โลกหลัง
UBI และการที่มนุษย์ใช้สมองกันมากขึ้น จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลายด้าน ซึ่งบางอย่างเป็นไปในทางบวกอย่างมหาศาล ขณะที่บางอย่างก็ยังคงเป็นความท้าทายที่ซับซ้อน
ด้านบวก: ยุคทองของนวัตกรรมและมนุษยนิยม
1️⃣ นวัตกรรมและการสร้างสรรค์พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์: เมื่อมนุษย์ไม่ต้องกังวลเรื่องการดำรงชีพพื้นฐานและถูกปลดปล่อยจากงานซ้ำซาก พลังงานและเวลาจะถูกทุ่มเทไปกับการคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ การทดลองทางวิทยาศาสตร์ ศิลปะ ดนตรี และการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนอย่างแท้จริง โลกจะเห็นการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ก้าวกระโดด การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่เคยมีมาก่อน และผลงานสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย
2️⃣ การพัฒนาศักยภาพมนุษย์อย่างเต็มที่: ผู้คนจะมีโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต พัฒนาทักษะที่สนใจ และแสวงหาความรู้ในสาขาที่ไม่เคยมีเวลาทำมาก่อน มนุษย์จะมุ่งเน้นไปที่ทักษะเฉพาะตัวที่ AI ยังทำไม่ได้ เช่น ความฉลาดทางอารมณ์ การคิดเชิงวิพากษ์ ความคิดนอกกรอบ การเป็นผู้นำ และการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
3️⃣ การแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม: ด้วยพลังของสมองจำนวนมากที่ถูกปลดปล่อย และความพร้อมของ UBI ที่ช่วยลดความกังวลพื้นฐาน มนุษย์จะสามารถทุ่มเทให้กับปัญหาใหญ่ระดับโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความยากจนที่ยังคงอยู่ หรือโรคภัยไข้เจ็บที่ซับซ้อน ด้วยมุมมองที่กว้างขึ้นและสร้างสรรค์ขึ้น
4️⃣ เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยคุณค่า: การบริโภคสินค้าและบริการพื้นฐานจะยังคงมีอยู่ แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจจะถูกขับเคลื่อนด้วย "
คุณค่า" ที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น เช่น นวัตกรรมใหม่ ๆ การบริการที่ต้องใช้ความเห็นอกเห็นใจ หรือประสบการณ์ที่ไม่สามารถทำซ้ำได้ด้วยหุ่นยนต์
ด้านลบและข้อควรระวัง: ความท้าทายที่ซับซ้อนขึ้น
1️⃣ ความเหลื่อมล้ำทางปัญญาและโอกาส: แม้ทุกคนจะได้รับ UBI แต่ "
คุณภาพ" ของการคิดค้นและสร้างสรรค์ของแต่ละบุคคลอาจแตกต่างกันอย่างมาก ผู้ที่สามารถสร้างนวัตกรรมที่มีมูลค่าสูงได้ จะยังคงมีรายได้และอิทธิพลที่สูงกว่า ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในรูปแบบใหม่ คือระหว่าง "
ผู้สร้างคุณค่า" กับ "
ผู้บริโภคคุณค่า" และอาจจะยิ่งถ่างออกไปหากการเข้าถึงการศึกษาและการพัฒนาทักษะไม่เท่าเทียมกัน
2️⃣ วิกฤตความหมายของชีวิต: เมื่อ "
