มันอาจจะมีหลายประเด็นแต่รู้สึกว่านี่เป็นจุดที่ยังกังวลอยู่บ้างและไม่เข้าใจบ้าง จึงต้องการเหตุผลมาประกอบครับ
การทำสมาธิบางทีก็ไม่รู้ว่ามีใครคอยลงโทษเราหรือเปล่าในใจลึก ๆ เหมือนมีอะไรบางอย่างสอดส่องอยู่เสมอ ทั้ง ๆ ที่พุทธศาสนาเป็นอเทวนิยม แต่กลับมีเทพ มีผู้คอยควบคุมพฤติกรรม ซึ่งก็ย้อนแย้งอยู่พอสมควร
เรามองว่าจิตโฟกัสได้ทีละอย่างก็จริง แต่สิ่งอื่นไม่ได้หายไปหมด เหมือนเราเพ่งไฟฉายที่จุดหนึ่ง ส่วนรอบข้างยังเห็นอยู่แต่เบลอ ต่างจากคำอธิบายในทางพุทธที่บอกว่ารับรู้ได้ทีละอย่างแบบดับหมดจริง ๆ ซึ่งเราว่ามันไม่ตรงกับความรู้สึกจริง เราเลยกังวลว่าการเห็นต่างแบบนี้จะกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิรึเปล่า
เราก็อิงกาลามะสูตรนะ ไม่เชื่อทันที แต่พอพิสูจน์เองแล้วเจอจุดที่ไม่ตรง ก็กลัวจะโดนหาว่านอกคอก บางคนบอกพระไตรปิฎกถูกต้องหมดเลย แล้วจะเอากาลามะสูตรมาใช้ยังไงในเมื่อผลลัพธ์ไม่ตรง?
บางคำสอนก็บอกว่าเจอกันหรือลาจากกันเพราะกรรมเก่า แต่เราคิดว่า "กรรมในปัจจุบัน" ก็มีผลมากนะ ถ้าจะอิงแต่กรรมเก่า งั้นสิ่งที่เราทำตอนนี้ก็ไม่มีผลเลยรึเปล่า? เราเชื่อว่ากรรมใหม่ก็มีพลังของมัน
นี่คือคำถามที่ทำให้เราสับสนที่สุด: “สติในทางธรรมจะไม่เกิดพร้อมกับอกุศล” แต่ในชีวิตจริง เรารู้เลยว่าเรากำลังอยากได้ของ ฟังเพลงก็รู้ตัวว่ารู้สึกยังไง จิตไม่หลุดลอย ก็ยังมีสติอยู่ดี แต่เขากลับบอกว่านั่นไม่ใช่สติทางธรรม มันขัดแย้งกันแบบสุด ๆ เราเลยรู้สึกหมดแรง เพราะไม่เข้าใจว่าตกลงเรามีสติหรือไม่มี? เมื่อก่อนก็เป็นคนที่สามารถไม่ซึมไปกับอารมณ์ได้นะ ต่อให้วางแผนคิดชั่วอยู่(เคยทำนะ)ก็ยังสามารถที่จะเข้าใจภายในของตัวเองได้เหมือนเดิม | รู้สึกว่าสมาธิเสียไปเพราะความสับสน และอยากได้กลับคืนมาอย่างมากครับ
ศีลแบบละเอียด กับชีวิตจริง
ศีล 5 ดูเหมือนง่าย แต่ถ้าเอาแบบละเอียดสุด ๆ มันแทบจะทำไม่ได้เลย อย่างศีลข้อ 2 บางท่านบอกว่าติดสินบนคือขโมยความบริสุทธิ์ของคนอื่น ถ่ายรูปโดยไม่ขออนุญาต แม้ไม่ผิดลิขสิทธิ์ก็ยังผิดสิทธิส่วนบุคคล แบบนี้จะไม่ผิดศีลได้ยังไงกัน ต้องไล่ขอทุกคนเหรอ?
