JJNY : กัมพูชาประท้วงวุ่นหลังไทยเปิดคลิป│สีหศักดิ์ชี้ไทยลุยเชิงรุก│ปูตินกร้าวยูเครนต้องถอนทัพ!│เปิดชื่อ20จว.เตือนฝนเพิ่ม

กัมพูชาประท้วงวุ่น หลังไทยเปิดคลิป โชว์หลักฐานเขมรวางทุ่นระเบิด กลางที่ประชุมออตตาวา
https://www.matichon.co.th/foreign/news_5490926
.

.
กัมพูชาประท้วงวุ่น หลังไทยเปิดคลิป โชว์หลักฐานเขมรวางทุ่นระเบิด กลางที่ประชุมออตตาวา
.
เมื่อเวลาประมาณ 15.40 น. วันที่ 5 ธันวาคม ตามเวลาท้องถิ่น ของนครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ณ สำนักงานองค์การสหประชาชาติ ฝ่ายเลขานุการของที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรือ อนุสัญญาออตตาวา ครั้งที่ 22 (22MSP) ได้กล่าวรายงานพัฒนาการของสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นไปตามคำขอของไทย ที่ยื่นให้กับเลขาธิการสหประชาชาติก่อนหน้านี้ หลังเกิดเหตุทหารไทยเหยียบกับทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาหลายครั้งติดต่อกัน จึงขอให้นำเรื่องดังกล่าวมาหารือระหว่างการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ครั้งที่ 22
.
โดย นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้กล่าวถ้อยแถลงในวาระการพิจารณาคำขอตามข้อ 8 ของอนุสัญญาออตตาวา ว่า เมื่ออนุสัญญานี้ถูกให้การรับรองในปี พ.ศ. 2540 รัฐภาคีได้ให้คำมั่นว่าจะ “ยุติความทุกข์ทรมานและการบาดเจ็บล้มตายที่เกิดจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล” โดยตั้งอยู่บนฉันทามติร่วมกันว่า ไม่มีประเทศประเทศที่เจริญแล้วประเทศใดสามารถอ้างเหตุผลเพื่อใช้อาวุธที่โจมตีแบบไม่เลือกหน้าเช่นนี้ได้ ประเทศไทยจึงยึดมั่นในหลักการเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง และนี่คือเหตุผลที่เราจำเป็นต้องหยิบยกประเด็นที่น่ากังวลขึ้นมาในที่ประชุมครั้งนี้
.
นายสีหศักดิ์ ระบุอีกว่า ประเทศไทยไม่มีความปรารถนาที่จะสร้างความตึงเครียด หรือ ทำให้ประเด็นนี้เป็นประเด็นทางการเมือง แต่ทหารของเราได้รับบาดเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า และตนมีหน้าที่ต้องพูดแทนประชาชนชาวไทย ผู้ซึ่งต้องอดทนต่อเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลยภายใต้กรอบของอนุสัญญานี้ เพราะในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทหารไทย 7 นาย ต้องสูญเสียขาจากเหตุทุ่นระเบิดหลายครั้งตามแนวชายแดน ซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้แก่ชุมชนในท้องถิ่น เราจึงได้เห็นหลักฐานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งยืนยันว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้ถูกวางใหม่โดยกัมพูชา
.
พร้อมย้ำว่า การประเมินที่เป็นอิสระ ซึ่งรวมถึงคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ยืนยันว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้เพิ่งถูกวางไว้ใหม่ อีกทั้งเรายังมีหลักฐานเป็นวิดีโอที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการฝึกอบรมบุคลากรกัมพูชาในการติดตั้งทุ่นระเบิด PMN-2 ซึ่งเป็นทุ่นระเบิดประเภทที่กัมพูชามีอยู่ นี่จึงถือเป็นการละเมิดรต่อข้อ 1 ของอนุสัญญาอย่างโจ่งแจ้งชัดเจน และเป็นการละเมิดหลักการด้านมนุษยธรรม ที่เรากำหนดให้เป็นหัวใจสำคัญของอนุสัญญานี้อย่างร้ายแรง
.
