ใครคือผู้ร้ายตัวจริง ? ระหว่าง ใช้เงินเกินตัว กับ ค่าแรงที่ไม่พอใช้


📌 เคยสงสัยไหมว่าทำไมในชั้นเรียนวิชาชีววิทยา เราถึงได้เรียนเรื่อง ‘สภาวะสมดุล’ (Homeostasis) ของร่างกาย? นั่นก็เพราะร่างกายมนุษย์จะทำงานได้อย่างปกติสุขก็ต่อเมื่อทุกระบบอยู่ในสภาวะที่สมดุล แต่เมื่อใดก็ตามที่สมดุลนั้นถูกทำลายลง ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิที่สูงหรือต่ำเกินไป หรือระดับน้ำตาลในเลือดที่ผิดเพี้ยน นั่นคือสัญญาณของ ‘ความเจ็บป่วย’ ที่กำลังคืบคลานเข้ามา
.
ถ้าเราลองนำแนวคิดทางชีววิทยานี้มาส่องดูสภาวะทางเศรษฐกิจของสังคมไทยในปัจจุบัน เราอาจจะพบว่าสังคมของเรากำลังเผชิญกับอาการของโรคเรื้อรังที่ชื่อว่า ‘หนี้ครัวเรือน’ ซึ่งเป็นสภาวะแห่งความไม่สมดุลทางการเงินที่รุนแรงและยืดเยื้อ
.
ที่ผ่านมา เรามักจะได้ยินคำวินิจฉัยที่ดูเหมือนจะเป็นคำตอบสำเร็จรูปสำหรับโรคนี้ นั่นคือการชี้ไปที่ ‘พฤติกรรมของผู้ป่วย’ และกล่าวโทษว่าปัญหาทั้งหมดเกิดจากการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย, การขาดวินัยทางการเงิน, หรือการ ‘ใช้เงินเกินตัว’ ของคนในสังคม

------

🔸 แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคำวินิจฉัยนั้นผิด?

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าสาเหตุที่แท้จริงไม่ใช่พฤติกรรมของเรา แต่เป็น ‘สภาพแวดล้อม’ ที่บีบคั้นจนเราไม่อาจมีชีวิตที่สมดุลได้? จากการวิเคราะห์ของ รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุน และการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ Business tomorrow เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 12 มิ.ย. 2568  ได้เปิดมุมมองใหม่ให้เราต้องกลับมาทบทวนถึงสาเหตุที่แท้จริงของอาการนี้กันใหม่

------

🔸 ความจริงจากสถิติที่ไม่เคยโกหก

ก่อนจะสรุปว่าอะไรคือสาเหตุที่แท้จริง เราอาจต้องพิจารณาหลักฐานที่พบเจอกันใหม่เสียก่อน ดร.อนุสรณ์ ได้แสดงให้เห็นถึงความไม่สมดุลที่เกิดขึ้นในเศรษฐกิจของประเทศตอนนี้ ผ่านตัวเลขสถิติที่น่าตกใจ และสวนทางกับคำกล่าวหาเรื่องการขาดวินัยอย่างสิ้นเชิง
.
“ตอนนี้ถามว่าใครมีเงินออมบ้าง ก็คงมีคนประมาณไม่น่าจะเกิน 5-6 % ถ้าเราตีโจทย์ว่าพวกเขาไม่มีวินัยทางการเงิน เขาก็เลยจน และก็มีหนี้สินนั่นไม่ใช่ ลองไปถามแม่บ้าน รปภ. หรือไรเดอร์ที่ขับรถรับจ้าง พวกเขาก็ทำงานหนัก เขาทำงานทุกวัน แล้วต้องทำอย่างไรให้ค่าแรงที่เขาได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ”
.
นี่คือหลักฐานชิ้นสำคัญ ที่บอกเราว่าสภาวะ ‘เดือนชนเดือน’ ไม่ใช่เรื่องของคนกลุ่มเล็ก ๆ ที่ไม่มีวินัย แต่เป็นสภาวะปกติของคนส่วนใหญ่ในประเทศ เมื่อคนกว่า 90% ไม่สามารถมีเงินออมได้ คำถามจึงไม่ใช่ "ทำไมพวกเขาไม่รู้จักเก็บออม?" แต่ควรจะเป็น "อะไรในระบบที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถออมได้?" ต่างหาก

------

🔸 สมการที่ต้องตีให้แตกระหว่างวินัยการเงิน หรือ ปัญหาโครงสร้างค่าแรง?

ถ้าข้อมูลนี้บอกว่านี่คือปัญหาเชิงโครงสร้าง ก็ถึงเวลาที่เราต้องมองภาพที่ใหญ่กว่าวินัยส่วนบุคคล ดร.อนุสรณ์ ได้ชี้ให้เห็นว่าสภาวะที่คนเป็นหนี้กันถ้วนหน้านั้น แท้จริงแล้วเป็นอาการป่วยของเศรษฐกิจในภาพรวมที่อ่อนแอมาเป็นเวลายาวนาน ดังที่ท่านได้วินิจฉัยไว้ว่า
.
“เรามีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำกว่าศักยภาพมายาวนานมาก และศักยภาพก็ลดลงด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นเนี่ยมันไม่ได้เป็นผลจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจหรือปัจจัยทางเศรษฐกิจอย่างเดียว ผมมีความหวังและความฝันว่าประเทศไทยควรจะเป็นประเทศที่พัฒนา และเป็นประเทศที่ร่ำรวยมาตั้งนานแล้ว แต่ว่าตอนนี้ความหวังตรงนี้มันได้ลดลง”
.
คำกล่าวนี้ทำให้เราลองปรับการมองภาพรวมของเศรษฐกิจใหม่อีกครั้ง และตั้งคำถามกับระบบที่เกิดขึ้นตอนนี้ใหม่ว่า เมื่อค่าจ้างขั้นพื้นฐานที่คนส่วนใหญ่ได้รับนั้นไม่เพียงพอแม้แต่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน การก่อหนี้จึงไม่ได้เป็นทางเลือกที่เกิดจากความฟุ่มเฟือย แต่เป็น ‘ทางรอด’ เดียวที่หลายคนจำเป็นต้องเลือก