งาน" แบบเดิมไม่ใช่แกนหลักของชีวิตอีกต่อไป บางคนอาจเผชิญกับวิกฤตทางจิตวิทยา การขาดเป้าหมาย หรือการรู้สึกไร้ค่า เพราะไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรเมื่อไม่มีงานให้ทำ นี่เป็นความท้าทายใหญ่ที่สังคมต้องเตรียมรับมือและส่งเสริมกิจกรรมอื่น ๆ ที่สร้างความหมายและคุณค่า
3️⃣ ความตึงเครียดทางสังคมและการเมือง: การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ย่อมนำมาซึ่งความตึงเครียด ความขัดแย้งเกี่ยวกับแหล่งเงินทุนของ UBI การจัดสรรทรัพยากร หรือการควบคุมเทคโนโลยี AI ที่มีอำนาจมหาศาล อาจนำไปสู่ความขัดแย้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ
4️⃣ การพึ่งพา AI ที่สูงขึ้น และความเสี่ยงจากการควบคุม: เมื่อ AI เข้ามาจัดการงานรูทีนส่วนใหญ่ มนุษย์อาจสูญเสียทักษะบางอย่าง และเกิดการพึ่งพา AI ในการดำเนินชีวิตประจำวันและโครงสร้างพื้นฐานอย่างมาก ซึ่งหากไม่มีกลไกการควบคุมที่รัดกุม อาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย การละเมิดความเป็นส่วนตัว หรือแม้กระทั่งการถูกควบคุมโดยผู้เป็นเจ้าของเทคโนโลยี
5️⃣ การจัดการสิ่งแวดล้อมใน "อาณานิคมหุ่นยนต์": แม้ซีกโลกใต้จะเชี่ยวชาญด้านพลังงานและรีไซเคิล แต่ปริมาณขยะและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากโรงงานหุ่นยนต์ยังคงเป็นความท้าทายมหาศาลที่ต้องใช้การลงทุนและจิตสาธารณะอย่างต่อเนื่อง หากจัดการไม่ดี ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมก็จะยังคงอยู่ และอาจส่งผลกระทบย้อนกลับมายังซีกโลกเหนือได้
แต่...
"นวัตกรรม = การบริโภคพลังงานที่สูงขึ้น"
เป็นความจริงที่ว่าพลังขับเคลื่อนสำคัญเบื้องหลังความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมส่วนใหญ่คือ
การใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น:
1️⃣ AI และ Big Data: ระบบ AI ที่ซับซ้อนขึ้นต้องการพลังประมวลผลมหาศาล ซึ่งหมายถึง
ศูนย์ข้อมูล (Data Centers) ขนาดใหญ่ที่ใช้ไฟฟ้าตลอด 24 ชั่วโมง การฝึกฝนโมเดล AI ที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ นั้นใช้พลังงานจำนวนมาก บางโมเดลอาจใช้พลังงานเทียบเท่ากับการบริโภคของหลายครัวเรือนในหนึ่งวัน
2️⃣ หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ: แม้แต่ละหุ่นยนต์อาจใช้พลังงานไม่มาก แต่เมื่อมีโรงงานอัตโนมัติทั้งเมือง หรือระบบขนส่งอัตโนมัติที่ต้องทำงานต่อเนื่อง พลังงานรวมที่ต้องใช้ก็พุ่งสูงขึ้น
3️⃣ เมืองอัจฉริยะ (Smart Cities): เซ็นเซอร์ทุกตัว, กล้องวงจรปิดทุกตัว, ระบบไฟอัจฉริยะ, ระบบจัดการขยะอัตโนมัติ ล้วนต้องใช้พลังงานในการทำงานและส่งข้อมูล
