ช่วงวันหยุดยาวช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา แวะไปทำธุระที่ สิงคโปร์สั้นๆ รอบนี้ เผื่อเวลาเดินทางไว้เยอะ ก็เลยมีโอกาสได้ไปนั่งที่สนามบินได้นาน นั่งไปก็มีโอกาสได้นั่งสังเกตุอะไรไปเรื่อยเปื่อย
มองๆไป ก็ไปสะดุดตรง จุดหนึ่งที่เห็นได้ชัด คือ เด็กไทยเรา เกือบส่วนใหญ่ เล่นมือถือหมด จะเล่นเกมส์ จะเล่นโซเชี่ยลหรือจะอะไรก็ตามกับมือถือ เกือบทั้งหมด จะมีน้อยมากๆไม่กี่คนที่ไม่เล่น มีหลายคนนั่งอยู่ตรง จุดชาร์จมือถือ ชาร์จไปเล่นไป บางครอบครัว เล่นทั้งพ่อแม่และลูก ตามองอยู่หน้าจอหมด
แล้วผมเห็นเด็กอีกกลุ่มหนึ่ง ไม่ได้มาเป็นกลุ่มนะครับ หมายถึงว่าอีกจำนวนหนึ่ง ที่นั่งรอเที่ยวบินเหมือนกัน กลุ่มนี้ จะนั่งอ่านหนังสือ/สมุด บางคนก็เขียนอะไรลงสมุด บางคนก็รู้สึกว่าจะวาดภาพอะไรลงไป ไม่มีใครเล่นมือถือเลยแม้แต่คนเดียว มารุ้ที่หลังว่าน่าจะเป็นเด็กชาวสิงคโปร์ ก็ตอนที่ขึ้นมาบนเครื่องแล้ว
ระหว่างที่นั่งมองเพลินๆไป ใจก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า ทำไมเด็กไทยเรา ถึงได้มี ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ต่ำกว่า เด็กสิงคโปร์ เป็นอย่างมาก
ผมก็มานั่งวิเคราะห์ ดูว่า
ระบบหลักสูตรการเรียนการสอน ของเรา อ่อนกว่าเขาเยอะมากเหรอ
ที่รู้มาอย่างหนึ่งคือ ระบบการศึกษาของเขา (ไม่เฉพาะสิงคโปร์ แต่รวมถึงชาติที่เจริญหลายๆชาติ) เขาจะเน้นสอนให้เด็กคิด คิดได้คิดเป็น
แต่ของไทยเราไม่ได้เป็นเช่นนั้นการศึกษาของไทยเราไม่ได้เน้นสอนให้เด็กได้คิด อาจจะคิดได้ แต่คิดไม่เป็น หรือคิดได้ คิดเป็นแต่ ไม่กล้า(ห้าม)ถาม
ระบบการศึกษาบ้านเรา มีนโยบาย ไม่ให้ตก เรียนไปเถอะเรียนอย่างไรก็ไม่ให้ตก อันนี้เลยอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ไม่มีความมุ่งมั่นที่จะเรียนให้เก่ง
หลักสูตรของหลายๆชาติจะส่งเสริมและมุ่งเน้นถึงความเป็นเลิศ จะมีการฝึกทักษะให้อย่างเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เขาจะมีการลงทุนอย่างมากในการหาบุคลากรครูเก่งๆมาสอน แต่ของไทยเรา จะเห็นได้ชัดว่ามีความแตกต่างกันมากระหว่างครูในเมืองใหญ่ กับครูต่างจังหวัดที่อยู่ห่างไกล ของเราไม่มีการลงทุนในเรื่องบุคลากรครู ที่ดีเลย
เคยเห็นทัศนคติของการศึกษาของเขามันต่างจากของเราเรามากๆ อย่างสิงคโปร หรือประเทศอื่นๆเขาจะให้ความสำคัญกับการศึกษาเป็นอย่างมาก หลายประเทศ เขาจะให้วันที่จะต้องสอบแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยเป็นวันหยุดประจำชาติเลยที่เดียว เขาจะส่งเสริม เขาจะมีการต่อยอดจะมีการฝึกจะมีการพัฒนาอยู่ตลอด
