JJNY : 5in1 7พรรคลงนามแก้รธน./เสรีพิศุทธ์ประเคนคดี3พปชร.​/ศก.เปราะบางทางการเงิน/กระเช้าปีใหม่ฝ่าพายุศก./ทวงหนี้อู้ฟู่

7พรรคฝ่ายค้านลงนามแก้รัฐธรรมนูญ
https://www.innnews.co.th/politics/news_554398/
 
 
7 พรรคฝ่ายค้านจัดเสวนา”พรรคการเมืองร่วมใจแก้ไขรัฐธรรมนูญ” โดยมี นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ , พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย , นายวันมูหมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ , นายมนูญ สิวาภิรมย์รัตน์ หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ , นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ , นายนิคม บุญวิเศษ หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย และ ดำเนินรายการโดย นายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการและสื่ออิสระ โดยทันทีที่นายธนาธร ปรากฎตัว ได้มีแฟนคลับปรบมือ และตะโกนเรียกชื่อ พร้อมตะโกนว่า “ฮีโร่ เราจะไม่ทิ้งกัน
 
ทั้งนี้ ก่อนเริ่มเสวนา 7 พรรคร่วมฝ่ายค้านได้ลงนามให้สัตยาบันร่วมกันว่า เราจะร่วมมือร่วมแรงร่วมใจร่วมกันแก้ไข และร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้เป็นรัฐธรรมนูญของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน โดยยึดมั่นในหลักการระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พร้อมกันนี้ ก็เห็นพ้องต้องกันว่าจะร่วมกับทุกภาคส่วนในสังคมอาทิ ภาควิชาการ นักเรียน นิสิตนัก ศึกษาและประชาชน ตลอดจนกลุ่มองค์กรต่าง ๆ ในการดำเนินการดังกล่าวตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยที่ให้มาซึ่งรัฐธรรมนูญที่สะท้อนเจตนารมณ์และตอบสนองปัญหาและความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง จึงลงนามเป็นหลักฐานไว้เป็นสัตยาบรรณร่วมกัน
 
ขณะที่บรรยากาศภายนอกงานเสวนาดังกล่าว ได้มีบรรดาแฟนคลับของพรรคฝ่ายค้านมาร่วมรับฟังกันอย่างคับคั่ง ซึ่งในจำนวนนั้นได้มีการแจกปฏิทินปีใหม่ 2563 ที่มีรูปของนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีมาแจกจ่ายกันด้วย โดยหลายคนต่างแสดงความชื่นชอบและถ่ายภาพร่วมกันเป็นที่ระลึก


เสรีพิศุทธ์ ประเคนคดีตรวจสอบ 3 ส.ส.พปชร.​ป่วน กมธ.ปราบโกง
https://www.komchadluek.net/news/breaking-news/404560

เสรีพิศุทธ์ เอาคืน 3 ส.ส. พปชร.​ ป่วน กมธ.ปราบโกง ประเคนคดีตรวจสอบ จ่อสอบต่อปมถวายสัตย์ ลั่น ส่งศาลรัฐธรรมนูญ มกราคม 2563
 
               รัฐสภา 14 ธันวาคม 2562  พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย ฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวภายในงานเสวนาพรรคการเมืองฝ่ายค้านร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถึงการทำงานใน กมธ.​ฯ ว่า
 
               ตอนนี้การทำงานของ กมธ. มีความสงบ หลังจากที่คนของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)​ คือ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส. ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ และนายสิระ เจนจาคะ ส.ส. กทม. พรรคพลังประชารัฐ โดนตนประเคนคดีให้ตรวจสอบคนละ 2 คดี โดย น.ส.ปารีณา เป็นกรณีการแจ้งบัญชีทรัพย์สิน และการรุกที่ป่า , นายสิระ กรณีลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต และการข่มขู่ข้าราชการในพื้นที่ ขณะที่ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ​ ที่จะเข้ามาใหม่ โดน 1 คดี เพราะก่อนเข้าทำงานหมิ่นประมาทตน การทำงานที่ผ่านมา พวกนี้พยายามขัดขวางและข่มขู่การทำงาน
 
