7พรรคฝ่ายค้านลงนามแก้รัฐธรรมนูญ
https://www.innnews.co.th/politics/news_554398/
7 พรรคฝ่ายค้านจัดเสวนา”พรรคการเมืองร่วมใจแก้ไขรัฐธรรมนูญ” โดยมี นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ , พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย , นายวันมูหมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ , นายมนูญ สิวาภิรมย์รัตน์ หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ , นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ , นายนิคม บุญวิเศษ หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย และ ดำเนินรายการโดย นายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการและสื่ออิสระ โดยทันทีที่นายธนาธร ปรากฎตัว ได้มีแฟนคลับปรบมือ และตะโกนเรียกชื่อ พร้อมตะโกนว่า “ฮีโร่ เราจะไม่ทิ้งกัน”
ทั้งนี้ ก่อนเริ่มเสวนา 7 พรรคร่วมฝ่ายค้านได้ลงนามให้สัตยาบันร่วมกันว่า เราจะร่วมมือร่วมแรงร่วมใจร่วมกันแก้ไข และร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้เป็นรัฐธรรมนูญของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน โดยยึดมั่นในหลักการระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พร้อมกันนี้ ก็เห็นพ้องต้องกันว่าจะร่วมกับทุกภาคส่วนในสังคมอาทิ ภาควิชาการ นักเรียน นิสิตนัก ศึกษาและประชาชน ตลอดจนกลุ่มองค์กรต่าง ๆ ในการดำเนินการดังกล่าวตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยที่ให้มาซึ่งรัฐธรรมนูญที่สะท้อนเจตนารมณ์และตอบสนองปัญหาและความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง จึงลงนามเป็นหลักฐานไว้เป็นสัตยาบรรณร่วมกัน
ขณะที่บรรยากาศภายนอกงานเสวนาดังกล่าว ได้มีบรรดาแฟนคลับของพรรคฝ่ายค้านมาร่วมรับฟังกันอย่างคับคั่ง ซึ่งในจำนวนนั้นได้มีการแจกปฏิทินปีใหม่ 2563 ที่มีรูปของนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีมาแจกจ่ายกันด้วย โดยหลายคนต่างแสดงความชื่นชอบและถ่ายภาพร่วมกันเป็นที่ระลึก
เสรีพิศุทธ์ ประเคนคดีตรวจสอบ 3 ส.ส.พปชร.ป่วน กมธ.ปราบโกง
https://www.komchadluek.net/news/breaking-news/404560
เสรีพิศุทธ์ เอาคืน 3 ส.ส. พปชร. ป่วน กมธ.ปราบโกง ประเคนคดีตรวจสอบ จ่อสอบต่อปมถวายสัตย์ ลั่น ส่งศาลรัฐธรรมนูญ มกราคม 2563
รัฐสภา 14 ธันวาคม 2562 พล.ต.อ.
เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย ฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวภายในงานเสวนาพรรคการเมืองฝ่ายค้านร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถึงการทำงานใน กมธ.ฯ ว่า
ตอนนี้การทำงานของ กมธ. มีความสงบ หลังจากที่คนของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) คือ น.ส.
ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส. ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ และนาย
สิระ เจนจาคะ ส.ส. กทม. พรรคพลังประชารัฐ โดนตนประเคนคดีให้ตรวจสอบคนละ 2 คดี โดย น.ส.