4️⃣ เทคโนโลยีใหม่ๆ: ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ไฟฟ้า (EVs), การผลิต Green Hydrogen, หรือเทคโนโลยีล้ำสมัยอื่นๆ ล้วนแต่ต้องการไฟฟ้าปริมาณมหาศาลในการผลิต ใช้งาน และสร้างระบบนิเวศของตนเอง
อารยธรรม Type I: การควบคุมพลังงานระดับดาวเคราะห์
มาตรวัด
Kardashev Scale จำแนกอารยธรรมตามปริมาณพลังงานที่พวกเขาสามารถควบคุมและใช้งานได้:
🔹 Type 0: อารยธรรมที่พึ่งพาแหล่งพลังงานดั้งเดิม เช่น เชื้อเพลิงฟอสซิล และยังไม่สามารถควบคุมพลังงานทั้งหมดของดาวเคราะห์ได้ (มนุษย์ในปัจจุบันอยู่ในระดับนี้ หรือบางคนบอกว่ายังไม่ถึง 0.7)
🔹 Type I: อารยธรรมที่สามารถ
ควบคุมและใช้งานพลังงานทั้งหมดที่มีอยู่บนดาวเคราะห์ของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ หมายถึงสามารถใช้พลังงานที่ตกกระทบจากดวงอาทิตย์ได้อย่างเต็มที่ พลังงานลม น้ำ ความร้อนใต้พิภพ รวมถึงพลังงานที่ผลิตได้จากนิวเคลียร์ฟิวชัน หรือเทคโนโลยีล้ำหน้าอื่น ๆ
หนทางสู่ Type I และความท้าทาย
การก้าวไปสู่ Type I จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่:
1️⃣ การปฏิวัติพลังงานโลก: เราจะเห็นการลงทุนมหาศาลในทุกรูปแบบของพลังงานสะอาด เช่น
🔹 โซลาร์ฟาร์มขนาดมหึมา: ครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ ไม้เว้นแม้บนบกหรือบนมหาสมุทร
🔹 ฟาร์มกังหันลมนอกชายฝั่ง: ที่มีประสิทธิภาพสูงและสามารถผลิตไฟฟ้าได้ในปริมาณมหาศาล
🔹 พลังงานความร้อนใต้พิภพ: ที่เข้าถึงแหล่งพลังงานจากใต้พิภพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
🔹 พลังงานฟิวชัน: หากเทคโนโลยีนี้สำเร็จ จะเป็นแหล่งพลังงานสะอาดที่เกือบไร้ขีดจำกัด
🔹 กรีนไฮโดรเจน: จะกลายเป็นตัวกลางในการจัดเก็บและขนส่งพลังงานสะอาดไปใช้งานในภาคอุตสาหกรรมหนัก
2️⃣ การจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน: อารยธรรม Type I จะต้องเป็นอารยธรรมที่สามารถนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อไม่ให้เกิดการขาดแคลนทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับเทคโนโลยี
3️⃣ การบริหารจัดการของเสียที่ไร้ประสิทธิภาพ: ระบบการจัดการขยะ รวมถึงขยะอิเล็กทรอนิกส์ (e-waste) จากหุ่นยนต์ จะต้องได้รับการพัฒนาให้สามารถรีไซเคิลและนำกลับมาใช้ใหม่ได้เกือบ 100% เพื่อไม่ให้เกิดการสะสมของเสียที่เป็นพิษ
แต่...
"พลังงานนั้น ต้องกรีน"
จุดสำคัญที่สุดคือ
"ถ้าไม่กรีน ดาวเราจะล่มสลาย" การก้าวสู่อารยธรรม Type I ไม่ใช่แค่เรื่องของการควบคุมพลังงานให้ได้มากที่สุด แต่ต้องเป็นการควบคุมพลังงานทั้งหมดของดาวเคราะห์อย่างยั่งยืน มิฉะนั้นก็จะเป็นเพียงการเร่งวันสิ้นโลก
ซีกโลกเหนือ ได้เล็งเห็นจุดนี้เป็นอย่างดี พวกเขาจะใช้ "
อำนาจ" ของตนเองในการ:
🔹 กำหนดกฎเกณฑ์ระดับโลก: ออกกฎและมาตรฐานที่เข้มงวดด้านสิ่งแวดล้อมและการผลิตที่ต้อง "
กรีน"
