กระทู้นี้ แค่อยากจะอธิบาย ถึง กฎต่างๆ ในกรณีที่เกิดคู่ขัดแย้ง ที่จะถูกนำขึ้นไปถกใน UNSC โดย ไทย และ กัมพูชา ต้องนำแสดงหลักฐานต่างๆ ในการชี้แจง เผื่อบางท่านยังไม่ทราบ ด้านล่างคือคำถาม และ คำตอบ ที่ตอบโดย AI ครับ
คำถาม : การที่กัมพูชา วางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ผิดกฎหมายอะไรบ้าง และการที่กัมพูชา ยิงจรวดใส่ อาคารบ้านเรือน โรงพยาบาล หรือแหล่งชุมชนของประชาชน ผิดกฎหมายอะไรบ้าง
คำตอบ : การกระทำที่กัมพูชากำลังถูกกล่าวหาว่ากระทำนั้น หากเป็นความจริง จะถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศที่สำคัญหลายฉบับ ดังนี้ครับ
1. การวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti-Personnel Mines)
การวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยกัมพูชา โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนไทย ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศที่สำคัญอย่างยิ่ง ได้แก่:
อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต และโอน และการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Convention on the Prohibition of the Use, Stockpiling, Production and Transfer of Anti-Personnel Mines and on Their Destruction) หรือ "อนุสัญญาออตตาวา" (Ottawa Treaty): กัมพูชาเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาออตตาวา โดยได้ให้สัตยาบันเมื่อปี 2000 ซึ่งหมายความว่า กัมพูชามีพันธกรณีที่จะต้อง "ห้ามการใช้ สะสม ผลิต พัฒนา จัดหา และโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล" การวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลใหม่ ถือเป็นการละเมิดพันธกรณีโดยตรง ภายใต้อนุสัญญานี้อย่างชัดเจน แม้ว่าอนุสัญญาออตตาวาจะไม่มีบทลงโทษที่รุนแรงเหมือนกฎหมายอาญา แต่การละเมิดจะนำมาซึ่ง แรงกดดันทางการเมืองและศีลธรรมอย่างมหาศาลจากประชาคมโลก รวมถึงการถูกประณามจากประเทศภาคีอื่นๆ และองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของประเทศ กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law - IHL):
แม้ไม่มีสงครามระหว่างรัฐ แต่ในสถานการณ์ความขัดแย้งที่มีการใช้อาวุธ กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศยังคงมีผลบังคับใช้
ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลถูกมองว่าเป็นอาวุธที่ "ไม่เลือกเป้าหมาย" (indiscriminate) เนื่องจากไม่สามารถแยกแยะได้ระหว่างทหารและพลเรือน ทำให้เกิดความเสียหายต่อพลเรือนอย่างกว้างขวางและไม่เป็นสัดส่วน ซึ่งขัดต่อหลักการพื้นฐานของ IHL ที่กำหนดให้ต้องแยกแยะระหว่างเป้าหมายทางทหารและพลเรือน และต้องใช้มาตรการป้องกันเพื่อลดอันตรายต่อพลเรือน การละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย: หากมีการวางทุ่นระเบิดในพื้นที่ที่ถือเป็นอธิปไตยของประเทศไทย ถือเป็นการละเมิดอธิปไตยของไทย ซึ่งขัดต่อหลักการพื้นฐานที่สำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศที่ระบุไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ
2. การยิงจรวดใส่ อาคารบ้านเรือน โรงพยาบาล หรือแหล่งชุมชนของประชาชน (Targeting Civilians and Civilian Objects)
การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (IHL) อย่างร้ายแรง และอาจเข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม:
หลักการแบ่งแยก (Principle of Distinction): เป็นหลักการพื้นฐานที่สุดของ IHL ที่กำหนดให้คู่ขัดแย้งต้องแยกแยะอย่างชัดเจนระหว่าง "พลรบ" (combatants) และ "พลเรือน" (civilians) รวมถึง "เป้าหมายทางทหาร" (military objectives) และ "วัตถุพลเรือน" (civilian objects)
การโจมตีพลเรือนโดยเจตนา หรือการโจมตีวัตถุพลเรือน (เช่น บ้านเรือน, โรงพยาบาล, โรงเรียน, แหล่งชุมชน) โดยเจตนา ถือเป็นการละเมิดหลักการนี้อย่างชัดแจ้ง และเป็น อาชญากรรมสงคราม (War Crime) หลักความได้สัดส่วน (Principle of Proportionality):
แม้การโจมตีเป้าหมายทางทหารจะถูกกฎหมาย แต่การโจมตีนั้นจะต้องไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อพลเรือนหรือวัตถุพลเรือนเกินกว่าประโยชน์ทางทหารที่คาดว่าจะได้รับอย่างชัดเจน การยิงจรวดแบบไม่เลือกเป้าหมายใส่พื้นที่พลเรือน แสดงให้เห็นถึงการไม่คำนึงถึงหลักการนี้
หลักการป้องกันล่วงหน้า (Principle of Precaution): คู่ขัดแย้งจะต้องใช้มาตรการป้องกันที่ทำได้ทั้งหมดเพื่อลดอันตรายต่อพลเรือนและวัตถุพลเรือนให้เหลือน้อยที่สุด การยิงจรวดใส่แหล่งชุมชนโดยไม่มีการเตือน หรือโดยไม่พยายามหลีกเลี่ยงเป้าหมายพลเรือน ถือเป็นการละเลยหลักการนี้
การคุ้มครองสถานพยาบาล (Protection of Medical Facilities): โรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษภายใต้กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ การโจมตีโรงพยาบาล ถือเป็นการละเมิดอย่างร้ายแรง (ยกเว้นในกรณีที่โรงพยาบาลถูกใช้เป็นเป้าหมายทางทหารอย่างชัดแจ้งและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งเป็นข้อยกเว้นที่แคบมากและต้องพิสูจน์ได้ยาก) อนุสัญญาเจนีวา (Geneva Conventions):
อนุสัญญาเจนีวาทั้งสี่ฉบับและพิธีสารเพิ่มเติม ได้วางกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการคุ้มครองพลเรือนในยามสงครามอย่างละเอียด การโจมตีพลเรือนและวัตถุพลเรือนเป็นการละเมิดบทบัญญัติหลายประการของอนุสัญญาเหล่านี้
บทสรุป
หากข้อกล่าวหาข้างต้นเป็นจริง การกระทำของกัมพูชาในการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลและการโจมตีเป้าหมายพลเรือนอย่างไม่เลือกหน้า จะถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศที่ร้ายแรง ซึ่งรวมถึงพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาออตตาวาและหลักการพื้นฐานของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ การกระทำเหล่านี้อาจนำไปสู่การถูกดำเนินคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court - ICC) หากเข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม และจะเผชิญกับการประณามอย่างรุนแรงจากประชาคมโลกอย่างแน่นอนครับ
คำถาม: กลับกันทางไทยส่งเครื่องบินขับไล่ ทิ้งระเบิดใส่ เป้าหมายทางทหาร ของคู่ขัดแย้ง โดยไม่ได้ส่งผลถึงพลเรือน ทั่วไป ผิดอะไรหรือไม่
คำตอบ : กรณีที่คุณกล่าวมาว่า "ไทยส่งเครื่องบินขับไล่ ทิ้งระเบิดใส่เป้าหมายทางทหารของคู่ขัดแย้ง โดยไม่ได้ส่งผลถึงพลเรือนทั่วไป" นั้น หากเป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุมานี้ โดยหลักการแล้ว จะไม่ผิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law - IHL) ครับ
