ประโยคที่ตรงความหมายและตรงตัวที่สุดคือ 📌 “Don’t make me repeat myself.“ (ไม่ต้องถึงขั้น Don’t make me repeat “what I said” ครับ ใช้คำว่า myself ไปได้เลย) พูดแบบนี้ native speaker ก็เข้าใจแล้ว และอีกประโยคที่ได้ใช้บ่อยไม่แพ้กันเลยคือ 📌 “You heard me.” ถ้าแปลตรงตัวก็คือ คุณได้ยินฉันแล้ว แต่ความหมายคือเขากำลังบอกว่า “อย่าให้ต้องพูดซ้ำ” นั่นเอง
ประโยคอื่น ๆ ที่ใช้ได้เหมือนกัน เช่น...
✅ “I shouldn’t have to say this twice.”
(ฉันไม่ควรต้องพูดรอบที่สอง)
✅ “We’ve been through this."
(เราคุยกันเรื่องนี้แล้ว)
✅ “You’ve been warned.”
(ถือว่าเตือนแล้วนะ)
✅ “That’s the last time I’m saying it.”
(นั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันพูดเรื่องนี้)
แต่ละประโยคอาจจะมีนัยที่แตกต่างกันนิดหน่อย ประโยคแรกคือผู้พูดเริ่มรำคาญที่ต้องพูดเรื่องเดิม ประโยคที่สองเป็นการย้ำกับอีกฝ่ายว่าเรื่องนี้เราควรจะเข้าใจตรงกันแล้ว ประโยคที่สามเป็นการเตือนว่าอย่าให้ต้องพูดอีกรอบ (เหมือนที่ในภาษาไทยเราบอกว่า "เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน") และประโยคสุดท้ายเป็นการบอกตรง ๆ เลยว่าเราพอแล้วนะ จะไม่พูดอีก
บางทีในภาษาอังกฤษอาจจะมาเป็นประโยคคำถาม (rhetorical question / คำถามที่ไม่ได้พูดให้ใครมาตอบ แต่พูดให้คิด) ประมาณว่า...
👉🏻 “Am I talking to myself here?”
👉🏻 “How many times do I have to say this?”
👉🏻 “Did I stutter?” / “Why am I saying this again?”
ล้วนแล้วแต่เป็นการบอกอีกฝ่ายว่าเขาควรจะเข้าใจสิ่งที่เราพูดได้แล้ว (เพราะเคยบอกไปแล้ว) โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่แสดงอออกว่าผู้พูดเริ่มไม่สบอารมณ์ที่ต้องพูดอะไรซ้ำซาก (To stutter = พูดติดอ่าง / Did I stutter? นี่ฉันพูดติดอ่างเหรอ = เป็นการประชดแบบคนอังกฤษครับ คือเป็นการบอกทางอ้อมว่า “I’ve already made myself clear.” หรือ “ฉันว่าฉันพูด(ให้เข้าใจ)ชัดเจนแล้วนะ”)
บางทีฝรั่งเขาพูดอะไรบอกมา แล้วอีกฝ่ายยังยืนงง ๆ เอ๋อ ๆ อยู่ เขาอาจจะย้ำไปอีกทีว่า 📌 “That wasn’t a suggestion.” (นั่นไม่ใช่คำแนะนำ) หมายความว่ามันเป็นคำสั่งครับ ให้เรารีบทำตามเลย 😭 (บางคนแปลตรงตัวแล้วก็ไปคิดว่า ‘เออไม่ใช่คำแนะนำ ไม่ต้องทำตามก็ได้ใช่ไหม?’ ไม่ใช่นะครับ ฮ่า ๆ)
สุดท้าย (จะขาดประโยคที่ผมชอบที่สุดไม่ได้เลย) คนอังกฤษเขามีคำพูดติดปากเวลาที่ต้องพูดอะไรซ้ำซาก (บอกไปแล้วก็ไม่ตั้งใจฟัง) เราอาจบอกว่า 🔥 “Take notes next time.” (คราวหน้าก็จดไว้) ฟังดูซอฟต์ ๆ แต่เป็นการพูดแบบ passive-aggressive (พูดประชด)
_______________
ลองมาดูบทสนทนาในภาษาอังกฤษในบริบท “อย่าให้ต้องพูดซ้ำ”
บริบทที่ 1: อย่าอ้างคำว่า “ลืม”
A: “I forgot to take the trash out again. I’ll do it later, it’s not a big deal.” 😲
(ผมแค่ลืมเอาขยะออกไปทิ้งเอง ไว้ทำทีหลังก็ได้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่)
B: “It is a big deal. That’s the third time this week.” 🤨
(มันเป็นเรื่องใหญ่ เพราะคุณลืมมาสามครั้งแล้วอาทิตย์นี้)
A: “I just forgot.” 😬
(ก็มันลืมอะ)
B: “We’ve been through this. It’s your one and only chore.” 😕
(เราคุยกันเรื่องนี้แล้วนะ คุณมีหน้าที่เดียวก็ทำหน่อย)
A: “But I just…” 😫
(ก็ผมแค่...)