               อย่างไรก็ตาม กรณีการถวายสัตย์ปฏิญาณตนไม่ครบถ้วนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ​ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กมธ.ฯ เตรียมสอบต่อ โดยในวันที่ 18 ธันวาคม จะเชิญ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ ชี้แจง ต่อจากนั้นจะเชิญ นายดิสทัต โหตระกิตย์  เลขาธิการ ครม. ​จากนั้นเป็น นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา และเมื่อตรวจสอบแล้วจะส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ​ (ศร.) ภายในเดือนมกราคม 2563
 

 
เศรษฐกิจไทยตอนนี้! รายได้และรายจ่ายลดลง เป็นหนี้มากขึ้น การออมลด เปราะบางทางการเงินมากขึ้น
https://brandinside.asia/thailand-economic-slowdown-low-income-and-expenditure-high-debt-and-low-saving/
 
EIC แห่งธนาคารไทยพาณิชย์ชี้ เศรษฐกิจภาคครัวเรือนไทยตอนนี้อยู่ในสภาวะซบเซา ทั้งรายได้และการใช้จ่ายลดลงครั้งแรกในรอบ 10 ปี สถานะทางการเงินของครัวเรือนเปราะบางมากขึ้น หนี้เพิ่มขึ้น การออมลดลง ความช่วยเหลือจากภาครัฐมีบทบาทมากขึ้นสำหรับครัวเรือนที่มีความสามารถในการหารายได้อ่อนแอและเปราะบางสูง 
 
ข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของภาคครัวเรือนไทย จัดทำด้วยการสำรวจครัวเรือนจำนวนกว่า 4 หมื่นครัวเรือนทุกๆ 2 ปีโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ จากนั้น EIC นำข้อมูลล่าสุดช่วงครึ่งแรกของปี 2562 วิเคราะห์เทียบกับข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี พบว่ามี 5 ข้อค้นพบสะท้อนภาวะเศรษฐกิจครัวเรือนไทยในปัจจุบัน ดังนี้ 
 
รายได้เฉลี่ยครัวเรือนไทยลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีสวนทาง GDP ที่ยังเติบโต
 
ครัวเรือนไทยมีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 26,371 บาทต่อเดือน ต่อครัวเรือน ลดลง -2.1% จากปี 2560 ที่ 26,946 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีเนื่องจากรายได้ครัวเรือนมีการเพิ่มขึ้นตลอด
 
รายได้ครัวเรือนลดลงทั้งในส่วนของลูกจ้างและการประกอบธุรกิจ รายได้จากครัวเรือนจาก 22,237 บาทต่อครัวเรือนในปี 2560 เหลือ 21,879 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ลดลง -1.6% รายได้ลดลงน่าจะมาจาก คนทำงานและจำนวนทำงานต่อชั่วโมงเฉลี่ยต่อคนลดลง 
 
รวมถึงอัตราค่าจ้างที่ชะลอลง ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยเชิงวัฏจักร (ลดการใช้แรงงานตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การเกษียณอายุของประชากร การนำเทคโนโลโยทีทดแทนแรงงาน)
 
รายได้ครัวเรือนจากกำไรกิจการลดลงทั้งในและนอกภาคเกษตร กิจการเกษตรเฉลี่ยอยู่ที่ 7,048 บาทต่อครัวเรือน ลดลง  -4.8% ส่วนรายได้ครัวเรือนนอกภาคเกษตรปี 2562 อยู่ที่ 19,269 ลดลงจาก 18,685 บาท ในปี 2560 ลดลง -3.0% ตามสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากบริษัทขนาดใหญ่
 