อย่างไรก็ดี ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยได้อ้างข้อ 8 วรรค 2 เพื่อขอให้กัมพูชาชี้แจง เพราะหลักการแห่งความน่าเชื่อถือของอนุสัญญานี้เรียกร้องให้เราต้องทำเช่นนั้น เราจึงได้ใช้กลไกทวิภาคีทุกช่องทางด้วยความสุจริตใจ เพื่อแก้ไขปัญหานี้อย่างสร้างสรรค์ แต่คำตอบของกัมพูชากลับขัดแย้งกับหลักฐานที่ได้รับการยืนยันและมีการตรวจสอบแล้ว อีกทั้งยังมาพร้อมกับแบบแผนของข้อมูลบิดเบือนที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งรูปแบบดังกล่าวยังคงเกิดขึ้น แม้กระทั่งหลังจากที่เราได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วม ( Joint declaration) ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เพียงสองสัปดาห์ต่อมาก็เกิดเหตุทุ่นระเบิดอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งบ่อนทำลายทั้งเจตนารมณ์และเนื้อหาของแถลงการณ์นั้น
.
นายสีหศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องนี้กระทบต่อความศักดิ์สิทธิ์และความน่าเชื่อถือของอนุสัญญาฉบับนี้โดยตรง หากรัฐภาคีสามารถวางทุ่นระเบิดใหม่ได้ และทำเพียงปฏิเสธโดยไม่ต้องรับผลใด ๆ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมีผู้บาดเจ็บและความสูญเสียครั้งต่อไป ความท้าทายเช่นนี้จึงต้องใช้การตัดสินใจที่ยากลำบาก เพราะการไม่ลงมือทำใดๆ ย่อมบั่นทอนความศักดิ์สิทธิ์ของอนุสัญญาเอง ในขณะที่กัมพูชายังคงปฏิเสธข้อเท็จจริง พยานหลักฐาน และการให้ความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยเชื่อว่าหนทางที่สร้างสรรค์ที่สุดเพื่อก้าวต่อไปข้างหน้า คือการขอให้เลขาธิการสหประชาชาติใช้อำนาจตามตำแหน่งเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดตั้งคณะผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงอิสระโดยเร็ว
.
ในการดำเนินการตามคำขอนี้ ไทยมิได้มุ่งแสวงหาผลประโยชน์ฝ่ายเดียว หรือ การเผชิญหน้าใดๆ เป้าหมายของเราคือการขจัดการเมืองออกจากประเด็นดังกล่าว และอาศัยกลไกของอนุสัญญาเองเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างเป็นกลาง เราจึงเชื่อว่านี่เป็นแนวทางที่ยุติธรรมที่สุด มีประสิทธิภาพมากที่สุด และโปร่งใสที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่าย และจะแสดงให้เห็นว่ากลไกของอนุสัญญานี้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อถึงคราวจำเป็นที่สุด
.
ประเทศไทยขอแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจต่อท่านประธาน ต่อคณะกรรมการความร่วมมือด้านการปฏิบัติตามอนุสัญญา เลขาธิการสหประชาชาติ และสำนักเลขาธิการ ที่ได้อำนวยความสะดวกในการร้องขอการชี้แจงของเรา พร้อมขอเรียกร้องให้กัมพูชากลับมาปฏิบัติตามอนุสัญญาอย่างครบถ้วน และขอให้รัฐภาคีต่างๆ กระตุ้นให้กัมพูชามีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ ซื่อสัตย์ และสุจริตใจ ซึ่งจุดยืนของเรานั้นชัดเจนและตรงไปตรงมา นั่นคือไม่ควรมีทุ่นระเบิดอีกต่อไป ไม่ควรมีเหยื่อรายใหม่อีก และไม่ควรปล่อยให้กฎเกณฑ์ที่คุ้มครองเราทุกคนอ่อนแอลง
.
จากนั้น ฝ่ายกัมพูชา นำโดย นาย ลี ธุช รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธานคนที่ 1 ขององค์การกำจัดทุ่นระเบิดกัมพูชา ได้กล่าวโดยตั้งคำถามถึงสิ่งที่ระบุว่าเป็นข้อกล่าวหาที่ไทยไม่ได้มีการพิสูจน์ ส่งผลให้ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา กัมพูชาได้รับผลกระทบจากปฏิบัติการทางทหาร และเจอกับข้อกล่าวหาที่ไม่มีหลักฐาน รวมทั้งไม่มีการสอบสวนโดยคณะกรรมการที่เป็นอิสระ
.