🔹 ใช้มาตรการทางเศรษฐกิจ: "ถ้าคุณไม่กรีน เราจะไม่คบ และเมื่อนั้นคุณจะไม่ได้เงินจากเรา" นี่คือกลไกบังคับให้ซีกโลกใต้ (และตนเอง) ต้องปรับตัว เพราะการเข้าถึงตลาดและเงินทุนของซีกโลกเหนือเป็นสิ่งจำเป็น
นี่คือการที่
อุดมคติแบบยูโทเปีย ที่ฝังรากลึกใน DNA ของซีกโลกเหนือ (การสร้างสังคมที่สมบูรณ์แบบและยั่งยืน) กำลังแผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วโลกผ่านกลไกทางเศรษฐกิจ
วงจรความสัมพันธ์: สมองกับทรัพยากร
"วงจรความสัมพันธ์" ที่จักรวรรดิยูโทเปีย มีต่อ อาณานิคมหุ่นยนต์
ซีกโลกเหนือ: "คิด/ใช้ นวัตกรรม & พลังงาน"
🔹 พวกเขาจะยังคงเป็น
ผู้บุกเบิกการวิจัยและพัฒนา (R&D) ในด้านนวัตกรรมทุกแขนง โดยเฉพาะ AI, หุ่นยนต์ และเทคโนโลยีพลังงานใหม่ๆ ที่ซับซ้อน (เช่น พลังงานฟิวชัน, การเก็บเกี่ยวพลังงานในอวกาศ)
🔹 พวกเขาก็จะเป็น
ผู้ใช้งานหลัก ของนวัตกรรมเหล่านั้น และเป็นผู้บริโภคพลังงานสะอาดในปริมาณมหาศาลเพื่อเลี้ยงดู "จักรวรรดิยูโทเปีย" ของตนเอง
ซีกโลกใต้: "ใช้/สร้าง นวัตกรรม & พลังงาน" (ในบริบทของตนเอง)
🔹 ซีกโลกใต้จะ
"ใช้" Know-how และเทคโนโลยีพลังงานใหม่ ๆ ที่ซีกโลกเหนือคิดค้นขึ้นมา แต่ไม่ใช่เพื่อมาคิดต่อยอดวิจัยหลัก (ซึ่งอาจมีบ้างในบางกรณี) แต่เพื่อนำมา
"สร้าง" และ
"ผลิต" พลังงานเหล่านั้นในปริมาณมหาศาล โดยอาศัยข้อได้เปรียบด้านทรัพยากรธรรมชาติที่เอื้ออำนวยกว่า (แสงแดด, พื้นที่, หรือศักยภาพเฉพาะทาง)
🔹 ดังนั้น บทบาทของซีกโลกใต้จะกลายเป็น
"โรงงานพลังงานสีเขียวของโลก" ซึ่งผลิตพลังงานเพื่อใช้ในงานผลิต และส่งขายให้กับซีกโลกเหนือที่ต้องการพลังงานไม่สิ้นสุด
🔹 นอกจากนี้ ซีกโลกใต้ก็อาจมีการ
"สร้างนวัตกรรม" ในบริบทของตนเอง เช่น นวัตกรรมการจัดการขยะหุ่นยนต์ที่มีประสิทธิภาพ, นวัตกรรมในการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง, หรือนวัตกรรมทางสังคมที่เกิดจาก "
จิตสาธารณะ" ที่เข้มแข็ง
บทสรุป: โลกที่ถูกจัดระเบียบใหม่ภายใต้ "ข้อแม้กรีน"
โลกที่ถูกจัดระเบียบ ภายใต้การนำของซีกโลกเหนือที่กุมอำนาจเทคโนโลยีและกำหนดกฎเกณฑ์ด้านความยั่งยืน
🔹 ซีกโลกเหนือ: ดำเนินชีวิตใน
"จักรวรรดิยูโทเปีย" ที่เน้นปัญญา นวัตกรรม และความสะอาด โดยส่งผ่าน "
งานกายภาพ" และ "
การผลิตพลังงานขั้นต้น" ที่มีขนาดใหญ่ไปให้
🔹 ซีกโลกใต้: กลายเป็น
"อาณานิคมหุ่นยนต์" ที่มีหน้าที่ผลิตพลังงานสะอาดอย่างมหาศาล (ตาม Know-how ของซีกโลกเหนือ) จัดการกับขยะอุตสาหกรรม และบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อนขึ้น ภายใต้เงื่อนไข "
ต้องกรีน" และ UBI ที่เข้ามาช่วยรักษาสมดุลทางสังคม
เรื่องราวดูเหมือนจะวนอยู่เช่นนี้ เป็นการปรับตัวของอารยธรรมมนุษย์ไปสู่ Type I ที่ต้องรีดทุกพลังงานที่มีบนโลกมาใช้ แต่ด้วยบทเรียนที่ผ่านมา ทำให้มี "