ปารีณา เป็นกรณีการแจ้งบัญชีทรัพย์สิน และการรุกที่ป่า , นาย
สิระ กรณีลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต และการข่มขู่ข้าราชการในพื้นที่ ขณะที่ นาย
ไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ที่จะเข้ามาใหม่ โดน 1 คดี เพราะก่อนเข้าทำงานหมิ่นประมาทตน การทำงานที่ผ่านมา พวกนี้พยายามขัดขวางและข่มขู่การทำงาน
อย่างไรก็ตาม กรณีการถวายสัตย์ปฏิญาณตนไม่ครบถ้วนของ พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กมธ.ฯ เตรียมสอบต่อ โดยในวันที่ 18 ธันวาคม จะเชิญ นาย
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ ชี้แจง ต่อจากนั้นจะเชิญ นาย
ดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการ ครม. จากนั้นเป็น นาย
ชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา และเมื่อตรวจสอบแล้วจะส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ (ศร.) ภายในเดือนมกราคม 2563
เศรษฐกิจไทยตอนนี้! รายได้และรายจ่ายลดลง เป็นหนี้มากขึ้น การออมลด เปราะบางทางการเงินมากขึ้น
https://brandinside.asia/thailand-economic-slowdown-low-income-and-expenditure-high-debt-and-low-saving/
EIC แห่งธนาคารไทยพาณิชย์ชี้ เศรษฐกิจภาคครัวเรือนไทยตอนนี้อยู่ในสภาวะซบเซา ทั้งรายได้และการใช้จ่ายลดลงครั้งแรกในรอบ 10 ปี สถานะทางการเงินของครัวเรือนเปราะบางมากขึ้น หนี้เพิ่มขึ้น การออมลดลง ความช่วยเหลือจากภาครัฐมีบทบาทมากขึ้นสำหรับครัวเรือนที่มีความสามารถในการหารายได้อ่อนแอและเปราะบางสูง
ข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของภาคครัวเรือนไทย จัดทำด้วยการสำรวจครัวเรือนจำนวนกว่า 4 หมื่นครัวเรือนทุกๆ 2 ปีโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ จากนั้น EIC นำข้อมูลล่าสุดช่วงครึ่งแรกของปี 2562 วิเคราะห์เทียบกับข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี พบว่ามี 5 ข้อค้นพบสะท้อนภาวะเศรษฐกิจครัวเรือนไทยในปัจจุบัน ดังนี้
รายได้เฉลี่ยครัวเรือนไทยลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีสวนทาง GDP ที่ยังเติบโต
ครัวเรือนไทยมีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 26,371 บาทต่อเดือน ต่อครัวเรือน ลดลง -2.1% จากปี 2560 ที่ 26,946 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีเนื่องจากรายได้ครัวเรือนมีการเพิ่มขึ้นตลอด
รายได้ครัวเรือนลดลงทั้งในส่วนของลูกจ้างและการประกอบธุรกิจ รายได้จากครัวเรือนจาก 22,237 บาทต่อครัวเรือนในปี 2560 เหลือ 21,879 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ลดลง -1.6% รายได้ลดลงน่าจะมาจาก คนทำงานและจำนวนทำงานต่อชั่วโมงเฉลี่ยต่อคนลดลง
รวมถึงอัตราค่าจ้างที่ชะลอลง ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยเชิงวัฏจักร (ลดการใช้แรงงานตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การเกษียณอายุของประชากร การนำเทคโนโลโยทีทดแทนแรงงาน)
รายได้ครัวเรือนจากกำไรกิจการลดลงทั้งในและนอกภาคเกษตร กิจการเกษตรเฉลี่ยอยู่ที่ 7,048 บาทต่อครัวเรือน ลดลง -4.8% ส่วนรายได้ครัวเรือนนอกภาคเกษตรปี 2562 อยู่ที่ 19,269 ลดลงจาก 18,685 บาท ในปี 2560 ลดลง -3.0% ตามสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากบริษัทขนาดใหญ่
รายได้ครัวเรือนประเภทอื่นๆ ค่อนข้างทรงตัว รายได้ที่มาจากดอกเบี้ยจากการลงทุน ดอกเบี้ยเงินออม เงินโอนจากภาครัฐและผู้อื่น ปี 2562 อยู่ที่ 7,806 บาทไม่เปลี่ยนแปลงจากปี 2560
การใช้จ่ายเฉลี่ยครัวเรือนลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี
ครัวเรือนไทยลดการใช้จ่ายลง ครึ่งแรกปี 2562 ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 21,236 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน ลดลง -0.9% จาก 21,437 บาทต่อครัวเรือนในปี 2560 อาจลดลงเพราะกังวลเรื่องความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจรวมถึงภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ครัวเรือนไทยลดการใช้จ่ายในหลายหมวด โดยเฉพาะรายจ่ายสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น รายจ่ายด้านเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ ความบันเทิง การท่องเที่ยว สะท้อนว่าครัวเรือนไทยเลือกที่จะประหยัดค่าใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยในภาวะที่รายได้ไม่เติบโต ขณะที่รายจ่ายด้านการสื่อสารเป็นรายจ่ายประเภทเดียวที่ครัวเรือนไม่เคยมีการลดการใช้จ่ายลงในตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือของผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ครัวเรือนไทยเป็นหนี้มากขึ้น ภาระหนี้ต่อรายได้แตะระดับสูงสุด
ครัวเรือนไทยก่อหนี้เพิ่มขึ้น (ครัวเรือนที่มีหนี้ 46.3% ของครัวเรือนทั้งหมด) หนี้เฉลี่ยต่อครัวเรือนเพิ่มขึ้นจาก 353,210 บาทต่อครัวเรือน มาอยู่ที่ 362,373 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้น 2.6%
สัดส่วนหนี้ต่อรายได้ เพิ่มขึ้นจาก 96.1% เป็น 97.7% เป็นระดับสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
หนี้บ้าน-บริโภค-การเกษตรเพิ่ม หนี้ธุรกิจลด
หนี้บ้านเพิ่ม การก่อหนี้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยของครัวเรือนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 128,287 บาทต่อครัวเรือนในปี 2560 อยู่ที่ 135,312 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้น 5.5% ส่งผลให้สัดส่วนหนี้ที่อยู่อาศัยต่อหนี้ครัวเรือนทั้งหมดเพิ่มขึ้นจาก 36.3% เป็น 37.3%
หนี้เพื่อการบริโภคเพิ่ม (รวมหนี้รถยนต์ด้วย) ซึ่งเป็นหนี้ที่มีสัดส่วนสูงสุดของครัวเรือน เพิ่มจาก 137,678 บาทต่อครัวเรือนในปี 2560 อยู่ที่ 139,904 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้น 1.0% สำหรับหนี้เพื่อการบริโภค
การก่อหนี้เพื่อทำธุรกิจการเกษตรยังคงเพิ่มขึ้น จาก 49,273 บาทต่อครัวเรือนปี 2560 มาอยู่ที่ 51,547 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้น 4.7% กำไรจากการเกษตรลดลง น่าจะมาจากการก่อหนี้เพื่อประคับประคองธุรกิจ ขณะที่การก่อหนี้เพื่อทำธุรกิจนอกภาคเกษตรลดลง จาก 30,120 ในปี 2560 ลดลงมาอยู่ที่ 29,478 บาทต่อครัวเรือนในปัจจุบัน ลดลง -2.1%
แนวโน้มของหนี้แต่ละประเภทในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าการเพิ่มขึ้นของหนี้ภาคครัวเรือนถูกขับเคลื่อนโดยหนี้เพื่อการบริโภคและหนี้เพื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลัก ไม่ใช่หนี้เพื่อการทำธุรกิจ