นี่คือเหตุผล:
สิทธิในการป้องกันตนเอง (Right to Self-Defense):
ตามกฎบัตรสหประชาชาติ มาตรา 51 รัฐมีสิทธิโดยธรรมชาติในการป้องกันตนเอง หากถูกโจมตีด้วยการใช้อาวุธ เมื่อกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีพื้นที่พลเรือนและวางทุ่นระเบิด (ซึ่งเป็นที่ประจักษ์จากข่าวในปัจจุบัน) ไทยย่อมมีสิทธิในการป้องกันตนเอง
การใช้กำลังในการป้องกันตนเองจะต้องเป็นไปตามหลักการ ความจำเป็น (necessity) และ ความได้สัดส่วน (proportionality) ซึ่งหมายถึงการใช้กำลังที่ไม่เกินกว่าความจำเป็นเพื่อหยุดยั้งการโจมตีและการคุกคาม
หลักการแบ่งแยก (Principle of Distinction):
กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศกำหนดให้คู่ขัดแย้งต้องแยกแยะอย่างชัดเจนระหว่าง "พลรบ" และ "พลเรือน" รวมถึง "เป้าหมายทางทหาร" และ "วัตถุพลเรือน" การโจมตีเป้าหมายทางทหารโดยเฉพาะเจาะจง (เช่น ค่ายทหาร, ที่ตั้งทางทหาร, ยานพาหนะทางทหาร, กองกำลังติดอาวุธ) นั้นเป็นไปตามหลักการนี้ และเป็นสิ่งที่อนุญาตภายใต้ IHL การที่การโจมตี "ไม่ได้ส่งผลถึงพลเรือนทั่วไป" เป็นข้อบ่งชี้สำคัญว่ามีการปฏิบัติตามหลักการแบ่งแยก หลักความได้สัดส่วน (Principle of Proportionality): แม้จะโจมตีเป้าหมายทางทหาร แต่การโจมตีนั้นจะต้องไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อพลเรือนหรือวัตถุพลเรือนเกินกว่าประโยชน์ทางทหารที่คาดว่าจะได้รับอย่างชัดเจน หากไทยสามารถทิ้งระเบิดใส่เป้าหมายทางทหารได้อย่างแม่นยำ โดยไม่กระทบพลเรือน ถือเป็นการปฏิบัติตามหลักการนี้
หลักการป้องกันล่วงหน้า (Principle of Precaution):
คู่ขัดแย้งต้องใช้มาตรการป้องกันที่ทำได้ทั้งหมดเพื่อลดอันตรายต่อพลเรือนและวัตถุพลเรือนให้เหลือน้อยที่สุด
การเลือกใช้เครื่องบินขับไล่ทิ้งระเบิดที่แม่นยำ และการวางแผนการโจมตีเพื่อหลีกเลี่ยงพื้นที่พลเรือน เป็นการแสดงออกถึงการปฏิบัติตามหลักการนี้
อย่างไรก็ตาม มีข้อควรพิจารณาเพิ่มเติมดังนี้: ความแม่นยำของข้อมูล: ในสถานการณ์จริง การประเมินว่าการโจมตี "ไม่ได้ส่งผลถึงพลเรือนทั่วไป" นั้นอาจเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและต้องได้รับการยืนยันจากแหล่งข้อมูลที่เป็นกลาง หน่วยงานตรวจสอบระหว่างประเทศ (เช่น ICRC หรือคณะผู้สอบสวนของ UN) จะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง
การใช้อาวุธต้องห้าม: แม้จะโจมตีเป้าหมายทางทหาร แต่หากมีการใช้อาวุธที่ถูกห้ามตามกฎหมายระหว่างประเทศ (เช่น ระเบิดลูกปราย - cluster munitions ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาจากกัมพูชาในข่าวล่าสุด) การกระทำนั้นก็จะกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายทันที ไม่ว่าเป้าหมายจะเป็นทางทหารหรือไม่ก็ตาม (ไทยไม่ได้เป็นภาคีอนุสัญญาห้ามระเบิดลูกปราย แต่การใช้ก็ยังคงถูกประณามอย่างหนักจากประชาคมโลก)
ขอบเขตของเป้าหมายทางทหาร: การกำหนดว่าอะไรคือ "เป้าหมายทางทหาร" ต้องเป็นไปตามนิยามของ IHL คือ วัตถุที่ "โดยลักษณะที่ตั้ง วัตถุประสงค์ หรือการใช้งาน มีส่วนสนับสนุนการปฏิบัติการทางทหารอย่างมีประสิทธิผล และการทำลาย การยึด หรือการทำให้เป็นกลาง ไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ในสถานการณ์นั้น ๆ ให้ประโยชน์ทางทหารที่ชัดเจน"