แต่พอมองย้อนกลับมา ดูบ้านเรา เด็กของเรา (ตามเมืองรองหรือตามต่างจังหวัดที่ห่างไกล) จะมีทัศนคติเกี่ยวกับการศึกษาน้อยมากๆ แรงจูงใจในการเรียนรู้บ้านเรามันไม่ค่อยมี คือไม่รู้จะเรียนไปทำไม พอมันขาดแรงจูงใจกันไป ก็เลยทำให้ไม่อยากเรียน หรือเรียนไปอย่างไม่มีคุณภาพ
ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจ ต่างประเทศหลายๆประเทศมีสภาพเศรษฐกิจที่ดีกว่าไทย การดิ้นรนการทำงานอาจจะไม่ต้องดิ้นรนมากเท่าสังคนไทย เลยทำให้ผู้ปกครองส่วนใหญ่แล้วสามารถมีเวลาให้กับลูกหลานได้ มีเวลามีแนวทางมีไอเดีย ที่จะส่งเสริม แนะแนวแนะนำให้ลูกหลาน มุ่งมั่นไปในเรื่องการเรียน เรียนอะไร เรียนทำไม เรียนเพื่ออะไร
แต่พอย้อนกลับมาบ้านเรา สภาพเศรษฐกิจของบ้านเรา ที่หลายๆ ครอบครัวหลายๆสังคมยังต้องดิ้นรน ที่จะต้องทำงานกันทั้งบ้าน
เวลาที่จะเอามาดูแลลูกหลานจึงไม่มี ไม่มีเวลา ไม่มีแนวทาง ไม่มีความรู้ ไม่มีแรงจูงใจที่จะสอนอะไรลูกหลานได้ จึงได้มี วลี อยู่วลีหนึ่ง ว่า
"เรียน ๆไปเถอะ " ...............คือเรียนให้จบตามเกณฑ์ จะเรียนอะไร เรียนทำไม เรียนเพื่ออะไร อาจจะไม่สำคัญมาก
สังคมบ้านเราพ่อแม่อาจจะไม่มีเวลาดูแลลูกหลานได้มากเพียวพอ ส่วนใหญ่มักจะทำการ ฝากเด็กฝากลูกฝากหลานไว้กับ มือถือ
ซึ่งมือถือก็มีทั้งคุณและมีทั้งโทษอย่างมหาศาล ถ้าจะหาความรู้หาประโยชน์ มือถือสามารถหาความรู้ได้มากมาย
แต่ถ้าจะเป็นโทษ มือถือก็คือแหล่งเข้าถึง ความเป็นอบายมุขได้อย่างสะดวกที่สุด
พอมองย้อนกกลับไป ด้วยสภาพการเรียนการสอนบ้านเราที่ไม่เน้นให้เด็กได้คิดเป็น พอเด็กคิดไม่เป็น เด็กก็จะไม่รู้วิธีคิด
การจะเข้าไปหาประโยชน์หาความรู้ จากมือถือก็จะทำไม่ได้ทำไม่เป็น
ส่วนที่เป็นอบายมุข ส่วนที่สิ่งที่ยั่วยวน สิ่งที่เป็นสิ่งที่ เร้าใจ สิ่งพวกนี้ไม่ต้องไปหา มันโผล่มาให้เห็นในทันที แล้วมันดัน ติดง่ายเสียด้วย
เมื่อเสพติดกับสิ่งเร้าพวกนี้แล้วมันถอนตัวออกได้ยาก
ผมรู้จักเพื่อนต่างชาติอยู่หลายคน รู้มาว่า เขาจะพยายามไม่ให้เด็กลูกหลาน ในวัยที่กำลังเรียนรู้กำลังพัฒนา ให้เสพติดกับโทรศัพท์มือถือ คือจะไม่ให้ใช้มือถือเลย (ในการเล่นมือถือ นอกจากการโทร) อย่างน้อยๆก็รอให้ผ่าน ช่วงวัยประถมต้นขึ้นไปเสียก่อน
มองย้อนกลับมายังสังคมไทยเรา เห็นแล้วเศร้าใจ ปัจจัยหลายๆปัจจัย มันไม่เอื้อผลประโยชน์ต่อเด็กเลย เข็มที่เบนเอาไว้ มันไม่สามารถสร้างเส้นทางสู่ความเป็นเลิศเส้นทางสู่การพัฒนาไปสู่ความสำเร็จได้ เหมือนอย่างที่หลายๆชาติเขาทำกันอยู่ เห็นแล้ว ได้แต่ถอนหายใจ