ครัวเรือนไทยเก็บออมลดลงมีความเปราะบางทางการเงินมากขึ้น
อัตราการออมจากสัดส่วนเงินออมต่อรายได้ครัวเรือนในช่วงครึ่งปีแรก 2562 อยู่ที่ 6.4% เป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2552 อัตราการออมของครัวเรือนไทยเคยสูงสุดอยู่ที่ 11.0% เมื่อปี 2554
41.3% ครัวเรือนไทยไม่มีการเก็บออมในช่วงครึ่งแรกปี 2562 และเมื่อพิจารณาแยกเฉพาะครัวเรือนที่มีหนี้ พบว่ามีสัดส่วนสูงถึง 59.2% ของครัวเรือนที่มีหนี้ ที่ไม่มีเงินออม
กันชนทางการเงินของครัวเรือนไทยมีน้อย มีความเปราะบางางการเงินมากขึ้นในการเผชิญปัจจัยลบทางเศรษฐกิจ เช่น การขาดรายได้ การตกงาน ความเสี่ยงดังกล่าวเพิ่มขึ้น ครัวเรือนไทยเกินครึ่งมีสินทรัพย์ทางการเงินครอบคลุมรายจ่ายได้ไม่เกิน 3 เดือน
เงินช่วยเหลือจากภาครัฐมีบทบาทเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ครัวเรือนรายได้น้อยมีการพึ่งพาเงินช่วยเหลือจากภาครัฐเพิ่มขึ้นตลอด รายได้ครัวเรือนมีส่วนหนึ่งที่มาจากการช่วยเหลือของภาครัฐ เช่น เงินโอน เงินสงเคราะห์ผู้สูงอายุและผู้พิการ กลุ่มครัวเรือนที่ได้เงินส่วนนี้มากที่สุดคือกลุ่มรายได้น้อยกว่า 1 หมื่นบาทต่อเดือน (19.9% ของจำนวนครัวเรือนทั้งหมด) เงินช่วยเหลือของภาครัฐปี 2562 อยู่ที่ 813 บาทต่อเดือน เป็นสัดส่วน 11.6% ต่อรายได้ทั้งหมด
กลุ่มครัวเรือนรายได้น้อยมีความเปราะบางในหลายมิติ
ภาระหนี้สูงกว่ารายได้ กลุ่มที่มีรายได้น้อยกว่า 1 หมื่นบาทต่อเดือนเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนหนี้ต่อรายได้เพิ่มเร็วที่สุดเมื่อเทียบกับ 3 กลุ่มรายได้ (กลุ่มรายได้ 1-3 หมื่น, รายได้ 3-5 หมื่น และมากกว่า 5 หมื่นบาท)
รายจ่ายเพื่อการชำระหนี้ต่อเดือนสูง กลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้น้อยกว่า 1 หมื่นบาทต่อเดือน มีรายได้เพื่อการชำระหนี้ต่อเดือน (DSR: debt service ratio) เพิ่มจาก 29.5% ในปี 2552 เป็น 40.0%
กันชนทางการเงินมีไม่มาก สินทรัพย์ทางการเงินเทียบกับรายจ่ายต่อเดือนเฉลี่ยอยู่ที่ 4.3 เท่า
EIC มองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจของภาคครัวเรือนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาอยู่ในภาวะซบเซา สะท้อนจากรายได้และรายจ่ายที่ลดลง สวนทางกับทิศทาง GDP ของประเทศที่เติบโตต่อเนื่อง ไม่มีการเก็บออม มีสินทรัพย์ทางการเงินไม่พอรายจ่ายเกิน 3 เดือน มาตรการช่วยเหลือจากรัฐระยะสั้นยังมีความจำเป็นในการประคับระคองการใช้จ่ายและการชำระหนี้โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อยที่มีความเปราะบางมากที่สุด
ที่มา – Economic Intelligence Center
JJNY : 5in1 7พรรคลงนามแก้รธน./เสรีพิศุทธ์ประเคนคดี3พปชร./ศก.เปราะบางทางการเงิน/กระเช้าปีใหม่ฝ่าพายุศก./ทวงหนี้อู้ฟู่
https://www.innnews.co.th/politics/news_554398/
เสรีพิศุทธ์ ประเคนคดีตรวจสอบ 3 ส.ส.พปชร.ป่วน กมธ.ปราบโกง
https://www.komchadluek.net/news/breaking-news/404560
เสรีพิศุทธ์ เอาคืน 3 ส.ส. พปชร. ป่วน กมธ.ปราบโกง ประเคนคดีตรวจสอบ จ่อสอบต่อปมถวายสัตย์ ลั่น ส่งศาลรัฐธรรมนูญ มกราคม 2563