สรุป:
ถ้าไทยโจมตีเฉพาะเป้าหมายทางทหารอย่างแม่นยำ และไม่มีผลกระทบต่อพลเรือนหรือวัตถุพลเรือน (เช่น โรงพยาบาล, บ้านเรือน) และไม่ได้ใช้อาวุธที่ถูกห้ามระหว่างประเทศ การกระทำนั้นจะเป็นไปตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และถือเป็นการใช้สิทธิในการป้องกันตนเองที่ชอบด้วยกฎหมายครับ ความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญคือการเคารพหลักการ "การแบ่งแยก" ระหว่างเป้าหมายทางทหารและพลเรือน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ IHL ครับ
คำถาม : แล้วในกรณีที่กัมพูชา นำอาวุธเช่นเครื่องยิงจรวด ที่ใช้ยิงเข้ามาที่ฝั่งไทย ไปวางไว้ในแหล่งชุมชนของตนเอง เพื่อใช้พลเรือนเป็นโล่ และทำให้ไทยไม่กล้าใช้อาวุธเพื่อเข้าไปยับยั้ง หรือ ทำลาย แบบนี้ ถือว่าอย่างไร
คำตอบ : หากกัมพูชานำอาวุธ เช่น เครื่องยิงจรวดที่ใช้ยิงเข้ามาที่ฝั่งไทย ไปวางไว้ในแหล่งชุมชนของตนเอง โดยมีเจตนาเพื่อใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ (Human Shields) เพื่อให้ไทยไม่กล้าตอบโต้หรือทำลายเป้าหมายทางทหารนั้น ถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law - IHL) อย่างร้ายแรง และจัดเป็นอาชญากรรมสงคราม (War Crime) ครับ
นี่คือรายละเอียดและเหตุผล:
การห้ามการใช้โล่มนุษย์ (Prohibition of Human Shields):
อนุสัญญาเจนีวา (Geneva Conventions) และพิธีสารเพิ่มเติม (Additional Protocols): กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศห้ามการใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์อย่างชัดเจน
พิธีสารเพิ่มเติม 1 (Additional Protocol I) มาตรา 51(7) ระบุว่า "การปรากฏตัวหรือการเคลื่อนย้ายของประชากรพลเรือนหรือพลเรือนแต่ละคนจะถูกนำมาใช้เพื่อทำให้จุดหรือพื้นที่บางแห่งรอดพ้นจากการปฏิบัติการทางทหารไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพยายามใช้เป็นโล่กำบังเป้าหมายทางทหารจากการโจมตี หรือเพื่อเป็นโล่กำบัง สนับสนุน หรือขัดขวางการปฏิบัติการทางทหาร" และยังระบุว่า "คู่ขัดแย้งจะต้องไม่สั่งการให้ประชากรพลเรือนหรือพลเรือนแต่ละคนเคลื่อนย้ายเพื่อพยายามใช้เป็นโล่กำบังเป้าหมายทางทหารจากการโจมตี หรือเพื่อเป็นโล่กำบังการปฏิบัติการทางทหาร"
อนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่ 4 มาตรา 28 ก็ระบุห้ามการใช้พลเรือนที่ได้รับการคุ้มครองเพื่อทำให้จุดหรือพื้นที่ทางทหารรอดพ้นจากการโจมตี
กฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ (Customary International Law): การห้ามใช้โล่มนุษย์เป็นกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ซึ่งหมายความว่าเป็นกฎที่ทุกรัฐต้องปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะเป็นภาคีของสนธิสัญญาเฉพาะหรือไม่ก็ตาม
ธรรมนูญกรุงโรม (Rome Statute) ของศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court - ICC): การใช้โล่มนุษย์ถูกกำหนดให้เป็นอาชญากรรมสงครามภายใต้ธรรมนูญกรุงโรม มาตรา 8(2)(b)(xxiii) ซึ่งระบุว่า "การใช้การปรากฏตัวของพลเรือนหรือบุคคลที่ได้รับการคุ้มครองอื่นเพื่อทำให้จุด พื้นที่ หรือกองกำลังทางทหารรอดพ้นจากการปฏิบัติการทางทหาร"