ข้อแม้" สำคัญคือ
"ทุกอย่างต้องกรีน" เพื่อหลีกเลี่ยงการล่มสลายของดาวเคราะห์ในท้ายที่สุด
Universal Basic Income - UBI ตอนที่ 3: อารยธรรม Type I ตามมาตรวัดคาร์ดาเชฟ (Kardashev Scale)
ด้านบวก: ยุคทองของนวัตกรรมและมนุษยนิยม
1️⃣ นวัตกรรมและการสร้างสรรค์พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์: เมื่อมนุษย์ไม่ต้องกังวลเรื่องการดำรงชีพพื้นฐานและถูกปลดปล่อยจากงานซ้ำซาก พลังงานและเวลาจะถูกทุ่มเทไปกับการคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ การทดลองทางวิทยาศาสตร์ ศิลปะ ดนตรี และการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนอย่างแท้จริง โลกจะเห็นการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ก้าวกระโดด การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่เคยมีมาก่อน และผลงานสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย
2️⃣ การพัฒนาศักยภาพมนุษย์อย่างเต็มที่: ผู้คนจะมีโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต พัฒนาทักษะที่สนใจ และแสวงหาความรู้ในสาขาที่ไม่เคยมีเวลาทำมาก่อน มนุษย์จะมุ่งเน้นไปที่ทักษะเฉพาะตัวที่ AI ยังทำไม่ได้ เช่น ความฉลาดทางอารมณ์ การคิดเชิงวิพากษ์ ความคิดนอกกรอบ การเป็นผู้นำ และการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
3️⃣ การแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม: ด้วยพลังของสมองจำนวนมากที่ถูกปลดปล่อย และความพร้อมของ UBI ที่ช่วยลดความกังวลพื้นฐาน มนุษย์จะสามารถทุ่มเทให้กับปัญหาใหญ่ระดับโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความยากจนที่ยังคงอยู่ หรือโรคภัยไข้เจ็บที่ซับซ้อน ด้วยมุมมองที่กว้างขึ้นและสร้างสรรค์ขึ้น
4️⃣ เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยคุณค่า: การบริโภคสินค้าและบริการพื้นฐานจะยังคงมีอยู่ แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจจะถูกขับเคลื่อนด้วย "คุณค่า" ที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น เช่น นวัตกรรมใหม่ ๆ การบริการที่ต้องใช้ความเห็นอกเห็นใจ หรือประสบการณ์ที่ไม่สามารถทำซ้ำได้ด้วยหุ่นยนต์
ด้านลบและข้อควรระวัง: ความท้าทายที่ซับซ้อนขึ้น
1️⃣ ความเหลื่อมล้ำทางปัญญาและโอกาส: แม้ทุกคนจะได้รับ UBI แต่ "คุณภาพ" ของการคิดค้นและสร้างสรรค์ของแต่ละบุคคลอาจแตกต่างกันอย่างมาก ผู้ที่สามารถสร้างนวัตกรรมที่มีมูลค่าสูงได้ จะยังคงมีรายได้และอิทธิพลที่สูงกว่า ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในรูปแบบใหม่ คือระหว่าง "ผู้สร้างคุณค่า" กับ "ผู้บริโภคคุณค่า" และอาจจะยิ่งถ่างออกไปหากการเข้าถึงการศึกษาและการพัฒนาทักษะไม่เท่าเทียมกัน