ความรู้ที่ได้มาด้วยการฆ่า
เป็นคนที่เรียนสายชีวะ ความรู้บางส่วนก็มาจากการฆ่าสิ่งมีชีวิต จะใช้มันต่อดีไหม? เปรียบเหมือนขโมยมือถือมา แล้วก็ยังใช้ต่อ แม้จะกลับใจแล้วก็ตาม มันก็ไม่บริสุทธิ์อยู่ดี
ศีลที่ถือได้บริสุทธิ์จริงมีอยู่ไหม?
คนที่ถือศีลได้บริสุทธิ์จริง ๆ เขาทำยังไง? โดยเฉพาะในยุคนี้ที่อะไร ๆ ก็ซับซ้อน ศีลละเอียดขนาดนี้ไม่ใช่แค่มีเจตนาเท่านั้น แต่ต้องบริหารกาย วาจา ใจ อย่างสุด ๆ ซึ่งมันยากจริง ๆ
อยากบวช แต่กลัว…
เราอยากบวชเพื่อหาความสงบบ้าง แต่ก็กลัวว่าความรู้ที่เรียนมาจะหายไป เพราะอยากบวชแบบพักทางโลกไว้ก่อนจริง ๆ คงไม่ได้มาทบทวนสิ่งที่เรียนมาหรอก อาจจะลืมก็เป็นได้ อีกอย่างก็ยังรักสวยรักงาม กลัวร่างกายโทรมด้วยเหมือนกัน และเป็นคนที่ใช้สกินแคร์ค่อนข้างเยอะอยู่ทีเดียว เพราะก็ยังไม่ได้ละสักกายาทิฏฐิ
กำลังศึกษาอยู่ครับ แต่เนื้อหาที่เรียนบางส่วนมีความขัดกับคำสอนในพระพุทธศาสนา เช่น เรื่องวิวัฒนาการของมนุษย์ที่ชี้ว่ามนุษย์วิวัฒนาการมาจากลิงหรือสิ่งมีชีวิตอื่น ซึ่งบางคนเมื่อเรียนรู้แล้วก็หันไปเชื่อในธรรมชาติเพียงอย่างเดียวและไม่เอาศาสนาเลย จึงสงสัยว่าการศึกษาเรื่องแบบนี้จะถือเป็นโทษไหม? แล้วผู้ที่สอนหรือเผยแพร่จะมีโทษด้วยหรือไม่ครับ? เพราะกลัวว่าความรู้ที่เรียนไปจะกลายเป็นเหตุให้บางคนหลงผิด.
กลัวว่าหากลงมือสร้างสรรค์ผลงานที่ส่งผลต่อคนในวงกว้างไปแล้ว มันจะกลายเป็นกรรมที่ฝังเอาไว้โดยที่ไม่สามารถที่จะกู้คืนได้ แล้วเราจะได้รับผลต่อเรื่อย ๆ เปรียบเสมือนการวางกับดักเอาไว้ แล้วไม่นำออก แม้ปัจจุบันเราจะไม่ได้ตั้งใจวางกับดักนั้นไว้เพื่ทำร้ายใคร แต่กับดักนั้นมันก็อาจจะส่งผลให้ใครสักคนโดนเข้าในสักวัน แล้วเราอาจจะผิดไปด้วย แล้วยิ่งในยุคปัจจุบันยิ่งเสี่ยงมากขึ้น เพราะไม่ว่าจะผลงานอะไรก็ล้วนแล้วแต่สนองกิเลสหรือความต้องการของคนเรามากขึ้นเท่านั้น เช่น ประดิษฐ์นวัตกรรมขึ้นมา ก็กลายเป็นเพื่อสนองกิเลสของมนุษย์ตามเคย
ขอบคุณที่อ่านมาจนถึง ณ จุดนี้ครับ จึงต้องการเหตุผลมารองรับในแต่ละข้อสงสัย และอยากทำความเข้าใจเกี่ยวกับแต่ละประเด็น จึงอยากมาถามผู้ที่รู้ครับ หากผิดพลาดประการขออภัยด้วยนะครับ และขอบคุณครับ
