
- หลังจากดูจบ 5 ละครเวทีเรื่องสั้นที่เกิดจากการ Co กัน 5 สถาบันระหว่างมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ , มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ , มหาวิทยาลัยทักษิณ , มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี และ กลุ่มละครสองเล ภายใต้ Concept ความในใจ ที่มีต่อมุมมองชีวิต อัตลักษณ์ และสัจจะสำนึกที่มีต่อเมืองหาดใหญ่ปักษ์ใต้บ้านเรา โดยรวมดีชื่นชมในความตั้งใจความทุ่มเทของน้องนักแสดงและทีมงานหลังม่านทุกท่านในการฝึกซ้อม คิดบท และรังสรรค์ Space แต่ละ Zone ที่ Mark ไว้ได้มี Story เป็นของตนเองในเวลาราว 10 กว่านาทีแถมความต่างที่ประทับใจคือการพาคนดูอย่างเราร่วมเดินทางไปเยือนชมแต่ละ Field ที่ผมรู้สึกว่าเราได้มีส่วนร่วมไปกับ Story มากกว่านั่งจมปลักอยู่กับที่ในห้อง 4 เหลี่ยมแล้วแต่ละ Zone ก็ Set ฉากได้เรียบง่ายเข้ากับเนื้อหาจนดูไปนึกภาพตามได้ไม่ยากเลยว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นที่ไหน ? แม้พร็อพที่จัดวางบางเรื่องจะใช้แค่หยิบมือและบางเรื่องก็จัดเต็มระดับน้อนรัชดาลัยเธียเตอร์แต่โดยรวมมันคือสีสันอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเห็นถึงสีสันบนความหลากหลาย

- ระหว่างดูคิดว่าแต่ละเรื่องที่จ่าหัวไว้ อาทิ 1.) พลี Plea , 2.) ต่างที่เหมือน , 3.) Somewhere Called Home , 4.) ขยะอารมณ์ และ 5.) ทุน (Capital) จะเรียงลำดับตามนี้จนเพิ่งมาสังเกตุเอาตอนดูจบแล้วว่า เอ๊ะ ทำไมแต่ละเรื่องมันเล่าไม่ตรงตามที่จ่าวะ ? พอสื่อไม่ตรงในหัวก็เริ่มเกาหัวตามว่าแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเรื่องไหนคือเรื่องไหน ? พอลองจับคู่ดูก็จับไม่ถูกก็เลยช่างแมงแระ พรรณนาแบบรวบยอดเลยดีกว่าคือจากที่ดูไปวาร์ปไปอย่างกะเล่นเก้าอี้ดนตรีกัน 1 ชั่วโมง 45 นาที ชอบการสื่อความในใจของเรื่องที่ 2 ที่สุดด้วยเพราะมีความต่างจากอีก 4 เรื่องตรงที่มีการนำศิลปะนาฏศิลป์ท้องถิ่นใต้อย่างการรำ (ไม่ทราบว่าเป็นการรำแขนงใด ?) เป็นตัวนำเล่าที่สร้างความเตะใจผมตั้งแต่เปิดหัวตรงที่กายภาพเหล่านี้สะท้อนถึงวิถึชีวิตความเป็นอยู่ได้ตรงประเด็นผ่านนักแสดงนำ 4 คนด้วยท่ารำที่อ่อนช้อยด้วยสำเนียงใต้ชับเปรี๊ยะทุกคำแม้มีสำเนียงกลางแทรกประกบพิธีการพร้อมเสียงตีกลองกระทบเป็นจังหวะที่นอกจากจะเป็นส่วนผสมที่ลงตัวคงความเป็นท้องถิ่นชัดแจ้งกว่าเพื่อนแล้วบทสรุปก่อนจากด้วยท่ารำของนักแสดงที่เวียนกลับมาเข้าซุ้มพร้อมเสียงขับร้องชวนสะอื้นที่เห็นแล้วเสียดสีกระแทกใจผมจนจุกอกเกินจะอธิบาย