------

🔸 ผลกระทบของหนี้ที่มากกว่าแค่ตัวเลขกำลังกัดกร่อนอนาคต

การปล่อยให้สภาวะที่ค่าแรงไม่พอใช้ดำเนินต่อไป ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาปากท้องของคนธรรมดาเท่านั้น แต่มันกำลังกัดกร่อนศักยภาพของประเทศในระยะยาว เมื่อเศรษฐกิจเติบโตต่ำอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับหนี้สินที่พอกพูน นี่จึงไม่ใช่แค่ปัญหาหนี้สินธรรมดา แต่มันได้กลายร่างเป็นอาการป่วยเรื้อรังที่ฝังรากลึก ดังที่ ดร.อนุสรณ์ ได้วินิจฉัยถึงความรุนแรงของสถานการณ์นี้ไว้ว่า
.
“การที่หนี้ครัวเรือนทรงตัวในระดับสูงอย่างยาวนาน ซึ่งเป็นผลจากการเข้มงวดทางการเงิน แต่ไม่ได้เป็นผลมาจากการที่เศรษฐกิจโตขึ้น เพื่อให้ประชาชนมีรายได้มากขึ้นและมีศักยภาพในการที่จะชำระหนี้มากขึ้น การที่พวกเขาจะดำรงชีพได้เขาก็ต้องมีเงินเหลือบ้างมีเงินออมบ้าง”
.
สภาวะหนี้สินที่พอกพูนนี้ทำงานเหมือน ‘หลุมดำทางการเงิน’ (Financial Black Hole) ที่คอยดูดกลืนกำลังซื้อและอนาคตของคนในประเทศ เมื่อคนส่วนใหญ่ต้องนำรายได้ในอนาคตมาจ่ายหนี้ในวันนี้ พวกเขาก็ไม่มีพลังงานเหลือที่จะบริโภคหรือลงทุน ทำให้การเติบโตหยุดชะงัก กลายเป็นวงจรที่ดูดกลืนผู้คนให้ยิ่งจนลง และเป็นหนี้มากขึ้น

------

🔸 ทางออกของปัญหานี้คืออะไร?

เมื่อพิจารณาจากสิ่งที่ ดร.อนุสรณ์ ให้ข้อมูลไว้ วิธีการแก้ปัญหาอาจไม่ใช่เรื่องของการปรับการใช้เงินเกินตัวของคนธรรมดา แต่เป็นโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และค่าแรงที่ไม่เคยเติบโตทันโลกแห่งความเป็นจริง ทางออกที่ยั่งยืนอาจจะเป็นเรื่องของการปรับนโยบายที่ทำให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น ทำให้พวกเขาสามารถที่จะมีเงินออมได้จริง
.
“ที่ผ่านมาเราเน้นไปที่เรื่องเสถียรภาพเศรษฐกิจ เสถียรภาพของระบบการเงิน แต่เราไม่ได้คิดในมิติของการที่จะไปลดความเหลื่อมล้ำหรือลดความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจ นั่นหมายความว่ามาตรการทางการเงินนโยบายทางการเงินนั้นต้องมีส่วนในการไปเพิ่มผลิตภาพให้กับผู้คน และให้กับภาคธุรกิจให้กับครัวเรือนด้วย”
.
บทสรุปของเรื่องนี้อาจไม่ใช่การชี้ว่าใครผิดหรือใครถูก แต่เป็นการยอมรับความจริงที่ซับซ้อนกว่านั้น นั่นคือปัญหาหนี้ครัวเรือนไม่ได้เป็นเพียงโศกนาฏกรรมของปัจเจกบุคคล แต่เป็นภาพสะท้อนของ "สภาวะสมดุล" ทางเศรษฐกิจที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
.
คำวินิจฉัยของ ดร.อนุสรณ์ เป็นเหมือนการพลิกตำราการรักษา ที่บอกเราว่าการให้ยาแก้ปวดเฉพาะจุดอย่างการสอนเรื่องวินัยการเงินนั้นไม่เพียงพออีกต่อไป ตราบใดที่ร่างกายยังขาดสารอาหารที่จำเป็นอย่าง "ค่าแรงที่เป็นธรรม" และ "เศรษฐกิจที่เติบโตอย่างทั่วถึง" คำถามสุดท้ายจึงอาจไม่ใช่คำถามว่า "เราจะประหยัดอย่างไร?" แต่เป็นคำถามที่ท้าทายกว่านั้น นั่นคือเราจะมีความกล้าหาญพอที่จะยอมรับผลการวินิจฉัยครั้งใหม่ และเริ่มต้นการ ‘ผ่าตัดใหญ่’ ที่โครงสร้างของระบบเศรษฐกิจ เพื่อฟื้นฟูสภาวะสมดุลให้กลับคืนมาอย่างแท้จริงแล้วหรือยัง?

#BusinessTomorrow #หนี้ครัวเรือน #เศรษฐกิจไทย #ปัญหาปากท้อง #ค่าแรงขั้นต่ำ #มนุษย์เงินเดือน

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่