รัฐสภา 14 ธันวาคม 2562 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย ฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวภายในงานเสวนาพรรคการเมืองฝ่ายค้านร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถึงการทำงานใน กมธ.ฯ ว่า
ตอนนี้การทำงานของ กมธ. มีความสงบ หลังจากที่คนของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) คือ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส. ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ และนายสิระ เจนจาคะ ส.ส. กทม. พรรคพลังประชารัฐ โดนตนประเคนคดีให้ตรวจสอบคนละ 2 คดี โดย น.ส.ปารีณา เป็นกรณีการแจ้งบัญชีทรัพย์สิน และการรุกที่ป่า , นายสิระ กรณีลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต และการข่มขู่ข้าราชการในพื้นที่ ขณะที่ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ที่จะเข้ามาใหม่ โดน 1 คดี เพราะก่อนเข้าทำงานหมิ่นประมาทตน การทำงานที่ผ่านมา พวกนี้พยายามขัดขวางและข่มขู่การทำงาน
อย่างไรก็ตาม กรณีการถวายสัตย์ปฏิญาณตนไม่ครบถ้วนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กมธ.ฯ เตรียมสอบต่อ โดยในวันที่ 18 ธันวาคม จะเชิญ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ ชี้แจง ต่อจากนั้นจะเชิญ นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการ ครม. จากนั้นเป็น นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา และเมื่อตรวจสอบแล้วจะส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ (ศร.) ภายในเดือนมกราคม 2563
เศรษฐกิจไทยตอนนี้! รายได้และรายจ่ายลดลง เป็นหนี้มากขึ้น การออมลด เปราะบางทางการเงินมากขึ้น
https://brandinside.asia/thailand-economic-slowdown-low-income-and-expenditure-high-debt-and-low-saving/
EIC แห่งธนาคารไทยพาณิชย์ชี้ เศรษฐกิจภาคครัวเรือนไทยตอนนี้อยู่ในสภาวะซบเซา ทั้งรายได้และการใช้จ่ายลดลงครั้งแรกในรอบ 10 ปี สถานะทางการเงินของครัวเรือนเปราะบางมากขึ้น หนี้เพิ่มขึ้น การออมลดลง ความช่วยเหลือจากภาครัฐมีบทบาทมากขึ้นสำหรับครัวเรือนที่มีความสามารถในการหารายได้อ่อนแอและเปราะบางสูง
ข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของภาคครัวเรือนไทย จัดทำด้วยการสำรวจครัวเรือนจำนวนกว่า 4 หมื่นครัวเรือนทุกๆ 2 ปีโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ จากนั้น EIC นำข้อมูลล่าสุดช่วงครึ่งแรกของปี 2562 วิเคราะห์เทียบกับข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี พบว่ามี 5 ข้อค้นพบสะท้อนภาวะเศรษฐกิจครัวเรือนไทยในปัจจุบัน ดังนี้
รายได้เฉลี่ยครัวเรือนไทยลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีสวนทาง GDP ที่ยังเติบโต
ครัวเรือนไทยมีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 26,371 บาทต่อเดือน ต่อครัวเรือน ลดลง -2.1% จากปี 2560 ที่ 26,946 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีเนื่องจากรายได้ครัวเรือนมีการเพิ่มขึ้นตลอด
รายได้ครัวเรือนลดลงทั้งในส่วนของลูกจ้างและการประกอบธุรกิจ รายได้จากครัวเรือนจาก 22,237 บาทต่อครัวเรือนในปี 2560 เหลือ 21,879 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ลดลง -1.6% รายได้ลดลงน่าจะมาจาก คนทำงานและจำนวนทำงานต่อชั่วโมงเฉลี่ยต่อคนลดลง