- ส่วนอีก 4 เรื่องแม้ไป way ละครเวทีใน Base เดียวกันจนเกือบมองข้ามแล้ววว่าแต่ละเรื่องก็มีของดีมานำเสนอ
- โดยเรื่องแรกจะเล่าถึงมุมมองของคน 2 ศาสนาระหว่างไทยมลายูกับไทยอีสานที่ต้องมาเป็น Roommate จำใจในห้องเดียวกันด้วยการปะทะฝีปากจนเกือบสะเทือนทั้งหอก่อนค่อย ๆ เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์จากคนที่เพียงแค่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ที่แฝงอีโก้มาเต็มหน่วยที่พร้อมจะบวกเมื่อคิดจะท้าจนค่อย ๆ ก่อตัวเป็นความเข้าใจในความต่างของกันและกันเมื่อแต่ละคนเริ่มเปิดเผยปมในใจออกมาจนนำไปสู่บทสรุปก่อนจากที่ทำเอาผมอมยิ้มด้วยความปิติที่มุมปากอยู่ไม่น้อย

- เรื่องที่ 3 การตัดสินใจครั้งสำคัญของหญิงสาวที่ต้องเลือกระหว่างจะทำตามความฝันหรือสืบทอดกิจการครอบครัวที่เป็นมรดกสืบทอดโดยมีเจ๊ 2 เจ้าของร้านเสริมสวยที่อยู่ขวามือกับป้าใหญ่เจ้าของร้านเสริมสวยที่อยู่ทางซ้ายเหมือนกันหรือเปล่าไม่แน่ชัดเพราะมัวแต่ไปโฟกัสอยู่แต่ร้านเจ๊ 2 มาเป็นตัวช่วยให้คำปรึกษาหรือสร้างเรื่องให้หญิงสาวตัดสินใจลำบากขึ้นกันแน่ในเมื่อแต่ละคนก็มีมุมมองของแต่ละคนมาปะทะฝีปากจนผมพลอยปวดกบาลตามไปด้วยแต่ด้วยความที่มีเวลาจำกัดจึงรีบวาร์ปฉากอย่างรวบรัดให้ทันเวลาที่กำหนดเลยทำให้บทสรุปจึงไม่ยากเกินคาดการณ์ว่าหญิงสาวจะเลือกหนทางไหน ?

- เรื่องที่ 4 เมื่อเห็นนักแสดง 4 คนยืนประจันหน้าคนละมุมและมีหญิงสาวคนนึงยืนกลางเวทีในใจก็เผลอนึกถึงเวทีมวยปล้ำยังไงชอบกลจนพอแต่ละคนเริ่มทยอยเดินวนหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงกลางอย่างไวเท่านั้นแหล่ะมันกลายเป็น Match 4 รุม 1 โดยไม่มีกรรมการมาห้ามปรามใด ๆ คงไม่ใช่ว่ากลัวถูกลูกหลงแต่เป็นเพราะการรุมกินโต๊ะทางคำพูดประสานเสียงอันติรัว ๆ ของ 4 หน่อจนหญิงสาวเริ่มจะประคองสติไม่อยู่มันมีสารบางอย่างที่เชื่อมโยงกับปมของหญิงสาวอยู่ว่าแต่ละคนมีความสัมพันธ์กันอย่างไร ? แม้จะสะดุดตากับน้ำเสียงของ 1 ใน 4 เล่นพูดจ่อหัวจนผมหลุดขำด้วยความเจ็บหัวหรือบางคนขอโชว์เหนือด้วยการรับจ๊อบมากกว่า 1 บทจนผมเผลอสับสนแล้วแต่โดยรวมก็กลับเข้าสู่ทางหลวงได้มันสะท้อนถึงชีวิตของคน ๆ หนึ่งที่ต้องพบเจอและแบกรับภาระที่มากเกินจะรับมือ

- เรื่องสุดท้ายที่เปิดตัวอย่างกะซีรีส์ Coffee Prince แต่เนื้อความที่สัมผัสได้กลับไม่ได้ Romance ตามที่มโนเริ่มส่งกลิ่น Drama ผ่านความรู้สึกที่เก็บทรงงำในทีเคร่งขรึมของเจ้าของร้านคาเฟ่ที่ต้องรับรู้เรื่องลูกค้าแต่ละ Case แวะเวียนมาอุดหนุน และขอช่วยเป็นที่ระบายเป็น Package เสริมก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปเมื่อได้ปลดปล่อยหมดแม็กโดยไม่รู้บวกไม่ได้สนความรู้สึกเจ้าของร้านจนคุณผู้ช่วยที่เป็นคนเก่าแก่ของครอบครัวคอยเป็นห่วงและให้กำลังใจไปด้วยกัน ถึงกระนั้นมีเรื่องที่กล่าวตามมาคือประเด็นจิตสำนึกที่เริ่มผลักดันในช่วงท้ายก่อนจากจึงอัดมวลด้วยความนัยใจของตัวละครที่ต้องการปลดปล่อยให้ใครสักคนที่เรารู้สึกว่านี่คือ Save Zone ที่ดีที่สุดของเรา