รายได้ครัวเรือนประเภทอื่นๆ ค่อนข้างทรงตัว รายได้ที่มาจากดอกเบี้ยจากการลงทุน ดอกเบี้ยเงินออม เงินโอนจากภาครัฐและผู้อื่น ปี 2562 อยู่ที่ 7,806 บาทไม่เปลี่ยนแปลงจากปี 2560
 
การใช้จ่ายเฉลี่ยครัวเรือนลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี
 
ครัวเรือนไทยลดการใช้จ่ายลง ครึ่งแรกปี 2562 ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 21,236 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน ลดลง -0.9% จาก 21,437 บาทต่อครัวเรือนในปี 2560 อาจลดลงเพราะกังวลเรื่องความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจรวมถึงภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน
 
ครัวเรือนไทยลดการใช้จ่ายในหลายหมวด โดยเฉพาะรายจ่ายสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น รายจ่ายด้านเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ ความบันเทิง การท่องเที่ยว สะท้อนว่าครัวเรือนไทยเลือกที่จะประหยัดค่าใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยในภาวะที่รายได้ไม่เติบโต ขณะที่รายจ่ายด้านการสื่อสารเป็นรายจ่ายประเภทเดียวที่ครัวเรือนไม่เคยมีการลดการใช้จ่ายลงในตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือของผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
 
ครัวเรือนไทยเป็นหนี้มากขึ้น ภาระหนี้ต่อรายได้แตะระดับสูงสุด 
 
ครัวเรือนไทยก่อหนี้เพิ่มขึ้น (ครัวเรือนที่มีหนี้ 46.3% ของครัวเรือนทั้งหมด) หนี้เฉลี่ยต่อครัวเรือนเพิ่มขึ้นจาก 353,210 บาทต่อครัวเรือน มาอยู่ที่ 362,373 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้น 2.6%
 
สัดส่วนหนี้ต่อรายได้ เพิ่มขึ้นจาก 96.1% เป็น 97.7% เป็นระดับสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
 
หนี้บ้าน-บริโภค-การเกษตรเพิ่ม หนี้ธุรกิจลด 
 
หนี้บ้านเพิ่ม การก่อหนี้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยของครัวเรือนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 128,287 บาทต่อครัวเรือนในปี 2560 อยู่ที่ 135,312 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้น 5.5% ส่งผลให้สัดส่วนหนี้ที่อยู่อาศัยต่อหนี้ครัวเรือนทั้งหมดเพิ่มขึ้นจาก 36.3% เป็น 37.3%
 
หนี้เพื่อการบริโภคเพิ่ม (รวมหนี้รถยนต์ด้วย) ซึ่งเป็นหนี้ที่มีสัดส่วนสูงสุดของครัวเรือน เพิ่มจาก 137,678 บาทต่อครัวเรือนในปี 2560 อยู่ที่ 139,904 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้น 1.0% สำหรับหนี้เพื่อการบริโภค
 
การก่อหนี้เพื่อทำธุรกิจการเกษตรยังคงเพิ่มขึ้น จาก 49,273 บาทต่อครัวเรือนปี 2560 มาอยู่ที่ 51,547 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้น 4.7% กำไรจากการเกษตรลดลง น่าจะมาจากการก่อหนี้เพื่อประคับประคองธุรกิจ ขณะที่การก่อหนี้เพื่อทำธุรกิจนอกภาคเกษตรลดลง จาก 30,120 ในปี 2560 ลดลงมาอยู่ที่ 29,478 บาทต่อครัวเรือนในปัจจุบัน ลดลง -2.1% 
 
แนวโน้มของหนี้แต่ละประเภทในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าการเพิ่มขึ้นของหนี้ภาคครัวเรือนถูกขับเคลื่อนโดยหนี้เพื่อการบริโภคและหนี้เพื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลัก ไม่ใช่หนี้เพื่อการทำธุรกิจ 
 