รวมถึงอัตราค่าจ้างที่ชะลอลง ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยเชิงวัฏจักร (ลดการใช้แรงงานตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การเกษียณอายุของประชากร การนำเทคโนโลโยทีทดแทนแรงงาน)
รายได้ครัวเรือนจากกำไรกิจการลดลงทั้งในและนอกภาคเกษตร กิจการเกษตรเฉลี่ยอยู่ที่ 7,048 บาทต่อครัวเรือน ลดลง -4.8% ส่วนรายได้ครัวเรือนนอกภาคเกษตรปี 2562 อยู่ที่ 19,269 ลดลงจาก 18,685 บาท ในปี 2560 ลดลง -3.0% ตามสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากบริษัทขนาดใหญ่
รายได้ครัวเรือนประเภทอื่นๆ ค่อนข้างทรงตัว รายได้ที่มาจากดอกเบี้ยจากการลงทุน ดอกเบี้ยเงินออม เงินโอนจากภาครัฐและผู้อื่น ปี 2562 อยู่ที่ 7,806 บาทไม่เปลี่ยนแปลงจากปี 2560
การใช้จ่ายเฉลี่ยครัวเรือนลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี
ครัวเรือนไทยลดการใช้จ่ายลง ครึ่งแรกปี 2562 ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 21,236 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน ลดลง -0.9% จาก 21,437 บาทต่อครัวเรือนในปี 2560 อาจลดลงเพราะกังวลเรื่องความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจรวมถึงภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ครัวเรือนไทยลดการใช้จ่ายในหลายหมวด โดยเฉพาะรายจ่ายสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น รายจ่ายด้านเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ ความบันเทิง การท่องเที่ยว สะท้อนว่าครัวเรือนไทยเลือกที่จะประหยัดค่าใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยในภาวะที่รายได้ไม่เติบโต ขณะที่รายจ่ายด้านการสื่อสารเป็นรายจ่ายประเภทเดียวที่ครัวเรือนไม่เคยมีการลดการใช้จ่ายลงในตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือของผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ครัวเรือนไทยเป็นหนี้มากขึ้น ภาระหนี้ต่อรายได้แตะระดับสูงสุด
ครัวเรือนไทยก่อหนี้เพิ่มขึ้น (ครัวเรือนที่มีหนี้ 46.3% ของครัวเรือนทั้งหมด) หนี้เฉลี่ยต่อครัวเรือนเพิ่มขึ้นจาก 353,210 บาทต่อครัวเรือน มาอยู่ที่ 362,373 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้น 2.6%
สัดส่วนหนี้ต่อรายได้ เพิ่มขึ้นจาก 96.1% เป็น 97.7% เป็นระดับสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
หนี้บ้าน-บริโภค-การเกษตรเพิ่ม หนี้ธุรกิจลด
หนี้บ้านเพิ่ม การก่อหนี้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยของครัวเรือนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 128,287 บาทต่อครัวเรือนในปี 2560 อยู่ที่ 135,312 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้น 5.5% ส่งผลให้สัดส่วนหนี้ที่อยู่อาศัยต่อหนี้ครัวเรือนทั้งหมดเพิ่มขึ้นจาก 36.3% เป็น 37.3%
หนี้เพื่อการบริโภคเพิ่ม (รวมหนี้รถยนต์ด้วย) ซึ่งเป็นหนี้ที่มีสัดส่วนสูงสุดของครัวเรือน เพิ่มจาก 137,678 บาทต่อครัวเรือนในปี 2560 อยู่ที่ 139,904 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้น 1.0% สำหรับหนี้เพื่อการบริโภค
