โยชิเอะ ชิราโทริ ตำนานจอมแหกคุกแห่งญี่ปุ่น

โยชิเอะ ชิราโทริ (Yoshie Shiratori, 白鳥 由栄) เป็นชื่อที่กลายเป็นตำนานในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ด้วยความสามารถอันน่าทึ่งในการหลบหนีออกจากเรือนจำถึง 4 ครั้ง จากเรือนจำที่แตกต่างกัน 4 แห่ง ระหว่างปี ค.ศ. 1936-1947 (พ.ศ. 2479-2490) เขาได้รับฉายาว่า "ชายผู้ไม่มีคุกใดกักขังได้" และ "ราชาแห่งการแหกคุกในยุคโชวะ" การแหกคุกของชิราโทริไม่เพียงแต่แสดงถึงความเฉลียวฉลาดและความยืดหยุ่นของร่างกาย แต่ยังสะท้อนถึงความไม่ยอมจำนนต่อระบบเรือนจำที่โหดร้ายและไม่เป็นธรรมในยุคนั้น



โยชิเอะ ชิราโทริ เกิดเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 1907 ที่จังหวัดอาโอโมริ ประเทศญี่ปุ่น ในครอบครัวที่ยากจน พ่อของเขาเสียชีวิตเมื่อเขาอายุเพียง 2 ปี และแม่ของเขาทิ้งเขาไปตั้งแต่ยังเด็ก ชิราโทริเติบโตขึ้นด้วยการทำงานหนัก เช่น เป็นพนักงานในร้านเต้าหู้ และต่อมาเป็นชาวประมงจับปูในรัสเซีย หลังจากเปลี่ยนงานหลายครั้งและประสบความล้มเหลว เขาหันไปพึ่งการพนันและการโจรกรรมเพื่อหาเลี้ยงชีพ ในปี ค.ศ. 1933 เขาและเพื่อนร่วมก่อเหตุปล้นบ้านในอาโอโมริ ซึ่งนำไปสู่การฆาตกรรมเจ้าของบ้านโดยไม่ได้ตั้งใจ ชิราโทริถูกจับในปี ค.ศ. 1935 และถูกตัดสินจำคุกในเรือนจำอาโอโมริในปี ค.ศ. 1936 ด้วยข้อหาฆาตกรรมและโจรกรรม

ชิราโทริอ้างว่าเขาได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมในเรือนจำ โดยผู้คุมมักใช้ความรุนแรงและปฏิบัติต่อนักโทษราวกับไม่ใช่มนุษย์ ความโกรธต่อระบบที่กดขี่นี้กลายเป็นแรงผลักดันให้เขาตัดสินใจหลบหนี

การแหกคุกครั้งที่ 1: เรือนจำอาโอโมริ (ค.ศ. 1936)
การแหกคุกครั้งแรกของชิราโทริเกิดขึ้นที่เรือนจำอาโอโมริ หลังจากถูกขังอยู่นาน 3 ปี เขาศึกษากิจวัตรของผู้คุมอย่างละเอียดและค้นพบช่องว่าง 15 นาทีระหว่างการเปลี่ยนเวร เขาใช้ลวดที่พบในถังไม้สำหรับอาบน้ำเพื่อปลดล็อกกุญแจมือและประตูห้องขัง จากนั้นเขาหนีออกไปผ่านช่องระบายอากาศที่ชำรุดในห้องน้ำ การหลบหนีครั้งนี้สำเร็จในวันที่ 11 มิถุนายน ค.ศ. 1936 แต่ความอิสระของเขากินเวลาเพียง 3 วัน เมื่อเขาถูกจับกุมตัวได้ขณะขโมยของในโรงพยาบาล ศาลตัดสินให้เขาได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิตในข้อหาหลบหนีและลักทรัพย์

การแหกคุกครั้งที่ 2: เรือนจำอากิตะ (ค.ศ. 1942)
หลังจากการจับกุม ชิราโทริถูกย้ายไปยังเรือนจำอากิตะ ซึ่งออกแบบมาเพื่อป้องกันการหลบหนีโดยเฉพาะ ด้วยกำแพงทองแดงเรียบลื่นและเพดานสูง 3 เมตร เขาถูกขังในห้องขังพิเศษที่เย็นเยียบและถูกปฏิบัติอย่างโหดร้าย ตลอด 24 ชั่วโมง เขาต้องสวมกุญแจมือและกุญแจเท้า อย่างไรก็ตาม ชิราโทริใช้เวลาหลายคืนฝึกปีนกำแพงในห้องขังเพื่อเข้าถึงช่องระบายอากาศ เขาค้นพบว่าไม้ที่ยึดหน้าต่างเริ่มผุพัง จึงค่อยๆ แกะออกอย่างระมัดระวัง ในคืนที่มีพายุฝนฟ้าคะนองเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 1942 เขาปีนกำแพงและหลบหนีผ่านช่องระบายอากาศ โดยใช้เสียงพายุกลบเสียงฝีเท้าบนหลังคา

หลังจากการหลบหนี เขาตัดสินใจไปขอความช่วยเหลือจากผู้คุมคนหนึ่งจากเรือนจำอาโอโมริที่เคยแสดงความเมตตาต่อเขา แต่ผู้คุมนายนั้นกลับแจ้งตำรวจ ทำให้ชิราโทริถูกจับกุมอีกครั้งในอีกสามเดือนต่อมา การกระทำนี้สอนบทเรียนอันโหดร้ายแก่เขา: "อย่าไว้ใจตำรวจ"

