำอุ่น Gulf Stream ที่นำพาความอบอุ่นมาให้กับชายฝั่งอันยาวเหยียดของนอร์เวย์
แต่ความโชคดียิ่งกว่า คือกระแสน้ำอุ่นที่มากระทบกับความเย็นของกระแสน้ำเย็นจากขั้วโลก เกิดเป็นระบบนิเวศทางทะเลที่อุดมสมบูรณ์ เรียกว่า “Dogger Bank” ที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตของสัตว์ทะเล เป็นแหล่งอาศัยของปลาน้อยใหญ่และทำให้ท้องทะเลของนอร์เวย์อุดมสมบูรณ์ที่สุดในยุโรปด้วยแนวชายฝั่งที่ยาวกว่า 29,750 กิโลเมตร ทำให้นอร์เวย์มีพื้นที่สำหรับทำการประมงอย่างมหาศาล การทำประมงจึงแทรกซึมอยู่ในวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวนอร์เวย์มาเป็นเวลาหลายศตวรรษจนกลายเป็นความเชี่ยวชาญ โดยมีศูนย์กลางการค้าปลาอยู่ที่เมืองเบอร์เกน (Bergen) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ
แต่จุดเปลี่ยนสำคัญทางเศรษฐกิจของนอร์เวย์ คือการค้นพบแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ในทะเลเหนือช่วงทศวรรษ 1960s ที่ทำให้น้ำมันกลายเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของประเทศแทนอาหารจากท้องทะเลหลังจากนั้นมา นอร์เวย์ได้กลายเป็นผู้ส่งออกน้ำมันที่สำคัญของยุโรป และด้วยความที่มีประชากรน้อยมาก ชาวนอร์เวย์ 5 ล้านคน จึงมี GDP ต่อหัวสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลนอร์เวย์ก็ได้เล็งเห็นว่า น้ำมันเป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป ความมั่งคั่งจากน้ำมันจึงเป็นความมั่งคั่งที่ไม่ยั่งยืน จึงได้พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ความมั่งคั่งนี้ยังคงหล่อเลี้ยงชาวนอร์เวย์ต่อไป แม้ในวันที่ไม่มีน้ำมันอีกแล้ว
ประการแรก รัฐบาลได้จัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งรัฐ หรือ “Government Pension Fund” ขึ้น โดยกองทุนนี้จะนำเงินที่เก็บจากภาษีของบริษัทน้ำมันมาลงทุนเก็บเกี่ยวดอกผล โดยลงทุนในบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อเป็นหลักประกันว่าจะมีเงินงบประมาณเพียงพอสำหรับลูกหลานชาวนอร์เวย์ในอนาคต
ประการที่สอง การหาภาคส่วนเศรษฐกิจมาทดแทนการส่งออกน้ำมัน ซึ่งก็ย้อนกลับไปที่ภาคเศรษฐกิจที่มีบทบาทมาเป็นเวลาหลายร้อยปี อย่าง “การทำประมง”นับตั้งแต่อดีต การทำประมงของนอร์เวย์นั้นเป็นประมงนอกชายฝั่ง หรือ“Offshore” ที่เป็นการตักตวงทรัพยากรจากท้องทะเลซึ่งก็อาจหมดไปได้ในวันหนึ่งข้างหน้า
ในช่วงทศวรรษ 1970s รัฐบาลจึงริเริ่มสนับสนุนให้มีการทำประมงบนฝั่ง“Inshore” โดยเฉพาะฟาร์มเลี้ยงปลามากขึ้นชายฝั่งทะเลของนอร์เวย์มีความพิเศษ คือ มีลักษณะเว้าแหว่งเข้ามาในแผ่นดินเป็นอ่าวแคบ ๆ อยู่ระหว่างหน้าผาสูงชัน เรียกว่า ฟยอร์ด (Fjord) ซึ่งเกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำแข็งตั้งแต่ยุคน้ำแข็งหลายหมื่นปีก่อน