หลักกา
ขยายความกรณีข้อขัดแย้งปัจจุบัน สนธิสัญญาต่างๆ ที่เป็นป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้
คำถาม : การที่กัมพูชา วางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ผิดกฎหมายอะไรบ้าง และการที่กัมพูชา ยิงจรวดใส่ อาคารบ้านเรือน โรงพยาบาล หรือแหล่งชุมชนของประชาชน ผิดกฎหมายอะไรบ้าง
คำตอบ : การกระทำที่กัมพูชากำลังถูกกล่าวหาว่ากระทำนั้น หากเป็นความจริง จะถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศที่สำคัญหลายฉบับ ดังนี้ครับ
1. การวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti-Personnel Mines)
การวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยกัมพูชา โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนไทย ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศที่สำคัญอย่างยิ่ง ได้แก่:
อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต และโอน และการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Convention on the Prohibition of the Use, Stockpiling, Production and Transfer of Anti-Personnel Mines and on Their Destruction) หรือ "อนุสัญญาออตตาวา" (Ottawa Treaty): กัมพูชาเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาออตตาวา โดยได้ให้สัตยาบันเมื่อปี 2000 ซึ่งหมายความว่า กัมพูชามีพันธกรณีที่จะต้อง "ห้ามการใช้ สะสม ผลิต พัฒนา จัดหา และโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล" การวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลใหม่ ถือเป็นการละเมิดพันธกรณีโดยตรง ภายใต้อนุสัญญานี้อย่างชัดเจน แม้ว่าอนุสัญญาออตตาวาจะไม่มีบทลงโทษที่รุนแรงเหมือนกฎหมายอาญา แต่การละเมิดจะนำมาซึ่ง แรงกดดันทางการเมืองและศีลธรรมอย่างมหาศาลจากประชาคมโลก รวมถึงการถูกประณามจากประเทศภาคีอื่นๆ และองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของประเทศ กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law - IHL):
แม้ไม่มีสงครามระหว่างรัฐ แต่ในสถานการณ์ความขัดแย้งที่มีการใช้อาวุธ กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศยังคงมีผลบังคับใช้
ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลถูกมองว่าเป็นอาวุธที่ "ไม่เลือกเป้าหมาย" (indiscriminate) เนื่องจากไม่สามารถแยกแยะได้ระหว่างทหารและพลเรือน ทำให้เกิดความเสียหายต่อพลเรือนอย่างกว้างขวางและไม่เป็นสัดส่วน ซึ่งขัดต่อหลักการพื้นฐานของ IHL ที่กำหนดให้ต้องแยกแยะระหว่างเป้าหมายทางทหารและพลเรือน และต้องใช้มาตรการป้องกันเพื่อลดอันตรายต่อพลเรือน การละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย: หากมีการวางทุ่นระเบิดในพื้นที่ที่ถือเป็นอธิปไตยของประเทศไทย ถือเป็นการละเมิดอธิปไตยของไทย ซึ่งขัดต่อหลักการพื้นฐานที่สำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศที่ระบุไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ
2. การยิงจรวดใส่ อาคารบ้านเรือน โรงพยาบาล หรือแหล่งชุมชนของประชาชน (Targeting Civilians and Civilian Objects)
การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (IHL) อย่างร้ายแรง และอาจเข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม:
หลักการแบ่งแยก (Principle of Distinction): เป็นหลักการพื้นฐานที่สุดของ IHL ที่กำหนดให้คู่ขัดแย้งต้องแยกแยะอย่างชัดเจนระหว่าง "พลรบ" (combatants) และ "พลเรือน" (civilians) รวมถึง "เป้าหมายทางทหาร" (military objectives) และ "วัตถุพลเรือน" (civilian objects)
การโจมตีพลเรือนโดยเจตนา หรือการโจมตีวัตถุพลเรือน (เช่น บ้านเรือน, โรงพยาบาล, โรงเรียน, แหล่งชุมชน) โดยเจตนา ถือเป็นการละเมิดหลักการนี้อย่างชัดแจ้ง และเป็น อาชญากรรมสงคราม (War Crime) หลักความได้สัดส่วน (Principle of Proportionality):
แม้การโจมตีเป้าหมายทางทหารจะถูกกฎหมาย แต่การโจมตีนั้นจะต้องไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อพลเรือนหรือวัตถุพลเรือนเกินกว่าประโยชน์ทางทหารที่คาดว่าจะได้รับอย่างชัดเจน การยิงจรวดแบบไม่เลือกเป้าหมายใส่พื้นที่พลเรือน แสดงให้เห็นถึงการไม่คำนึงถึงหลักการนี้
หลักการป้องกันล่วงหน้า (Principle of Precaution): คู่ขัดแย้งจะต้องใช้มาตรการป้องกันที่ทำได้ทั้งหมดเพื่อลดอันตรายต่อพลเรือนและวัตถุพลเรือนให้เหลือน้อยที่สุด การยิงจรวดใส่แหล่งชุมชนโดยไม่มีการเตือน หรือโดยไม่พยายามหลีกเลี่ยงเป้าหมายพลเรือน ถือเป็นการละเลยหลักการนี้
การคุ้มครองสถานพยาบาล (Protection of Medical Facilities): โรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษภายใต้กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ การโจมตีโรงพยาบาล ถือเป็นการละเมิดอย่างร้ายแรง (ยกเว้นในกรณีที่โรงพยาบาลถูกใช้เป็นเป้าหมายทางทหารอย่างชัดแจ้งและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งเป็นข้อยกเว้นที่แคบมากและต้องพิสูจน์ได้ยาก) อนุสัญญาเจนีวา (Geneva Conventions):
อนุสัญญาเจนีวาทั้งสี่ฉบับและพิธีสารเพิ่มเติม ได้วางกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการคุ้มครองพลเรือนในยามสงครามอย่างละเอียด การโจมตีพลเรือนและวัตถุพลเรือนเป็นการละเมิดบทบัญญัติหลายประการของอนุสัญญาเหล่านี้
บทสรุป
หากข้อกล่าวหาข้างต้นเป็นจริง การกระทำของกัมพูชาในการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลและการโจมตีเป้าหมายพลเรือนอย่างไม่เลือกหน้า จะถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศที่ร้ายแรง ซึ่งรวมถึงพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาออตตาวาและหลักการพื้นฐานของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ การกระทำเหล่านี้อาจนำไปสู่การถูกดำเนินคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court - ICC) หากเข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม และจะเผชิญกับการประณามอย่างรุนแรงจากประชาคมโลกอย่างแน่นอนครับ
คำถาม: กลับกันทางไทยส่งเครื่องบินขับไล่ ทิ้งระเบิดใส่ เป้าหมายทางทหาร ของคู่ขัดแย้ง โดยไม่ได้ส่งผลถึงพลเรือน ทั่วไป ผิดอะไรหรือไม่
คำตอบ : กรณีที่คุณกล่าวมาว่า "ไทยส่งเครื่องบินขับไล่ ทิ้งระเบิดใส่เป้าหมายทางทหารของคู่ขัดแย้ง โดยไม่ได้ส่งผลถึงพลเรือนทั่วไป" นั้น หากเป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุมานี้ โดยหลักการแล้ว จะไม่ผิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law - IHL) ครับ