- ถึงบางเรื่องจะใส่ไข่ด้วยมุกตลกเพื่อชูอรรถรส บางเรื่องก็เศร้าสร้อยจนหดหู่ หรือ บางเรื่องจะปล่อย Joint จน Dead Air แต่หากมองตามความเป็นจริงก็สามารถนำเสนอได้ใกล้เคียงกับสภาพความเป็นอยู่ไม่ได้จงใจใส่จนเพื่อนดูออกว่าจงใจปล่อยมุกแบบ Sit-Com จี้เอวให้กูขำแทนที่มองว่าความ Flow ของนักแสดงก็ดีกระทั่งความนิ่งของเหตุการณ์มันเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งที่พบได้ในสังคมที่สามารถแลเห็นความขัดแย้งเวียนว่ายบนความปกติและความขัดแย้งของประเด็นที่ซ่อนผ่านมุมมองชีวิต อัตลักษณ์ และ สัจจะสำนึก เมื่อนำมาประกอบรวมกันมันจึงเกิดเป็นเรื่องราวย่อย ๆ ในเมืองหาดใหญ่ที่อาจไม่โดดเด่นในเรื่องใดแต่มีความหลากหลายขับเคลื่อนอยู่ในนั้นให้รอการค้นหา

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ : EMistique
[CR] No.161 หรอยคาด...หาดใหญ่ (2568) By Sanehar Paradiso
- หลังจากดูจบ 5 ละครเวทีเรื่องสั้นที่เกิดจากการ Co กัน 5 สถาบันระหว่างมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ , มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ , มหาวิทยาลัยทักษิณ , มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี และ กลุ่มละครสองเล ภายใต้ Concept ความในใจ ที่มีต่อมุมมองชีวิต อัตลักษณ์ และสัจจะสำนึกที่มีต่อเมืองหาดใหญ่ปักษ์ใต้บ้านเรา โดยรวมดีชื่นชมในความตั้งใจความทุ่มเทของน้องนักแสดงและทีมงานหลังม่านทุกท่านในการฝึกซ้อม คิดบท และรังสรรค์ Space แต่ละ Zone ที่ Mark ไว้ได้มี Story เป็นของตนเองในเวลาราว 10 กว่านาทีแถมความต่างที่ประทับใจคือการพาคนดูอย่างเราร่วมเดินทางไปเยือนชมแต่ละ Field ที่ผมรู้สึกว่าเราได้มีส่วนร่วมไปกับ Story มากกว่านั่งจมปลักอยู่กับที่ในห้อง 4 เหลี่ยมแล้วแต่ละ Zone ก็ Set ฉากได้เรียบง่ายเข้ากับเนื้อหาจนดูไปนึกภาพตามได้ไม่ยากเลยว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นที่ไหน ? แม้พร็อพที่จัดวางบางเรื่องจะใช้แค่หยิบมือและบางเรื่องก็จัดเต็มระดับน้อนรัชดาลัยเธียเตอร์แต่โดยรวมมันคือสีสันอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเห็นถึงสีสันบนความหลากหลาย