งานศิลปะที่พิพิธภัณฑ์เรือนจำอาบาชิริ แสดงภาพโยชิเอะ ชิราโทริกำลังหลบหนีโดยสวมเพียงชุดชั้นใน



การแหกคุกครั้งที่ 3: เรือนจำอาบาชิริ (ค.ศ. 1944)
ชิราโทริถูกย้ายไปยังเรือนจำอาบาชิริในฮอกไกโดตอนเหนือ ซึ่งเป็นเรือนจำที่มีความปลอดภัยสูงสุดและสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายที่สุดในญี่ปุ่น เขาถูกขังในห้องขังพิเศษที่เรียกว่า "ห้องขังป้องกันชิราโทริ" ซึ่งทำจากเหล็กกล้าป้องกันสนิม และถูกสวมกุญแจมือที่ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านโลหะมาเปิดสัปดาห์ละครั้งเพื่อให้เขาอาบน้ำ ในฤดูหนาว เขาต้องทนกับความหนาวเย็นจัดในห้องขังที่เปิดโล่งและถูกลดปริมาณอาหารลงครึ่งหนึ่ง

ชิราโทริใช้ความเฉลียวฉลาดของเขาในการหลบหนีครั้งนี้ เขาค้นพบว่าซุปมิโซะที่มีเกลือสูงสามารถกัดกร่อนโลหะได้ เขาใช้เวลา 8 เดือนค่อยๆ เทซุปมิโซะลงบนกุญแจมือและช่องส่งอาหารจนโลหะเริ่มผุกร่อน ในวันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 1944 เขาเคลื่อนไหวโดยใช้ประโยชน์จากไฟดับในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาหลุดพ้นจากกุญแจมือและบีบร่างกายที่ยืดหยุ่นของเขาผ่านช่องส่งอาหารขนาดเล็ก ซึ่งต้องอาศัยการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างน่าทึ่ง รวมถึงการทำให้ข้อต่อไหล่หลุดเพื่อให้ร่างกายเล็กลง เขาหลบหนีไปได้ในคืนนั้น

ห้องขังของชิราโทริ


การแหกคุกครั้งที่ 4: เรือนจำซัปโปโร (ค.ศ. 1947)
หลังจากหลบหนีจากอาบาชิริ ชิราโทริใช้ชีวิตหลบซ่อนอยู่ในเหมืองร้างในภูเขาฮอกไกโดเป็นเวลา 2 ปี แต่ในปี ค.ศ. 1946 เขาถูกจับกุมอีกครั้งหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่เขาแทงชาวนาคนหนึ่งจนเสียชีวิตเมื่อถูกจับได้ว่าขโมยมะเขือเทศ คราวนี้เขาถูกส่งไปยังเรือนจำซัปโปโร และเผชิญหน้ากับโทษประหารชีวิต ในห้องขังที่มีความปลอดภัยสูงสุด ชิราโทริใช้ชามข้าวโลหะขุดอุโมงค์ใต้พื้นห้องขังเป็นเวลาหลายเดือน เขาค่อยๆ ขุดดินออกและซ่อนไว้ในที่ต่างๆ เพื่อไม่ให้ผู้คุมสงสัย ในที่สุด เขาหลบหนีออกจากเรือนจำได้ในปี ค.ศ. 1947 การหลบหนีครั้งนี้ถือเป็นครั้งสุดท้ายของเขา

การยอมจำนนและชีวิตช่วงท้าย
หลังจากการแหกคุกครั้งที่ 4 ชิราโทริใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ในซัปโปโร จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1948 เขานั่งพักและบังเอิญพบกับตำรวจที่ไม่รู้จักตัวตนของเขา ตำรวจนายนั้นยื่นบุหรี่ให้เขาด้วยความเมตตา การกระทำเล็กๆ นี้ทำให้ชิราโทริ ซึ่งเหนื่อยล้าจากการหนีภัยและการถูกทารุณในเรือนจำมานานหลายปี ถึงกับร้องไห้และตัดสินใจมอบตัว เขาเปิดเผยตัวตนของตัวเองและยอมให้ตำรวจจับกุม ศาลพิจารณาคดีของเขาอย่างละเอียด และด้วยความเห็นอกเห็นใจจากสาธารณชน รวมถึงการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โทษประหารของเขาถูกยกเลิก และเปลี่ยนเป็นจำคุก 20 ปี เขาได้รับการปล่อยตัวในปี ค.ศ. 1961 หลังรับโ 14 ปี และใช้ชีวิตที่เหลืออย่างเงียบสงบจนเสียชีวิตจากอาการหัวใจวายในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1979 ขณะอายุ 71 ปี

หุ่นขี้ผึ้งของชิราโทริในเรือนจำอะบาชิริ


เรื่องราวของโยชิเอะ ชิราโทริกลายเป็นตำนานในญี่ปุ่น เขาไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของความเฉลียวฉลาดและความกล้า แต่ยังเป็นตัวแทนของการต่อสู้ต่อระบบที่ไม่เป็นธรรม ในพิพิธภัณฑ์เรือนจำอาบาชิริ มีอนุสาวรีย์และหุ่นจำลองที่แสดงถึงการหลบหนีของเขา ซึ่งกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลก เรื่องราวของเขายังถูกนำไปสร้างเป็นนิยาย *Hagoku* โดย อากิระ โยชิมูระ และเป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวละครโยชิทาเกะ ชิราอิชิ ในมังงะ Golden Kamuy โดย ซาโตรุ โนดะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่