อยากจะทราบเหตุผลของข้อข้องใจจากการปฏิบัติธรรมหลายเรื่อง อยากเข้าใจให้ชัดเจนก่อนเดินต่อ
การทำสมาธิบางทีก็ไม่รู้ว่ามีใครคอยลงโทษเราหรือเปล่าในใจลึก ๆ เหมือนมีอะไรบางอย่างสอดส่องอยู่เสมอ ทั้ง ๆ ที่พุทธศาสนาเป็นอเทวนิยม แต่กลับมีเทพ มีผู้คอยควบคุมพฤติกรรม ซึ่งก็ย้อนแย้งอยู่พอสมควร
เรามองว่าจิตโฟกัสได้ทีละอย่างก็จริง แต่สิ่งอื่นไม่ได้หายไปหมด เหมือนเราเพ่งไฟฉายที่จุดหนึ่ง ส่วนรอบข้างยังเห็นอยู่แต่เบลอ ต่างจากคำอธิบายในทางพุทธที่บอกว่ารับรู้ได้ทีละอย่างแบบดับหมดจริง ๆ ซึ่งเราว่ามันไม่ตรงกับความรู้สึกจริง เราเลยกังวลว่าการเห็นต่างแบบนี้จะกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิรึเปล่า
เราก็อิงกาลามะสูตรนะ ไม่เชื่อทันที แต่พอพิสูจน์เองแล้วเจอจุดที่ไม่ตรง ก็กลัวจะโดนหาว่านอกคอก บางคนบอกพระไตรปิฎกถูกต้องหมดเลย แล้วจะเอากาลามะสูตรมาใช้ยังไงในเมื่อผลลัพธ์ไม่ตรง?
บางคำสอนก็บอกว่าเจอกันหรือลาจากกันเพราะกรรมเก่า แต่เราคิดว่า "กรรมในปัจจุบัน" ก็มีผลมากนะ ถ้าจะอิงแต่กรรมเก่า งั้นสิ่งที่เราทำตอนนี้ก็ไม่มีผลเลยรึเปล่า? เราเชื่อว่ากรรมใหม่ก็มีพลังของมัน
นี่คือคำถามที่ทำให้เราสับสนที่สุด: “สติในทางธรรมจะไม่เกิดพร้อมกับอกุศล” แต่ในชีวิตจริง เรารู้เลยว่าเรากำลังอยากได้ของ ฟังเพลงก็รู้ตัวว่ารู้สึกยังไง จิตไม่หลุดลอย ก็ยังมีสติอยู่ดี แต่เขากลับบอกว่านั่นไม่ใช่สติทางธรรม มันขัดแย้งกันแบบสุด ๆ เราเลยรู้สึกหมดแรง เพราะไม่เข้าใจว่าตกลงเรามีสติหรือไม่มี? เมื่อก่อนก็เป็นคนที่สามารถไม่ซึมไปกับอารมณ์ได้นะ ต่อให้วางแผนคิดชั่วอยู่(เคยทำนะ)ก็ยังสามารถที่จะเข้าใจภายในของตัวเองได้เหมือนเดิม | รู้สึกว่าสมาธิเสียไปเพราะความสับสน และอยากได้กลับคืนมาอย่างมากครับ
ศีลแบบละเอียด กับชีวิตจริง
ศีล 5 ดูเหมือนง่าย แต่ถ้าเอาแบบละเอียดสุด ๆ มันแทบจะทำไม่ได้เลย อย่างศีลข้อ 2 บางท่านบอกว่าติดสินบนคือขโมยความบริสุทธิ์ของคนอื่น ถ่ายรูปโดยไม่ขออนุญาต แม้ไม่ผิดลิขสิทธิ์ก็ยังผิดสิทธิส่วนบุคคล แบบนี้จะไม่ผิดศีลได้ยังไงกัน ต้องไล่ขอทุกคนเหรอ?