2️⃣ วิกฤตความหมายของชีวิต: เมื่อ "งาน" แบบเดิมไม่ใช่แกนหลักของชีวิตอีกต่อไป บางคนอาจเผชิญกับวิกฤตทางจิตวิทยา การขาดเป้าหมาย หรือการรู้สึกไร้ค่า เพราะไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรเมื่อไม่มีงานให้ทำ นี่เป็นความท้าทายใหญ่ที่สังคมต้องเตรียมรับมือและส่งเสริมกิจกรรมอื่น ๆ ที่สร้างความหมายและคุณค่า
3️⃣ ความตึงเครียดทางสังคมและการเมือง: การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ย่อมนำมาซึ่งความตึงเครียด ความขัดแย้งเกี่ยวกับแหล่งเงินทุนของ UBI การจัดสรรทรัพยากร หรือการควบคุมเทคโนโลยี AI ที่มีอำนาจมหาศาล อาจนำไปสู่ความขัดแย้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ
4️⃣ การพึ่งพา AI ที่สูงขึ้น และความเสี่ยงจากการควบคุม: เมื่อ AI เข้ามาจัดการงานรูทีนส่วนใหญ่ มนุษย์อาจสูญเสียทักษะบางอย่าง และเกิดการพึ่งพา AI ในการดำเนินชีวิตประจำวันและโครงสร้างพื้นฐานอย่างมาก ซึ่งหากไม่มีกลไกการควบคุมที่รัดกุม อาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย การละเมิดความเป็นส่วนตัว หรือแม้กระทั่งการถูกควบคุมโดยผู้เป็นเจ้าของเทคโนโลยี
5️⃣ การจัดการสิ่งแวดล้อมใน "อาณานิคมหุ่นยนต์": แม้ซีกโลกใต้จะเชี่ยวชาญด้านพลังงานและรีไซเคิล แต่ปริมาณขยะและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากโรงงานหุ่นยนต์ยังคงเป็นความท้าทายมหาศาลที่ต้องใช้การลงทุนและจิตสาธารณะอย่างต่อเนื่อง หากจัดการไม่ดี ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมก็จะยังคงอยู่ และอาจส่งผลกระทบย้อนกลับมายังซีกโลกเหนือได้
แต่...
เป็นความจริงที่ว่าพลังขับเคลื่อนสำคัญเบื้องหลังความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมส่วนใหญ่คือ การใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น:
1️⃣ AI และ Big Data: ระบบ AI ที่ซับซ้อนขึ้นต้องการพลังประมวลผลมหาศาล ซึ่งหมายถึง ศูนย์ข้อมูล (Data Centers) ขนาดใหญ่ที่ใช้ไฟฟ้าตลอด 24 ชั่วโมง การฝึกฝนโมเดล AI ที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ นั้นใช้พลังงานจำนวนมาก บางโมเดลอาจใช้พลังงานเทียบเท่ากับการบริโภคของหลายครัวเรือนในหนึ่งวัน
2️⃣ หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ: แม้แต่ละหุ่นยนต์อาจใช้พลังงานไม่มาก แต่เมื่อมีโรงงานอัตโนมัติทั้งเมือง หรือระบบขนส่งอัตโนมัติที่ต้องทำงานต่อเนื่อง พลังงานรวมที่ต้องใช้ก็พุ่งสูงขึ้น
3️⃣ เมืองอัจฉริยะ (Smart Cities): เซ็นเซอร์ทุกตัว, กล้องวงจรปิดทุกตัว, ระบบไฟอัจฉริยะ, ระบบจัดการขยะอัตโนมัติ ล้วนต้องใช้พลังงานในการทำงานและส่งข้อมูล
4️⃣ เทคโนโลยีใหม่ๆ: ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ไฟฟ้า (EVs), การผลิต Green Hydrogen, หรือเทคโนโลยีล้ำสมัยอื่นๆ ล้วนแต่ต้องการไฟฟ้าปริมาณมหาศาลในการผลิต ใช้งาน และสร้างระบบนิเวศของตนเอง