นี่คือเหตุผล:
สิทธิในการป้องกันตนเอง (Right to Self-Defense):
ตามกฎบัตรสหประชาชาติ มาตรา 51 รัฐมีสิทธิโดยธรรมชาติในการป้องกันตนเอง หากถูกโจมตีด้วยการใช้อาวุธ เมื่อกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีพื้นที่พลเรือนและวางทุ่นระเบิด (ซึ่งเป็นที่ประจักษ์จากข่าวในปัจจุบัน) ไทยย่อมมีสิทธิในการป้องกันตนเอง
การใช้กำลังในการป้องกันตนเองจะต้องเป็นไปตามหลักการ ความจำเป็น (necessity) และ ความได้สัดส่วน (proportionality) ซึ่งหมายถึงการใช้กำลังที่ไม่เกินกว่าความจำเป็นเพื่อหยุดยั้งการโจมตีและการคุกคาม
หลักการแบ่งแยก (Principle of Distinction):
กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศกำหนดให้คู่ขัดแย้งต้องแยกแยะอย่างชัดเจนระหว่าง "พลรบ" และ "พลเรือน" รวมถึง "เป้าหมายทางทหาร" และ "วัตถุพลเรือน" การโจมตีเป้าหมายทางทหารโดยเฉพาะเจาะจง (เช่น ค่ายทหาร, ที่ตั้งทางทหาร, ยานพาหนะทางทหาร, กองกำลังติดอาวุธ) นั้นเป็นไปตามหลักการนี้ และเป็นสิ่งที่อนุญาตภายใต้ IHL การที่การโจมตี "ไม่ได้ส่งผลถึงพลเรือนทั่วไป" เป็นข้อบ่งชี้สำคัญว่ามีการปฏิบัติตามหลักการแบ่งแยก หลักความได้สัดส่วน (Principle of Proportionality): แม้จะโจมตีเป้าหมายทางทหาร แต่การโจมตีนั้นจะต้องไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อพลเรือนหรือวัตถุพลเรือนเกินกว่าประโยชน์ทางทหารที่คาดว่าจะได้รับอย่างชัดเจน หากไทยสามารถทิ้งระเบิดใส่เป้าหมายทางทหารได้อย่างแม่นยำ โดยไม่กระทบพลเรือน ถือเป็นการปฏิบัติตามหลักการนี้
หลักการป้องกันล่วงหน้า (Principle of Precaution):
คู่ขัดแย้งต้องใช้มาตรการป้องกันที่ทำได้ทั้งหมดเพื่อลดอันตรายต่อพลเรือนและวัตถุพลเรือนให้เหลือน้อยที่สุด
การเลือกใช้เครื่องบินขับไล่ทิ้งระเบิดที่แม่นยำ และการวางแผนการโจมตีเพื่อหลีกเลี่ยงพื้นที่พลเรือน เป็นการแสดงออกถึงการปฏิบัติตามหลักการนี้
อย่างไรก็ตาม มีข้อควรพิจารณาเพิ่มเติมดังนี้: ความแม่นยำของข้อมูล: ในสถานการณ์จริง การประเมินว่าการโจมตี "ไม่ได้ส่งผลถึงพลเรือนทั่วไป" นั้นอาจเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและต้องได้รับการยืนยันจากแหล่งข้อมูลที่เป็นกลาง หน่วยงานตรวจสอบระหว่างประเทศ (เช่น ICRC หรือคณะผู้สอบสวนของ UN) จะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง
การใช้อาวุธต้องห้าม: แม้จะโจมตีเป้าหมายทางทหาร แต่หากมีการใช้อาวุธที่ถูกห้ามตามกฎหมายระหว่างประเทศ (เช่น ระเบิดลูกปราย - cluster munitions ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาจากกัมพูชาในข่าวล่าสุด) การกระทำนั้นก็จะกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายทันที ไม่ว่าเป้าหมายจะเป็นทางทหารหรือไม่ก็ตาม (ไทยไม่ได้เป็นภาคีอนุสัญญาห้ามระเบิดลูกปราย แต่การใช้ก็ยังคงถูกประณามอย่างหนักจากประชาคมโลก)
ขอบเขตของเป้าหมายทางทหาร: การกำหนดว่าอะไรคือ "เป้าหมายทางทหาร" ต้องเป็นไปตามนิยามของ IHL คือ วัตถุที่ "โดยลักษณะที่ตั้ง วัตถุประสงค์ หรือการใช้งาน มีส่วนสนับสนุนการปฏิบัติการทางทหารอย่างมีประสิทธิผล และการทำลาย การยึด หรือการทำให้เป็นกลาง ไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ในสถานการณ์นั้น ๆ ให้ประโยชน์ทางทหารที่ชัดเจน"