- ระหว่างดูคิดว่าแต่ละเรื่องที่จ่าหัวไว้ อาทิ 1.) พลี Plea , 2.) ต่างที่เหมือน , 3.) Somewhere Called Home , 4.) ขยะอารมณ์ และ 5.) ทุน (Capital) จะเรียงลำดับตามนี้จนเพิ่งมาสังเกตุเอาตอนดูจบแล้วว่า เอ๊ะ ทำไมแต่ละเรื่องมันเล่าไม่ตรงตามที่จ่าวะ ? พอสื่อไม่ตรงในหัวก็เริ่มเกาหัวตามว่าแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเรื่องไหนคือเรื่องไหน ? พอลองจับคู่ดูก็จับไม่ถูกก็เลยช่างแมงแระ พรรณนาแบบรวบยอดเลยดีกว่าคือจากที่ดูไปวาร์ปไปอย่างกะเล่นเก้าอี้ดนตรีกัน 1 ชั่วโมง 45 นาที ชอบการสื่อความในใจของเรื่องที่ 2 ที่สุดด้วยเพราะมีความต่างจากอีก 4 เรื่องตรงที่มีการนำศิลปะนาฏศิลป์ท้องถิ่นใต้อย่างการรำ (ไม่ทราบว่าเป็นการรำแขนงใด ?) เป็นตัวนำเล่าที่สร้างความเตะใจผมตั้งแต่เปิดหัวตรงที่กายภาพเหล่านี้สะท้อนถึงวิถึชีวิตความเป็นอยู่ได้ตรงประเด็นผ่านนักแสดงนำ 4 คนด้วยท่ารำที่อ่อนช้อยด้วยสำเนียงใต้ชับเปรี๊ยะทุกคำแม้มีสำเนียงกลางแทรกประกบพิธีการพร้อมเสียงตีกลองกระทบเป็นจังหวะที่นอกจากจะเป็นส่วนผสมที่ลงตัวคงความเป็นท้องถิ่นชัดแจ้งกว่าเพื่อนแล้วบทสรุปก่อนจากด้วยท่ารำของนักแสดงที่เวียนกลับมาเข้าซุ้มพร้อมเสียงขับร้องชวนสะอื้นที่เห็นแล้วเสียดสีกระแทกใจผมจนจุกอกเกินจะอธิบาย
- ส่วนอีก 4 เรื่องแม้ไป way ละครเวทีใน Base เดียวกันจนเกือบมองข้ามแล้ววว่าแต่ละเรื่องก็มีของดีมานำเสนอ
- โดยเรื่องแรกจะเล่าถึงมุมมองของคน 2 ศาสนาระหว่างไทยมลายูกับไทยอีสานที่ต้องมาเป็น Roommate จำใจในห้องเดียวกันด้วยการปะทะฝีปากจนเกือบสะเทือนทั้งหอก่อนค่อย ๆ เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์จากคนที่เพียงแค่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ที่แฝงอีโก้มาเต็มหน่วยที่พร้อมจะบวกเมื่อคิดจะท้าจนค่อย ๆ ก่อตัวเป็นความเข้าใจในความต่างของกันและกันเมื่อแต่ละคนเริ่มเปิดเผยปมในใจออกมาจนนำไปสู่บทสรุปก่อนจากที่ทำเอาผมอมยิ้มด้วยความปิติที่มุมปากอยู่ไม่น้อย
- เรื่องที่ 3 การตัดสินใจครั้งสำคัญของหญิงสาวที่ต้องเลือกระหว่างจะทำตามความฝันหรือสืบทอดกิจการครอบครัวที่เป็นมรดกสืบทอดโดยมีเจ๊ 2 เจ้าของร้านเสริมสวยที่อยู่ขวามือกับป้าใหญ่เจ้าของร้านเสริมสวยที่อยู่ทางซ้ายเหมือนกันหรือเปล่าไม่แน่ชัดเพราะมัวแต่ไปโฟกัสอยู่แต่ร้านเจ๊ 2 มาเป็นตัวช่วยให้คำปรึกษาหรือสร้างเรื่องให้หญิงสาวตัดสินใจลำบากขึ้นกันแน่ในเมื่อแต่ละคนก็มีมุมมองของแต่ละคนมาปะทะฝีปากจนผมพลอยปวดกบาลตามไปด้วยแต่ด้วยความที่มีเวลาจำกัดจึงรีบวาร์ปฉากอย่างรวบรัดให้ทันเวลาที่กำหนดเลยทำให้บทสรุปจึงไม่ยากเกินคาดการณ์ว่าหญิงสาวจะเลือกหนทางไหน ?