อารยธรรม Type I: การควบคุมพลังงานระดับดาวเคราะห์
มาตรวัด Kardashev Scale จำแนกอารยธรรมตามปริมาณพลังงานที่พวกเขาสามารถควบคุมและใช้งานได้:
🔹 Type 0: อารยธรรมที่พึ่งพาแหล่งพลังงานดั้งเดิม เช่น เชื้อเพลิงฟอสซิล และยังไม่สามารถควบคุมพลังงานทั้งหมดของดาวเคราะห์ได้ (มนุษย์ในปัจจุบันอยู่ในระดับนี้ หรือบางคนบอกว่ายังไม่ถึง 0.7)
🔹 Type I: อารยธรรมที่สามารถ ควบคุมและใช้งานพลังงานทั้งหมดที่มีอยู่บนดาวเคราะห์ของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ หมายถึงสามารถใช้พลังงานที่ตกกระทบจากดวงอาทิตย์ได้อย่างเต็มที่ พลังงานลม น้ำ ความร้อนใต้พิภพ รวมถึงพลังงานที่ผลิตได้จากนิวเคลียร์ฟิวชัน หรือเทคโนโลยีล้ำหน้าอื่น ๆ
หนทางสู่ Type I และความท้าทาย
การก้าวไปสู่ Type I จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่:
1️⃣ การปฏิวัติพลังงานโลก: เราจะเห็นการลงทุนมหาศาลในทุกรูปแบบของพลังงานสะอาด เช่น
🔹 โซลาร์ฟาร์มขนาดมหึมา: ครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ ไม้เว้นแม้บนบกหรือบนมหาสมุทร
🔹 ฟาร์มกังหันลมนอกชายฝั่ง: ที่มีประสิทธิภาพสูงและสามารถผลิตไฟฟ้าได้ในปริมาณมหาศาล
🔹 พลังงานความร้อนใต้พิภพ: ที่เข้าถึงแหล่งพลังงานจากใต้พิภพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
🔹 พลังงานฟิวชัน: หากเทคโนโลยีนี้สำเร็จ จะเป็นแหล่งพลังงานสะอาดที่เกือบไร้ขีดจำกัด
🔹 กรีนไฮโดรเจน: จะกลายเป็นตัวกลางในการจัดเก็บและขนส่งพลังงานสะอาดไปใช้งานในภาคอุตสาหกรรมหนัก
2️⃣ การจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน: อารยธรรม Type I จะต้องเป็นอารยธรรมที่สามารถนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อไม่ให้เกิดการขาดแคลนทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับเทคโนโลยี
3️⃣ การบริหารจัดการของเสียที่ไร้ประสิทธิภาพ: ระบบการจัดการขยะ รวมถึงขยะอิเล็กทรอนิกส์ (e-waste) จากหุ่นยนต์ จะต้องได้รับการพัฒนาให้สามารถรีไซเคิลและนำกลับมาใช้ใหม่ได้เกือบ 100% เพื่อไม่ให้เกิดการสะสมของเสียที่เป็นพิษ
จุดสำคัญที่สุดคือ "ถ้าไม่กรีน ดาวเราจะล่มสลาย" การก้าวสู่อารยธรรม Type I ไม่ใช่แค่เรื่องของการควบคุมพลังงานให้ได้มากที่สุด แต่ต้องเป็นการควบคุมพลังงานทั้งหมดของดาวเคราะห์อย่างยั่งยืน มิฉะนั้นก็จะเป็นเพียงการเร่งวันสิ้นโลก
ซีกโลกเหนือ ได้เล็งเห็นจุดนี้เป็นอย่างดี พวกเขาจะใช้ "อำนาจ" ของตนเองในการ:
🔹 กำหนดกฎเกณฑ์ระดับโลก: ออกกฎและมาตรฐานที่เข้มงวดด้านสิ่งแวดล้อมและการผลิตที่ต้อง "กรีน"