ครัวเรือนไทยเก็บออมลดลงมีความเปราะบางทางการเงินมากขึ้น 
 
อัตราการออมจากสัดส่วนเงินออมต่อรายได้ครัวเรือนในช่วงครึ่งปีแรก 2562 อยู่ที่ 6.4% เป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2552 อัตราการออมของครัวเรือนไทยเคยสูงสุดอยู่ที่ 11.0% เมื่อปี 2554 
 
41.3% ครัวเรือนไทยไม่มีการเก็บออมในช่วงครึ่งแรกปี 2562 และเมื่อพิจารณาแยกเฉพาะครัวเรือนที่มีหนี้ พบว่ามีสัดส่วนสูงถึง 59.2% ของครัวเรือนที่มีหนี้ ที่ไม่มีเงินออม
 
กันชนทางการเงินของครัวเรือนไทยมีน้อย มีความเปราะบางางการเงินมากขึ้นในการเผชิญปัจจัยลบทางเศรษฐกิจ เช่น การขาดรายได้ การตกงาน ความเสี่ยงดังกล่าวเพิ่มขึ้น ครัวเรือนไทยเกินครึ่งมีสินทรัพย์ทางการเงินครอบคลุมรายจ่ายได้ไม่เกิน 3 เดือน 
 
เงินช่วยเหลือจากภาครัฐมีบทบาทเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
 
ครัวเรือนรายได้น้อยมีการพึ่งพาเงินช่วยเหลือจากภาครัฐเพิ่มขึ้นตลอด รายได้ครัวเรือนมีส่วนหนึ่งที่มาจากการช่วยเหลือของภาครัฐ เช่น เงินโอน เงินสงเคราะห์ผู้สูงอายุและผู้พิการ กลุ่มครัวเรือนที่ได้เงินส่วนนี้มากที่สุดคือกลุ่มรายได้น้อยกว่า 1 หมื่นบาทต่อเดือน (19.9% ของจำนวนครัวเรือนทั้งหมด) เงินช่วยเหลือของภาครัฐปี 2562 อยู่ที่ 813 บาทต่อเดือน เป็นสัดส่วน 11.6% ต่อรายได้ทั้งหมด 
 
กลุ่มครัวเรือนรายได้น้อยมีความเปราะบางในหลายมิติ 
 
ภาระหนี้สูงกว่ารายได้ กลุ่มที่มีรายได้น้อยกว่า 1 หมื่นบาทต่อเดือนเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนหนี้ต่อรายได้เพิ่มเร็วที่สุดเมื่อเทียบกับ 3 กลุ่มรายได้ (กลุ่มรายได้ 1-3 หมื่น, รายได้ 3-5 หมื่น และมากกว่า 5 หมื่นบาท) 
 
รายจ่ายเพื่อการชำระหนี้ต่อเดือนสูง กลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้น้อยกว่า 1 หมื่นบาทต่อเดือน มีรายได้เพื่อการชำระหนี้ต่อเดือน (DSR: debt service ratio) เพิ่มจาก 29.5% ในปี 2552 เป็น 40.0%
 
กันชนทางการเงินมีไม่มาก สินทรัพย์ทางการเงินเทียบกับรายจ่ายต่อเดือนเฉลี่ยอยู่ที่ 4.3 เท่า
 
EIC มองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจของภาคครัวเรือนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาอยู่ในภาวะซบเซา สะท้อนจากรายได้และรายจ่ายที่ลดลง สวนทางกับทิศทาง GDP ของประเทศที่เติบโตต่อเนื่อง ไม่มีการเก็บออม มีสินทรัพย์ทางการเงินไม่พอรายจ่ายเกิน 3 เดือน มาตรการช่วยเหลือจากรัฐระยะสั้นยังมีความจำเป็นในการประคับระคองการใช้จ่ายและการชำระหนี้โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อยที่มีความเปราะบางมากที่สุด 
 
ที่มา – Economic Intelligence Center
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่