นาย ลี ธุช กล่าวอีกว่า ความมุ่งมั่นร่วมกันของเราคือการรักษาชีวิตฟื้นฟูสันติ และสร้างโลกที่ดีขึ้นให้กับคนรุ่นต่อไป แต่เป็นเรื่องน่าผิดหวังที่ประเทศไทยพยายามก้าวข้ามข้อ 8 วรรค 1 ที่ให้รัฐภาคีฯ หาทางออกจากปัญหาที่เกิดขึ้นไปสู่ข้อที่ 8 วรรค 2 การข้ามการดำเนินการดังกล่าวจึงสะท้อนให้เห็นว่าไม่ได้แสดงถึงความจริงใจ และไม่ให้ความร่วมมือ แต่เป็นการเผชิญหน้า ซึ่งจะทำให้เรื่องนี้ไม่สามารถแก้ไขได้โดยสันติวิธี กัมพูชาจึงรู้สึกเสียใจที่เรื่องนี้ถูกนำขึ้นมาสู่ที่ประชุมรัฐภาคี เพราะประเด็นดังกล่าวควรนำมาหารือในกรอบทวิภาคีและกลไกที่จัดตั้งขึ้นระหว่างสองประเทศ ทั้งที่ เวทีนี้ไม่ใช่เวทีสำหรับการเผชิญหน้าแต่เป็นเวทีสำหรับการหารือ ซึ่งรัฐภาคีจะใช้การเจรจากันอย่างสร้างสรรค์
.
นาย ลี ธุช กล่าวว่า กัมพูชาเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ดังนั้นเราจึงมีความตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว และการมีบทบาทนำของเราก็เป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก ซึ่งตั้งแต่กัมพูชาได้เข้าร่วมรัฐภาคีก็ได้ดำเนินการเร่งกวาดล้างทุ่นระเบิด และให้การสนับสนุนประเทศอื่น จึงทำให้กัมพูชาได้รับการยอมรับไปทั่วโลก และไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงนี้ได้
.
ทั้งนี้ เราขอแสดงความเสียใจกับผู้ได้รับบาดเจ็บ แต่ความเสียใจนั้นไม่อาจทดแทนความจริงได้ กัมพูชาจะยืนหยัดปกป้องความน่าเชื่อถือของเรา พร้อมเรียกร้องให้มีกลไกการตรวจสอบอย่างครอบคลุมที่ยึดหลักฐานเป็นตัวตั้ง ดังนั้นเราต้องทำงานร่วมกันเพื่อยึดมั่นต่อการค้นหาความจริง และยึดมั่นต่อความร่วมมือภายใต้อนุสัญญาฯ จึงขอให้เราเลือกการหารืออย่างสร้างสรรค์แทนการเผชิญหน้า รวมทั้งรับประกันสันติภาพและความมั่นคงของเราในเวลานี้และสำหรับคนรุ่นหลังต่อไป อย่างไรก็ตาม ไทย-กัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านกันมาหลายร้อยปี และเราจะเป็นเพื่อบ้านกันอีกหลายร้อยปีต่อไป บางครั้งครอบครัวยังแยกจากกันได้ แต่เพื่อนบ้านแยกจากกันไม่ได้ จึงขอให้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง
.
หลังจากนั้น นางสาวอิชิกาวะ โทมิโกะ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรญี่ปุ่นประจำการประชุมด้านการลดอาวุธ ในฐานะประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ครั้งที่ 22 ได้เปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายชี้แจงคนละสองครั้ง
.
ด้าน นางสาวอุศณา พีรานนท์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา จึงได้ใช้สิทธิตอบโต้ครั้งแรก โดยได้เปิดวิดีโอการแสดงการใช้ทุ่นระเบิด PMN-2 ซึ่งเก็บได้จากกล้องโทรศัพท์ของทหารกัมพูชา รวมถึงเอกสาร AOT ของฝ่ายไทยที่ระบุว่าทุ่นระเบิดที่พบเป็นทุ่นระเบิดใหม่ แต่ฝ่ายกัมพูชาได้ประท้วง โดยอ้างว่าการตอบโต้ควรนำเสนอเพียงแค่คำพูดเท่านั้น ดังนั้นการกระทำของฝ่ายไทยจึงเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม
อย่างไรก็ดี ประธานรัฐภาคี ระบุว่า ถึงแม้จะมีการจำกัดให้ใช้เพียงคำพูดในการตอบโต้ แต่ไม่ได้มีข้อจำกัดเนื้อหาที่ใช้สำหรับการตอบโต้ จึงขอให้ฝ่ายไทยชี้แจงต่อไป
.