การมีฟยอร์ดที่เว้าแหว่งกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ตามธรรมชาติที่ดีสำหรับการทำฟาร์มเลี้ยงปลา เพราะมีพื้นที่เพียงพอให้ปลาว่ายน้ำ และอยู่ห่างไกลจากเส้นทางเดินเรือนอกชายฝั่งที่ปล่อยมลภาวะ พอเรื่องเป็นแบบนี้ก็ทำให้ประเทศนอร์เวย์มีการทำฟาร์มเลี้ยงปลามากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะฟาร์มปลาแซลมอน และปลาเทราต์ ซึ่งการทำฟาร์มเลี้ยงปลามีผู้ควบคุมก็คือ กระทรวงการประมงและกิจการชายฝั่ง ที่มีการจัดตั้งช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อดูแลอุตสาหกรรมประมงโดยเฉพาะฟาร์มปลาทุกแห่งจะต้องทำตามข้อกำหนดของกระทรวง
ไม่ว่าจะเป็นในกระชังแต่ละใบจะต้องมีพื้นที่เพียงพอให้ปลาสามารถเจริญเติบโตได้ สภาพแวดล้อมในกระชังจะต้องสะอาด ฟาร์มเพาะพันธุ์ปลาจะต้องไม่อยู่ใกล้กับเส้นทางเดินเรือ และควบคุมการใช้สารเคมีและยาปฏิชีวนะในการเลี้ยงดูปลาอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ได้พันธุ์ปลาที่มีคุณภาพที่สุด
จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของการทำประมงในนอร์เวย์ คือความร่วมมืออย่างเหนียวแน่นระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนรัฐบาลนอร์เวย์ให้ความสำคัญกับงานวิจัยและพัฒนามาก โดยเป็นผู้ให้งบประมาณแก่สถาบันวิจัยของรัฐ สำหรับนำมาปรับใช้กับภาคเอกชนทุกระดับ ตั้งแต่ชาวประมงอิสระ เจ้าของฟาร์มเลี้ยงปลา ไปจนถึงบริษัทขนาดใหญ่หนึ่งในสถาบันสำคัญที่เป็นแรงผลักดันในกระบวนการวิจัยและพัฒนา คือสถาบันวิจัยทางทะเลแห่งชาตินอร์เวย์หรือ Norwegian Institute of Marine Research ตั้งอยู่ในเมืองเบอร์เกน ศูนย์กลางด้านประมงของประเทศ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการผลักดันงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเลมาสู่ภาคเอกชน ตัวอย่างหน่วยงานวิจัยที่สำคัญ เช่น
• CRISP หน่วยงานวิจัยด้านการพัฒนาการทำประมงด้วยคลื่นโซนาร์และเสียงเอคโค เพื่อให้เรือประมงนอกชายฝั่งสามารถประยุกต์ใช้คลื่นสะท้อนนี้ในการวัดขนาด และชนิดของฝูงปลา ทำให้การทำประมงมีทิศทางที่แม่นยำ และประหยัดทั้งต้นทุนด้านพลังงาน และเวลา
• EcoNorSe หน่วยงานวิจัยด้านการศึกษาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของปลานอกชายฝั่งทะเล และนำเสนอเป็นข้อมูล ทั้งการกระจายตัวของปลาเศรษฐกิจที่สำคัญ และปริมาณการบริโภคแพลงก์ตอนทะเลของปลาเศรษฐกิจที่สำคัญ
นอกเหนือจากสถาบันของรัฐ ยังมีสถาบันการศึกษาอย่าง University of Bergen ที่เป็นสถาบันที่เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเลมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกที่มีงานวิจัยร่วมกันกับทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะการทำฟาร์มเลี้ยงปลาและพัฒนากระบวนการขนส่งอาหารทะเลที่จะกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