การก่อหนี้เพื่อทำธุรกิจการเกษตรยังคงเพิ่มขึ้น จาก 49,273 บาทต่อครัวเรือนปี 2560 มาอยู่ที่ 51,547 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้น 4.7% กำไรจากการเกษตรลดลง น่าจะมาจากการก่อหนี้เพื่อประคับประคองธุรกิจ ขณะที่การก่อหนี้เพื่อทำธุรกิจนอกภาคเกษตรลดลง จาก 30,120 ในปี 2560 ลดลงมาอยู่ที่ 29,478 บาทต่อครัวเรือนในปัจจุบัน ลดลง -2.1%
แนวโน้มของหนี้แต่ละประเภทในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าการเพิ่มขึ้นของหนี้ภาคครัวเรือนถูกขับเคลื่อนโดยหนี้เพื่อการบริโภคและหนี้เพื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลัก ไม่ใช่หนี้เพื่อการทำธุรกิจ
ครัวเรือนไทยเก็บออมลดลงมีความเปราะบางทางการเงินมากขึ้น
อัตราการออมจากสัดส่วนเงินออมต่อรายได้ครัวเรือนในช่วงครึ่งปีแรก 2562 อยู่ที่ 6.4% เป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2552 อัตราการออมของครัวเรือนไทยเคยสูงสุดอยู่ที่ 11.0% เมื่อปี 2554
41.3% ครัวเรือนไทยไม่มีการเก็บออมในช่วงครึ่งแรกปี 2562 และเมื่อพิจารณาแยกเฉพาะครัวเรือนที่มีหนี้ พบว่ามีสัดส่วนสูงถึง 59.2% ของครัวเรือนที่มีหนี้ ที่ไม่มีเงินออม
กันชนทางการเงินของครัวเรือนไทยมีน้อย มีความเปราะบางางการเงินมากขึ้นในการเผชิญปัจจัยลบทางเศรษฐกิจ เช่น การขาดรายได้ การตกงาน ความเสี่ยงดังกล่าวเพิ่มขึ้น ครัวเรือนไทยเกินครึ่งมีสินทรัพย์ทางการเงินครอบคลุมรายจ่ายได้ไม่เกิน 3 เดือน
เงินช่วยเหลือจากภาครัฐมีบทบาทเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ครัวเรือนรายได้น้อยมีการพึ่งพาเงินช่วยเหลือจากภาครัฐเพิ่มขึ้นตลอด รายได้ครัวเรือนมีส่วนหนึ่งที่มาจากการช่วยเหลือของภาครัฐ เช่น เงินโอน เงินสงเคราะห์ผู้สูงอายุและผู้พิการ กลุ่มครัวเรือนที่ได้เงินส่วนนี้มากที่สุดคือกลุ่มรายได้น้อยกว่า 1 หมื่นบาทต่อเดือน (19.9% ของจำนวนครัวเรือนทั้งหมด) เงินช่วยเหลือของภาครัฐปี 2562 อยู่ที่ 813 บาทต่อเดือน เป็นสัดส่วน 11.6% ต่อรายได้ทั้งหมด
กลุ่มครัวเรือนรายได้น้อยมีความเปราะบางในหลายมิติ
ภาระหนี้สูงกว่ารายได้ กลุ่มที่มีรายได้น้อยกว่า 1 หมื่นบาทต่อเดือนเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนหนี้ต่อรายได้เพิ่มเร็วที่สุดเมื่อเทียบกับ 3 กลุ่มรายได้ (กลุ่มรายได้ 1-3 หมื่น, รายได้ 3-5 หมื่น และมากกว่า 5 หมื่นบาท)
รายจ่ายเพื่อการชำระหนี้ต่อเดือนสูง กลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้น้อยกว่า 1 หมื่นบาทต่อเดือน มีรายได้เพื่อการชำระหนี้ต่อเดือน (DSR: debt service ratio) เพิ่มจาก 29.5% ในปี 2552 เป็น 40.0%
กันชนทางการเงินมีไม่มาก สินทรัพย์ทางการเงินเทียบกับรายจ่ายต่อเดือนเฉลี่ยอยู่ที่ 4.3 เท่า
EIC มองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจของภาคครัวเรือนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาอยู่ในภาวะซบเซา สะท้อนจากรายได้และรายจ่ายที่ลดลง สวนทางกับทิศทาง GDP ของประเทศที่เติบโตต่อเนื่อง ไม่มีการเก็บออม มีสินทรัพย์ทางการเงินไม่พอรายจ่ายเกิน 3 เดือน มาตรการช่วยเหลือจากรัฐระยะสั้นยังมีความจำเป็นในการประคับระคองการใช้จ่ายและการชำระหนี้โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อยที่มีความเปราะบางมากที่สุด
ที่มา – Economic Intelligence Center