*** วันหนึ่งวันของการนั่งรอเที่ยวบินที่สนามบิน ที่ได้แต่อิจฉา เด็กต่างประเทศ
ตั้งข้อสังเกตุ คุณภาพ เด็กไทยกับเด็กสิงคโปร์ ในเรื่องการศึกษา
มองๆไป ก็ไปสะดุดตรง จุดหนึ่งที่เห็นได้ชัด คือ เด็กไทยเรา เกือบส่วนใหญ่ เล่นมือถือหมด จะเล่นเกมส์ จะเล่นโซเชี่ยลหรือจะอะไรก็ตามกับมือถือ เกือบทั้งหมด จะมีน้อยมากๆไม่กี่คนที่ไม่เล่น มีหลายคนนั่งอยู่ตรง จุดชาร์จมือถือ ชาร์จไปเล่นไป บางครอบครัว เล่นทั้งพ่อแม่และลูก ตามองอยู่หน้าจอหมด
แล้วผมเห็นเด็กอีกกลุ่มหนึ่ง ไม่ได้มาเป็นกลุ่มนะครับ หมายถึงว่าอีกจำนวนหนึ่ง ที่นั่งรอเที่ยวบินเหมือนกัน กลุ่มนี้ จะนั่งอ่านหนังสือ/สมุด บางคนก็เขียนอะไรลงสมุด บางคนก็รู้สึกว่าจะวาดภาพอะไรลงไป ไม่มีใครเล่นมือถือเลยแม้แต่คนเดียว มารุ้ที่หลังว่าน่าจะเป็นเด็กชาวสิงคโปร์ ก็ตอนที่ขึ้นมาบนเครื่องแล้ว
ระหว่างที่นั่งมองเพลินๆไป ใจก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า ทำไมเด็กไทยเรา ถึงได้มี ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ต่ำกว่า เด็กสิงคโปร์ เป็นอย่างมาก
ผมก็มานั่งวิเคราะห์ ดูว่า
ระบบหลักสูตรการเรียนการสอน ของเรา อ่อนกว่าเขาเยอะมากเหรอ
ที่รู้มาอย่างหนึ่งคือ ระบบการศึกษาของเขา (ไม่เฉพาะสิงคโปร์ แต่รวมถึงชาติที่เจริญหลายๆชาติ) เขาจะเน้นสอนให้เด็กคิด คิดได้คิดเป็น
แต่ของไทยเราไม่ได้เป็นเช่นนั้นการศึกษาของไทยเราไม่ได้เน้นสอนให้เด็กได้คิด อาจจะคิดได้ แต่คิดไม่เป็น หรือคิดได้ คิดเป็นแต่ ไม่กล้า(ห้าม)ถาม
ระบบการศึกษาบ้านเรา มีนโยบาย ไม่ให้ตก เรียนไปเถอะเรียนอย่างไรก็ไม่ให้ตก อันนี้เลยอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ไม่มีความมุ่งมั่นที่จะเรียนให้เก่ง
หลักสูตรของหลายๆชาติจะส่งเสริมและมุ่งเน้นถึงความเป็นเลิศ จะมีการฝึกทักษะให้อย่างเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เขาจะมีการลงทุนอย่างมากในการหาบุคลากรครูเก่งๆมาสอน แต่ของไทยเรา จะเห็นได้ชัดว่ามีความแตกต่างกันมากระหว่างครูในเมืองใหญ่ กับครูต่างจังหวัดที่อยู่ห่างไกล ของเราไม่มีการลงทุนในเรื่องบุคลากรครู ที่ดีเลย
เคยเห็นทัศนคติของการศึกษาของเขามันต่างจากของเราเรามากๆ อย่างสิงคโปร หรือประเทศอื่นๆเขาจะให้ความสำคัญกับการศึกษาเป็นอย่างมาก หลายประเทศ เขาจะให้วันที่จะต้องสอบแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยเป็นวันหยุดประจำชาติเลยที่เดียว เขาจะส่งเสริม เขาจะมีการต่อยอดจะมีการฝึกจะมีการพัฒนาอยู่ตลอด