ความรู้ที่ได้มาด้วยการฆ่า
เป็นคนที่เรียนสายชีวะ ความรู้บางส่วนก็มาจากการฆ่าสิ่งมีชีวิต จะใช้มันต่อดีไหม? เปรียบเหมือนขโมยมือถือมา แล้วก็ยังใช้ต่อ แม้จะกลับใจแล้วก็ตาม มันก็ไม่บริสุทธิ์อยู่ดี
ศีลที่ถือได้บริสุทธิ์จริงมีอยู่ไหม?
คนที่ถือศีลได้บริสุทธิ์จริง ๆ เขาทำยังไง? โดยเฉพาะในยุคนี้ที่อะไร ๆ ก็ซับซ้อน ศีลละเอียดขนาดนี้ไม่ใช่แค่มีเจตนาเท่านั้น แต่ต้องบริหารกาย วาจา ใจ อย่างสุด ๆ ซึ่งมันยากจริง ๆ
อยากบวช แต่กลัว…
เราอยากบวชเพื่อหาความสงบบ้าง แต่ก็กลัวว่าความรู้ที่เรียนมาจะหายไป เพราะอยากบวชแบบพักทางโลกไว้ก่อนจริง ๆ คงไม่ได้มาทบทวนสิ่งที่เรียนมาหรอก อาจจะลืมก็เป็นได้ อีกอย่างก็ยังรักสวยรักงาม กลัวร่างกายโทรมด้วยเหมือนกัน และเป็นคนที่ใช้สกินแคร์ค่อนข้างเยอะอยู่ทีเดียว เพราะก็ยังไม่ได้ละสักกายาทิฏฐิ
กำลังศึกษาอยู่ครับ แต่เนื้อหาที่เรียนบางส่วนมีความขัดกับคำสอนในพระพุทธศาสนา เช่น เรื่องวิวัฒนาการของมนุษย์ที่ชี้ว่ามนุษย์วิวัฒนาการมาจากลิงหรือสิ่งมีชีวิตอื่น ซึ่งบางคนเมื่อเรียนรู้แล้วก็หันไปเชื่อในธรรมชาติเพียงอย่างเดียวและไม่เอาศาสนาเลย จึงสงสัยว่าการศึกษาเรื่องแบบนี้จะถือเป็นโทษไหม? แล้วผู้ที่สอนหรือเผยแพร่จะมีโทษด้วยหรือไม่ครับ? เพราะกลัวว่าความรู้ที่เรียนไปจะกลายเป็นเหตุให้บางคนหลงผิด.
กลัวว่าหากลงมือสร้างสรรค์ผลงานที่ส่งผลต่อคนในวงกว้างไปแล้ว มันจะกลายเป็นกรรมที่ฝังเอาไว้โดยที่ไม่สามารถที่จะกู้คืนได้ แล้วเราจะได้รับผลต่อเรื่อย ๆ เปรียบเสมือนการวางกับดักเอาไว้ แล้วไม่นำออก แม้ปัจจุบันเราจะไม่ได้ตั้งใจวางกับดักนั้นไว้เพื่ทำร้ายใคร แต่กับดักนั้นมันก็อาจจะส่งผลให้ใครสักคนโดนเข้าในสักวัน แล้วเราอาจจะผิดไปด้วย แล้วยิ่งในยุคปัจจุบันยิ่งเสี่ยงมากขึ้น เพราะไม่ว่าจะผลงานอะไรก็ล้วนแล้วแต่สนองกิเลสหรือความต้องการของคนเรามากขึ้นเท่านั้น เช่น ประดิษฐ์นวัตกรรมขึ้นมา ก็กลายเป็นเพื่อสนองกิเลสของมนุษย์ตามเคย
ขอบคุณที่อ่านมาจนถึง ณ จุดนี้ครับ จึงต้องการเหตุผลมารองรับในแต่ละข้อสงสัย และอยากทำความเข้าใจเกี่ยวกับแต่ละประเด็น จึงอยากมาถามผู้ที่รู้ครับ หากผิดพลาดประการขออภัยด้วยนะครับ และขอบคุณครับ