- เรื่องที่ 4 เมื่อเห็นนักแสดง 4 คนยืนประจันหน้าคนละมุมและมีหญิงสาวคนนึงยืนกลางเวทีในใจก็เผลอนึกถึงเวทีมวยปล้ำยังไงชอบกลจนพอแต่ละคนเริ่มทยอยเดินวนหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงกลางอย่างไวเท่านั้นแหล่ะมันกลายเป็น Match 4 รุม 1 โดยไม่มีกรรมการมาห้ามปรามใด ๆ คงไม่ใช่ว่ากลัวถูกลูกหลงแต่เป็นเพราะการรุมกินโต๊ะทางคำพูดประสานเสียงอันติรัว ๆ ของ 4 หน่อจนหญิงสาวเริ่มจะประคองสติไม่อยู่มันมีสารบางอย่างที่เชื่อมโยงกับปมของหญิงสาวอยู่ว่าแต่ละคนมีความสัมพันธ์กันอย่างไร ? แม้จะสะดุดตากับน้ำเสียงของ 1 ใน 4 เล่นพูดจ่อหัวจนผมหลุดขำด้วยความเจ็บหัวหรือบางคนขอโชว์เหนือด้วยการรับจ๊อบมากกว่า 1 บทจนผมเผลอสับสนแล้วแต่โดยรวมก็กลับเข้าสู่ทางหลวงได้มันสะท้อนถึงชีวิตของคน ๆ หนึ่งที่ต้องพบเจอและแบกรับภาระที่มากเกินจะรับมือ
- เรื่องสุดท้ายที่เปิดตัวอย่างกะซีรีส์ Coffee Prince แต่เนื้อความที่สัมผัสได้กลับไม่ได้ Romance ตามที่มโนเริ่มส่งกลิ่น Drama ผ่านความรู้สึกที่เก็บทรงงำในทีเคร่งขรึมของเจ้าของร้านคาเฟ่ที่ต้องรับรู้เรื่องลูกค้าแต่ละ Case แวะเวียนมาอุดหนุน และขอช่วยเป็นที่ระบายเป็น Package เสริมก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปเมื่อได้ปลดปล่อยหมดแม็กโดยไม่รู้บวกไม่ได้สนความรู้สึกเจ้าของร้านจนคุณผู้ช่วยที่เป็นคนเก่าแก่ของครอบครัวคอยเป็นห่วงและให้กำลังใจไปด้วยกัน ถึงกระนั้นมีเรื่องที่กล่าวตามมาคือประเด็นจิตสำนึกที่เริ่มผลักดันในช่วงท้ายก่อนจากจึงอัดมวลด้วยความนัยใจของตัวละครที่ต้องการปลดปล่อยให้ใครสักคนที่เรารู้สึกว่านี่คือ Save Zone ที่ดีที่สุดของเรา
- ถึงบางเรื่องจะใส่ไข่ด้วยมุกตลกเพื่อชูอรรถรส บางเรื่องก็เศร้าสร้อยจนหดหู่ หรือ บางเรื่องจะปล่อย Joint จน Dead Air แต่หากมองตามความเป็นจริงก็สามารถนำเสนอได้ใกล้เคียงกับสภาพความเป็นอยู่ไม่ได้จงใจใส่จนเพื่อนดูออกว่าจงใจปล่อยมุกแบบ Sit-Com จี้เอวให้กูขำแทนที่มองว่าความ Flow ของนักแสดงก็ดีกระทั่งความนิ่งของเหตุการณ์มันเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งที่พบได้ในสังคมที่สามารถแลเห็นความขัดแย้งเวียนว่ายบนความปกติและความขัดแย้งของประเด็นที่ซ่อนผ่านมุมมองชีวิต อัตลักษณ์ และ สัจจะสำนึก เมื่อนำมาประกอบรวมกันมันจึงเกิดเป็นเรื่องราวย่อย ๆ ในเมืองหาดใหญ่ที่อาจไม่โดดเด่นในเรื่องใดแต่มีความหลากหลายขับเคลื่อนอยู่ในนั้นให้รอการค้นหา
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ : EMistique
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้