B: “Don’t make me repeat myself.” 😡
(อย่าให้ต้องพูดซ้ำ)
บริบทที่ 2: ตัดคือตัด
A: “Wait, are you actually saying we’re cutting John loose?” 😲
(หะ คุณบอกว่าให้เราตัดจอห์นออกจากทีมเลยเหรอ)
B: “That’s exactly what I said.” 😒
(อืมนั่นแหละที่ฉันบอกแก)
A: “But we’ve been working with him for over a year.” 😨
(แต่เราทำงานร่วมงานกับเขามาเป็นปีแล้วนะ)
B: “You heard me.” 😒
(อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำ)
A: “I just want to be clear—“ 🤔
(ผมแค่อยากเข้าใจให้ชัด...)
B: “Did I stutter?” 🙂
(นี่ฉันยังพูดไม่เคลียร์เหรอ)
บริบทที่ 3: นั่นเป็นคำสั่ง
A: “Do I have to be home by 10? It’s not even a school night, mom!” 😫
(หนูต้องกลับบ้านก่อนสี่ทุ่มจริงดิ พรุ่งนี้ไม่ได้ไปโรงเรียนสักหน่อย)
B: “I shouldn’t have to say this twice. Be home by 10.” 😠
(อย่าให้แม่ต้องพูดรอบที่สอง สี่ทุ่มให้ถึงบ้าน)
A: “Ugh, fine.” 😖
(เฮ้อ ก็ได้)
B: “And just so we’re clear — that wasn’t a suggestion.”
(และให้เข้าใจตรงกันเลยนะ แม่พูดแล้วต้องทำตาม)
"รู้ให้มากกว่าเมื่อวาน"
JGC. ✌🏻🇬🇧
"อย่าให้ต้องพูดซ้ำ" ภาษาอังกฤษพูดว่า...
ประโยคอื่น ๆ ที่ใช้ได้เหมือนกัน เช่น...
✅ “I shouldn’t have to say this twice.”
(ฉันไม่ควรต้องพูดรอบที่สอง)
✅ “We’ve been through this."
(เราคุยกันเรื่องนี้แล้ว)
✅ “You’ve been warned.”
(ถือว่าเตือนแล้วนะ)
✅ “That’s the last time I’m saying it.”
(นั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันพูดเรื่องนี้)
แต่ละประโยคอาจจะมีนัยที่แตกต่างกันนิดหน่อย ประโยคแรกคือผู้พูดเริ่มรำคาญที่ต้องพูดเรื่องเดิม ประโยคที่สองเป็นการย้ำกับอีกฝ่ายว่าเรื่องนี้เราควรจะเข้าใจตรงกันแล้ว ประโยคที่สามเป็นการเตือนว่าอย่าให้ต้องพูดอีกรอบ (เหมือนที่ในภาษาไทยเราบอกว่า "เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน") และประโยคสุดท้ายเป็นการบอกตรง ๆ เลยว่าเราพอแล้วนะ จะไม่พูดอีก
บางทีในภาษาอังกฤษอาจจะมาเป็นประโยคคำถาม (rhetorical question / คำถามที่ไม่ได้พูดให้ใครมาตอบ แต่พูดให้คิด) ประมาณว่า...
👉🏻 “Am I talking to myself here?”
👉🏻 “How many times do I have to say this?”
👉🏻 “Did I stutter?” / “Why am I saying this again?”