นอกเหนือจากการสนับสนุนจากภาครัฐบาลแล้ว ทางฝั่งของภาคเอกชนก็ได้มีการลงทุนเป็นเงินมากกว่า 500 ล้านบาทในแต่ละปี เพื่อให้เกิดการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งบริษัท Leroy Seafood Group บริษัท Marine Harvest และบริษัท SalMar ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นผู้นำในการทำฟาร์มปลาแซลมอนในระดับโลก
นอกจากด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล ซึ่งเป็นศาสตร์พื้นฐาน ที่ทำให้ได้ผลผลิตอาหารทะเลที่มีคุณภาพ รัฐบาลนอร์เวย์ยังเป็นผู้นำในการสนับสนุนการทำการตลาด เพื่อให้ผลผลิตที่มีคุณภาพ ถึงมือลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
โดยด้านการตลาด เป็นหน้าที่ของสภาอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์ หรือ Norwegian Seafood Council (NSC) ซึ่งมีหน้าที่ในการทำการตลาดในทุกรูปแบบ ทั้งการหาตลาดใหม่ การวิเคราะห์ข้อมูลทางการตลาดของประเทศลูกค้าที่สำคัญ การวางแผนการขนส่งทางอากาศเพื่อให้อาหารทะเลสดใหม่ถึงมือผู้รับอย่างเร็วที่สุด และเป็นผู้กำหนดตราสัญลักษณ์ “Seafood from Norway” เพื่อการันตีคุณภาพอาหารทะเลจากนอร์เวย์ ว่ามีความสด ความสะอาด และความปลอดภัย
NSC มีสำนักงานตั้งอยู่ใน 12 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย เพื่อทำการตลาดอาหารทะเลให้เฉพาะกับลูกค้าในแต่ละประเทศที่มีความต้องการแตกต่างกันไป การทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบของภาครัฐและเอกชน ทั้งภาควิจัยและพัฒนาที่เป็นเหมือนผลิตภัณฑ์ต้นน้ำ กับภาคการตลาด ที่เป็นเหมือนบริการปลายน้ำกลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัว ทำให้อาหารทะเลจากนอร์เวย์มีคุณภาพสูง สามารถเจาะตลาดไปสู่ลูกค้าทั่วทุกมุมโลก
นอร์เวย์เป็นประเทศที่โชคดี มีทั้งทรัพยากรทางทะเลที่อุดมสมบูรณ์ และมีทรัพยากรอย่างน้ำมันที่สร้างรายได้มหาศาล แต่ความโชคดีก็เป็นสิ่งไม่จีรังยั่งยืน ในเมื่อทรัพยากรที่มีล้วนเป็นสิ่งที่ใช้แล้วหมดไป หลายประเทศบนโลกที่ร่ำรวยจากการส่งออกทรัพยากรธรรมชาติ แต่ท้ายที่สุดกลับประสบปัญหาทางเศรษฐกิจเพราะขาดการบริหารจัดการที่ดี
เป้าหมายหลักของรัฐบาลนอร์เวย์ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา จึงเป็นการค่อย ๆลดสัดส่วนของการส่งออกน้ำมัน และนำรายได้จากการส่งออกน้ำมันมาพัฒนาและวางรากฐานการทำประมงให้มีประสิทธิภาพ ทุ่มเทสร้างงานวิจัย นำมาประยุกต์ใช้กับภาคเอกชนอย่างแข็งขัน ทำการตลาดอย่างจริงจังเพื่อสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุดและวางแผน
ในปี 2050 การส่งออกอาหารทะเลจากนอร์เวย์ คาดว่าจะสร้างมูลค่าสูงถึง 2 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่มากกว่าการส่งออกอาหารทะเลในปี 2018 เกือบ 6 เท่า ความโชคดีอาจเป็นสิ่งที่หลายประเทศใฝ่หา แต่สำหรับประเทศนอร์เวย์ซึ่งเป็นเจ้าแห่งอาหารทะเลแล้วสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่า ก็คือ “ความยั่งยืน”