โดย นางสาวอุศณา กล่าวว่าเนื่องจากกัมพูชายังคงปฏิเสธการละเมิดพันธกรณีตามอนุสัญญา และกล่าวหาว่าไทยนำกรณีที่ทหารไทย 7 นาย ที่สูญเสียขาจากการเหยียบทุ่นระเบิดที่ถูกวางขึ้นใหม่มาเป็นเรื่องการเมือง ไทยจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องแสดงบางส่วนของหลักฐานต่อที่ประชุมนี้
.
สไลด์ที่ 1 – ภาพทหารไทยกำลังเก็บโทรศัพท์มือถือจากพื้นที่เกิดเหตุ หลักฐานชิ้นนี้มาจากโทรศัพท์มือถือที่พบโดยเจ้าหน้าที่ทหารไทยเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 บริเวณพิกัด VA61437 96560 ในพื้นที่ฐานพลาญยาว จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เคยถูกกองทัพกัมพูชาครอบครองระหว่างเหตุความขัดแย้ง แต่ได้ถอนกำลังออกไปแล้ว
.
สไลด์ที่ 2 – วิดีโอคลิปเจ้าหน้าที่กัมพูชากำลังฝึกฝนการวางทุ่นระเบิด PMN-2 ในโทรศัพท์ดังกล่าว เราพบวิดีโอคลิปที่บันทึกไว้เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2568 แสดงให้เห็นทหารกัมพูชากำลังได้รับการฝึกฝนเกี่ยวกับการวางทุ่นระเบิด PMN-2 ไม่ใช่การเก็บกู้
.
สไลด์ที่ 3 – ภาพถ่ายเจ้าหน้าที่กัมพูชากำลังติดตั้งทุ่นระเบิด PMN-2 เรายังได้มาซึ่งภาพถ่ายที่บันทึกเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 เวลา 14.32 น. ซึ่งแสดงให้เห็นทหารกัมพูชากำลังวางทุ่นระเบิด PMN-2 ภาพเหล่านี้ได้มาผ่านแอปพลิเคชัน Telegram จากบัญชีของเจ้าของโทรศัพท์ การวิเคราะห์ทางนิติวิทยาศาสตร์ภายหลังพบว่า บุคคลหนึ่งในภาพเป็นทหารกัมพูชาที่เคยพบปะกับนายทหารไทยที่จุดนัดพบพลาญยาว
.
เราขอสงวนข้อมูลตัวตนทั้งหมดของเจ้าหน้าที่กัมพูชาเหล่านี้ในที่ประชุม ด้วยเหตุผลด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูล อย่างไรก็ตาม เราได้ส่งมอบข้อมูลและหลักฐานทั้งหมด ความยาวรวม 108 หน้า ต่อเลขาธิการสหประชาชาติเรียบร้อยแล้ว และเราขอเสริมด้วยว่า กัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มการโจมตีด้วยกำลังอาวุธต่อดินแดนไทยก่อน รวมถึงการใช้ปืนใหญ่หนัก เช่น จรวด BM-21 ในช่วงเช้าวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 และยังคงละเมิดข้อตกลงหยุดยิงระหว่างทั้งสองฝ่ายอย่างต่อเนื่อง
.
จากนั้น นาย ลี ปันหริธ เลขาธิการหน่วยปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดและการช่วยเหลือเหยื่อแห่งกัมพูชา หรือ C.M.A.A. ได้ใช้สิทธิกล่าวตอบโต้ไทยรอบแรก ว่า กัมพูชายืนยันความพร้อมในการเข้าร่วมการสอบสวนรวมถึงการพิสูจน์หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เพราะกัมพูชาไม่มีอะไรต้องปิดบัง อย่างไรก็ตาม กัมพูชาเสียใจที่ไทยหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา โดยนำเสนอเอกสารและสิ่งที่ระบุว่าเป็นหลักฐานต่างๆ โดยไม่ได้มีการพูดคุย หรือ ปรึกษาหารือกันก่อน ซึ่งบ่อนทำลายจิตวิญญาณของร่วมมือภายใต้อนุสัญญา แทนที่จะมีการทำงานร่วมกับคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน หรือ มีการตรวจสอบโดยผู้ตรวจสอบอิสระ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่