สรุป:
ถ้าไทยโจมตีเฉพาะเป้าหมายทางทหารอย่างแม่นยำ และไม่มีผลกระทบต่อพลเรือนหรือวัตถุพลเรือน (เช่น โรงพยาบาล, บ้านเรือน) และไม่ได้ใช้อาวุธที่ถูกห้ามระหว่างประเทศ การกระทำนั้นจะเป็นไปตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และถือเป็นการใช้สิทธิในการป้องกันตนเองที่ชอบด้วยกฎหมายครับ ความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญคือการเคารพหลักการ "การแบ่งแยก" ระหว่างเป้าหมายทางทหารและพลเรือน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ IHL ครับ
คำถาม : แล้วในกรณีที่กัมพูชา นำอาวุธเช่นเครื่องยิงจรวด ที่ใช้ยิงเข้ามาที่ฝั่งไทย ไปวางไว้ในแหล่งชุมชนของตนเอง เพื่อใช้พลเรือนเป็นโล่ และทำให้ไทยไม่กล้าใช้อาวุธเพื่อเข้าไปยับยั้ง หรือ ทำลาย แบบนี้ ถือว่าอย่างไร
คำตอบ : หากกัมพูชานำอาวุธ เช่น เครื่องยิงจรวดที่ใช้ยิงเข้ามาที่ฝั่งไทย ไปวางไว้ในแหล่งชุมชนของตนเอง โดยมีเจตนาเพื่อใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ (Human Shields) เพื่อให้ไทยไม่กล้าตอบโต้หรือทำลายเป้าหมายทางทหารนั้น ถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law - IHL) อย่างร้ายแรง และจัดเป็นอาชญากรรมสงคราม (War Crime) ครับ
นี่คือรายละเอียดและเหตุผล:
การห้ามการใช้โล่มนุษย์ (Prohibition of Human Shields):
อนุสัญญาเจนีวา (Geneva Conventions) และพิธีสารเพิ่มเติม (Additional Protocols): กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศห้ามการใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์อย่างชัดเจน
พิธีสารเพิ่มเติม 1 (Additional Protocol I) มาตรา 51(7) ระบุว่า "การปรากฏตัวหรือการเคลื่อนย้ายของประชากรพลเรือนหรือพลเรือนแต่ละคนจะถูกนำมาใช้เพื่อทำให้จุดหรือพื้นที่บางแห่งรอดพ้นจากการปฏิบัติการทางทหารไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพยายามใช้เป็นโล่กำบังเป้าหมายทางทหารจากการโจมตี หรือเพื่อเป็นโล่กำบัง สนับสนุน หรือขัดขวางการปฏิบัติการทางทหาร" และยังระบุว่า "คู่ขัดแย้งจะต้องไม่สั่งการให้ประชากรพลเรือนหรือพลเรือนแต่ละคนเคลื่อนย้ายเพื่อพยายามใช้เป็นโล่กำบังเป้าหมายทางทหารจากการโจมตี หรือเพื่อเป็นโล่กำบังการปฏิบัติการทางทหาร"
อนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่ 4 มาตรา 28 ก็ระบุห้ามการใช้พลเรือนที่ได้รับการคุ้มครองเพื่อทำให้จุดหรือพื้นที่ทางทหารรอดพ้นจากการโจมตี
กฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ (Customary International Law): การห้ามใช้โล่มนุษย์เป็นกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ซึ่งหมายความว่าเป็นกฎที่ทุกรัฐต้องปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะเป็นภาคีของสนธิสัญญาเฉพาะหรือไม่ก็ตาม
ธรรมนูญกรุงโรม (Rome Statute) ของศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court - ICC): การใช้โล่มนุษย์ถูกกำหนดให้เป็นอาชญากรรมสงครามภายใต้ธรรมนูญกรุงโรม มาตรา 8(2)(b)(xxiii) ซึ่งระบุว่า "การใช้การปรากฏตัวของพลเรือนหรือบุคคลที่ได้รับการคุ้มครองอื่นเพื่อทำให้จุด พื้นที่ หรือกองกำลังทางทหารรอดพ้นจากการปฏิบัติการทางทหาร"
หลักกา