ล้วนแล้วแต่เป็นการบอกอีกฝ่ายว่าเขาควรจะเข้าใจสิ่งที่เราพูดได้แล้ว (เพราะเคยบอกไปแล้ว) โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่แสดงอออกว่าผู้พูดเริ่มไม่สบอารมณ์ที่ต้องพูดอะไรซ้ำซาก (To stutter = พูดติดอ่าง / Did I stutter? นี่ฉันพูดติดอ่างเหรอ = เป็นการประชดแบบคนอังกฤษครับ คือเป็นการบอกทางอ้อมว่า “I’ve already made myself clear.” หรือ “ฉันว่าฉันพูด(ให้เข้าใจ)ชัดเจนแล้วนะ”)
บางทีฝรั่งเขาพูดอะไรบอกมา แล้วอีกฝ่ายยังยืนงง ๆ เอ๋อ ๆ อยู่ เขาอาจจะย้ำไปอีกทีว่า 📌 “That wasn’t a suggestion.” (นั่นไม่ใช่คำแนะนำ) หมายความว่ามันเป็นคำสั่งครับ ให้เรารีบทำตามเลย 😭 (บางคนแปลตรงตัวแล้วก็ไปคิดว่า ‘เออไม่ใช่คำแนะนำ ไม่ต้องทำตามก็ได้ใช่ไหม?’ ไม่ใช่นะครับ ฮ่า ๆ)
สุดท้าย (จะขาดประโยคที่ผมชอบที่สุดไม่ได้เลย) คนอังกฤษเขามีคำพูดติดปากเวลาที่ต้องพูดอะไรซ้ำซาก (บอกไปแล้วก็ไม่ตั้งใจฟัง) เราอาจบอกว่า 🔥 “Take notes next time.” (คราวหน้าก็จดไว้) ฟังดูซอฟต์ ๆ แต่เป็นการพูดแบบ passive-aggressive (พูดประชด)
_______________
ลองมาดูบทสนทนาในภาษาอังกฤษในบริบท “อย่าให้ต้องพูดซ้ำ”
บริบทที่ 1: อย่าอ้างคำว่า “ลืม”
A: “I forgot to take the trash out again. I’ll do it later, it’s not a big deal.” 😲
(ผมแค่ลืมเอาขยะออกไปทิ้งเอง ไว้ทำทีหลังก็ได้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่)
B: “It is a big deal. That’s the third time this week.” 🤨
(มันเป็นเรื่องใหญ่ เพราะคุณลืมมาสามครั้งแล้วอาทิตย์นี้)
A: “I just forgot.” 😬
(ก็มันลืมอะ)
B: “We’ve been through this. It’s your one and only chore.” 😕
(เราคุยกันเรื่องนี้แล้วนะ คุณมีหน้าที่เดียวก็ทำหน่อย)
A: “But I just…” 😫
(ก็ผมแค่...)
B: “Don’t make me repeat myself.” 😡
(อย่าให้ต้องพูดซ้ำ)
บริบทที่ 2: ตัดคือตัด
A: “Wait, are you actually saying we’re cutting John loose?” 😲
(หะ คุณบอกว่าให้เราตัดจอห์นออกจากทีมเลยเหรอ)
B: “That’s exactly what I said.” 😒
(อืมนั่นแหละที่ฉันบอกแก)
A: “But we’ve been working with him for over a year.” 😨
(แต่เราทำงานร่วมงานกับเขามาเป็นปีแล้วนะ)
B: “You heard me.” 😒
(อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำ)
A: “I just want to be clear—“ 🤔
(ผมแค่อยากเข้าใจให้ชัด...)
B: “Did I stutter?” 🙂
(นี่ฉันยังพูดไม่เคลียร์เหรอ)
บริบทที่ 3: นั่นเป็นคำสั่ง
A: “Do I have to be home by 10? It’s not even a school night, mom!” 😫
(หนูต้องกลับบ้านก่อนสี่ทุ่มจริงดิ พรุ่งนี้ไม่ได้ไปโรงเรียนสักหน่อย)
B: “I shouldn’t have to say this twice. Be home by 10.” 😠
(อย่าให้แม่ต้องพูดรอบที่สอง สี่ทุ่มให้ถึงบ้าน)
A: “Ugh, fine.” 😖
(เฮ้อ ก็ได้)
B: “And just so we’re clear — that wasn’t a suggestion.”
(และให้เข้าใจตรงกันเลยนะ แม่พูดแล้วต้องทำตาม)
"รู้ให้มากกว่าเมื่อวาน"
JGC. ✌🏻🇬🇧