แต่พอมองย้อนกลับมา ดูบ้านเรา เด็กของเรา (ตามเมืองรองหรือตามต่างจังหวัดที่ห่างไกล) จะมีทัศนคติเกี่ยวกับการศึกษาน้อยมากๆ แรงจูงใจในการเรียนรู้บ้านเรามันไม่ค่อยมี คือไม่รู้จะเรียนไปทำไม พอมันขาดแรงจูงใจกันไป ก็เลยทำให้ไม่อยากเรียน หรือเรียนไปอย่างไม่มีคุณภาพ
ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจ ต่างประเทศหลายๆประเทศมีสภาพเศรษฐกิจที่ดีกว่าไทย การดิ้นรนการทำงานอาจจะไม่ต้องดิ้นรนมากเท่าสังคนไทย เลยทำให้ผู้ปกครองส่วนใหญ่แล้วสามารถมีเวลาให้กับลูกหลานได้ มีเวลามีแนวทางมีไอเดีย ที่จะส่งเสริม แนะแนวแนะนำให้ลูกหลาน มุ่งมั่นไปในเรื่องการเรียน เรียนอะไร เรียนทำไม เรียนเพื่ออะไร
แต่พอย้อนกลับมาบ้านเรา สภาพเศรษฐกิจของบ้านเรา ที่หลายๆ ครอบครัวหลายๆสังคมยังต้องดิ้นรน ที่จะต้องทำงานกันทั้งบ้าน
เวลาที่จะเอามาดูแลลูกหลานจึงไม่มี ไม่มีเวลา ไม่มีแนวทาง ไม่มีความรู้ ไม่มีแรงจูงใจที่จะสอนอะไรลูกหลานได้ จึงได้มี วลี อยู่วลีหนึ่ง ว่า
"เรียน ๆไปเถอะ " ...............คือเรียนให้จบตามเกณฑ์ จะเรียนอะไร เรียนทำไม เรียนเพื่ออะไร อาจจะไม่สำคัญมาก
สังคมบ้านเราพ่อแม่อาจจะไม่มีเวลาดูแลลูกหลานได้มากเพียวพอ ส่วนใหญ่มักจะทำการ ฝากเด็กฝากลูกฝากหลานไว้กับ มือถือ
ซึ่งมือถือก็มีทั้งคุณและมีทั้งโทษอย่างมหาศาล ถ้าจะหาความรู้หาประโยชน์ มือถือสามารถหาความรู้ได้มากมาย
แต่ถ้าจะเป็นโทษ มือถือก็คือแหล่งเข้าถึง ความเป็นอบายมุขได้อย่างสะดวกที่สุด
พอมองย้อนกกลับไป ด้วยสภาพการเรียนการสอนบ้านเราที่ไม่เน้นให้เด็กได้คิดเป็น พอเด็กคิดไม่เป็น เด็กก็จะไม่รู้วิธีคิด
การจะเข้าไปหาประโยชน์หาความรู้ จากมือถือก็จะทำไม่ได้ทำไม่เป็น
ส่วนที่เป็นอบายมุข ส่วนที่สิ่งที่ยั่วยวน สิ่งที่เป็นสิ่งที่ เร้าใจ สิ่งพวกนี้ไม่ต้องไปหา มันโผล่มาให้เห็นในทันที แล้วมันดัน ติดง่ายเสียด้วย
เมื่อเสพติดกับสิ่งเร้าพวกนี้แล้วมันถอนตัวออกได้ยาก
ผมรู้จักเพื่อนต่างชาติอยู่หลายคน รู้มาว่า เขาจะพยายามไม่ให้เด็กลูกหลาน ในวัยที่กำลังเรียนรู้กำลังพัฒนา ให้เสพติดกับโทรศัพท์มือถือ คือจะไม่ให้ใช้มือถือเลย (ในการเล่นมือถือ นอกจากการโทร) อย่างน้อยๆก็รอให้ผ่าน ช่วงวัยประถมต้นขึ้นไปเสียก่อน
มองย้อนกลับมายังสังคมไทยเรา เห็นแล้วเศร้าใจ ปัจจัยหลายๆปัจจัย มันไม่เอื้อผลประโยชน์ต่อเด็กเลย เข็มที่เบนเอาไว้ มันไม่สามารถสร้างเส้นทางสู่ความเป็นเลิศเส้นทางสู่การพัฒนาไปสู่ความสำเร็จได้ เหมือนอย่างที่หลายๆชาติเขาทำกันอยู่ เห็นแล้ว ได้แต่ถอนหายใจ
*** วันหนึ่งวันของการนั่งรอเที่ยวบินที่สนามบิน ที่ได้แต่อิจฉา เด็กต่างประเทศ