🔹 ใช้มาตรการทางเศรษฐกิจ: "ถ้าคุณไม่กรีน เราจะไม่คบ และเมื่อนั้นคุณจะไม่ได้เงินจากเรา" นี่คือกลไกบังคับให้ซีกโลกใต้ (และตนเอง) ต้องปรับตัว เพราะการเข้าถึงตลาดและเงินทุนของซีกโลกเหนือเป็นสิ่งจำเป็น
นี่คือการที่ อุดมคติแบบยูโทเปีย ที่ฝังรากลึกใน DNA ของซีกโลกเหนือ (การสร้างสังคมที่สมบูรณ์แบบและยั่งยืน) กำลังแผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วโลกผ่านกลไกทางเศรษฐกิจ
วงจรความสัมพันธ์: สมองกับทรัพยากร
"วงจรความสัมพันธ์" ที่จักรวรรดิยูโทเปีย มีต่อ อาณานิคมหุ่นยนต์
ซีกโลกเหนือ: "คิด/ใช้ นวัตกรรม & พลังงาน"
🔹 พวกเขาจะยังคงเป็น ผู้บุกเบิกการวิจัยและพัฒนา (R&D) ในด้านนวัตกรรมทุกแขนง โดยเฉพาะ AI, หุ่นยนต์ และเทคโนโลยีพลังงานใหม่ๆ ที่ซับซ้อน (เช่น พลังงานฟิวชัน, การเก็บเกี่ยวพลังงานในอวกาศ)
🔹 พวกเขาก็จะเป็น ผู้ใช้งานหลัก ของนวัตกรรมเหล่านั้น และเป็นผู้บริโภคพลังงานสะอาดในปริมาณมหาศาลเพื่อเลี้ยงดู "จักรวรรดิยูโทเปีย" ของตนเอง
ซีกโลกใต้: "ใช้/สร้าง นวัตกรรม & พลังงาน" (ในบริบทของตนเอง)
🔹 ซีกโลกใต้จะ "ใช้" Know-how และเทคโนโลยีพลังงานใหม่ ๆ ที่ซีกโลกเหนือคิดค้นขึ้นมา แต่ไม่ใช่เพื่อมาคิดต่อยอดวิจัยหลัก (ซึ่งอาจมีบ้างในบางกรณี) แต่เพื่อนำมา "สร้าง" และ "ผลิต" พลังงานเหล่านั้นในปริมาณมหาศาล โดยอาศัยข้อได้เปรียบด้านทรัพยากรธรรมชาติที่เอื้ออำนวยกว่า (แสงแดด, พื้นที่, หรือศักยภาพเฉพาะทาง)
🔹 ดังนั้น บทบาทของซีกโลกใต้จะกลายเป็น "โรงงานพลังงานสีเขียวของโลก" ซึ่งผลิตพลังงานเพื่อใช้ในงานผลิต และส่งขายให้กับซีกโลกเหนือที่ต้องการพลังงานไม่สิ้นสุด
🔹 นอกจากนี้ ซีกโลกใต้ก็อาจมีการ "สร้างนวัตกรรม" ในบริบทของตนเอง เช่น นวัตกรรมการจัดการขยะหุ่นยนต์ที่มีประสิทธิภาพ, นวัตกรรมในการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง, หรือนวัตกรรมทางสังคมที่เกิดจาก "จิตสาธารณะ" ที่เข้มแข็ง
บทสรุป: โลกที่ถูกจัดระเบียบใหม่ภายใต้ "ข้อแม้กรีน"
โลกที่ถูกจัดระเบียบ ภายใต้การนำของซีกโลกเหนือที่กุมอำนาจเทคโนโลยีและกำหนดกฎเกณฑ์ด้านความยั่งยืน
🔹 ซีกโลกเหนือ: ดำเนินชีวิตใน "จักรวรรดิยูโทเปีย" ที่เน้นปัญญา นวัตกรรม และความสะอาด โดยส่งผ่าน "งานกายภาพ" และ "การผลิตพลังงานขั้นต้น" ที่มีขนาดใหญ่ไปให้
🔹 ซีกโลกใต้: กลายเป็น "อาณานิคมหุ่นยนต์" ที่มีหน้าที่ผลิตพลังงานสะอาดอย่างมหาศาล (ตาม Know-how ของซีกโลกเหนือ) จัดการกับขยะอุตสาหกรรม และบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อนขึ้น ภายใต้เงื่อนไข "ต้องกรีน" และ UBI ที่เข้ามาช่วยรักษาสมดุลทางสังคม
เรื่องราวดูเหมือนจะวนอยู่เช่นนี้ เป็นการปรับตัวของอารยธรรมมนุษย์ไปสู่ Type I ที่ต้องรีดทุกพลังงานที่มีบนโลกมาใช้ แต่ด้วยบทเรียนที่ผ่านมา ทำให้มี "ข้อแม้" สำคัญคือ "ทุกอย่างต้องกรีน" เพื่อหลีกเลี่ยงการล่มสลายของดาวเคราะห์ในท้ายที่สุด