จากมิตรสู่ศัตรูคู่แค้น อิสราเอล-อิหร่าน ขัดแย้งกันทำไม ?

จากมิตรสู่ศัตรูคู่แค้น อิสราเอล-อิหร่าน ขัดแย้งกันทำไม ?

อิสราเอล-อิหร่าน ครั้งหนึ่งเคยมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน แต่เมื่อเกิดการปฏิวัติอิสลามในอิหร่านขึ้น ความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศก็ดิ่งลงเหวนานกว่า 40 ปี

“สันติภาพ” คือสิ่งที่ทั่วโลกต่างเฝ้าฝันให้เกิดขึ้นจริง แต่ความขัดแย้งรอบใหม่ที่ปะทุขึ้นระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ดูเหมือนว่า จะทำให้ความสงบไม่เกิดขึ้นจริง 

สองประเทศที่ครั้งหนึ่งเคยสนับสนุนซึ่งกันและกัน แต่ทำไมวันนี้ถึงแปรเปลี่ยน กลายมาเป็น “ศัตรูคู่อาฆาต” 

อิสราเอล-อิหร่าน อดีตมิตรรัก สัมพันธ์แนบแน่น

เรื่องราวทั้งหมดนี้ ต้องเริ่มต้นช่วงที่อิสราเอลก่อตั้งประเทศใหม่ เมื่อปี 1948 อิหร่านเป็นหนึ่งในรัฐแรก ๆ บนภูมิภาคตะวันออกกลางที่ยอมรับอิสราเอลเป็นประเทศ ขณะที่ ชาติมุสลิมโดยรอบกลับไม่ยอมรับ 

หลังการก่อตั้งอิสราเอล ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ ต่างเป็นไปด้วยดี ช่วยเหลือกันในหลากหลายด้าน อิสราเอลช่วยฝึกกองกำลังอิหร่าน และแบ่งปันความรู้ทางเทคนิคในด้านต่าง ๆ  ในทางกลับกัน อิหร่านก็ส่งน้ำมันให้กับอิสราเอล 

ช่วงเวลานั้น อิหร่านยังมีชุมชนชาวยิวที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งนอกประเทศอิสราเอลด้วย
การปฏิวัติอิสลาม จุดเปลี่ยนความสัมพันธ์

แต่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป เมื่ออิหร่านเกิดการปฏิวัติอิสลามขึ้นในปี 1979 และนั่นทำให้ความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ ต้องดิ่งลงเหว

รัฐบาลใหม่ ที่นำโดย อายาตอลเลาะห์ โคไมนี ล้มล้างระบอบกษัตริย์ชาห์ ผู้มีความใกล้ชิดกับสหรัฐฯ และอิสราเอล รวมถึงเปลี่ยนอิหร่านให้กลายเป็นรัฐอิสลาม

โดยโคไมนี มองว่า อิสราเอลเป็นผู้กดขี่ชาวปาเลสไตน์ เป็นรัฐบาลหุ่นเชิดของสหรัฐฯ 

อิหร่านจึงตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับอิสราเอล พร้อมเปลี่ยน “สถานทูตอิสราเอล”ให้กลายเป็น “สถานทูตปาเลสไตน์” และประกาศให้วันศุกร์สุดท้ายของเดือนรอมฎอนเป็น “วันกุดส์” เพื่อสนับสนุนชาวปาเลสไตน์

อิหร่านวิพากษ์วิจารณ์อิสราเอลอย่างรุนแรง และขยายอิทธิพลในภูมิภาค ด้วยการพยายามวางตนเองให้เป็น “ผู้นำโลกมุสลิม” 

ก่อเกิด “สงครามเงา”

นับจากนั้นเป็นต้นมา ความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศ ก็ตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ มีการปะทะกันทั้งทางตรง และทางอ้อม มาเป็นเวลาหลายปี ซึ่งมักจะถูกเรียกว่า “สงคราเงา”

สำนักข่าว Al Jazeera ระบุว่า อิหร่านให้การสนับสนุนเครือข่ายกลุ่มติดอาวุธที่ชื่อว่า “Axis of Resistance” หรือ “แกนต่อต้าน” ที่อยู่ในประเทศต่าง ๆ เช่น เลบานอน ซีเรีย อิรัก และเยเมน รวมถึง กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ และ ฮามาส ซึ่งต่อต้านอิสราเอลและสนับสนุนชาวปาเลสไตน์

ขณะเดียวกัน อิหร่านยังกล่าวหาว่า อิสราเอลอยู่เบื้องหลังการลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์นิวเคีลยร์ชั้นนำ และทำลายโรงงานนิวเคลียร์

อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกัน อิสราเอลก็ให้การสนับสนุนกลุ่มต่อต้านรัฐบาลอิหร่าน เช่น กลุ่ม MEK ซึ่งอิหร่านระบุว่า เป็นกลุ่มก่อการร้าย และนักรบซุนนี และเคิร์ดบางกลุ่ม รวมถึงยังกล่าวหา อิหร่านว่า กำลังพัฒนาโครงการอาวุธนิวเคลียร์ แม้อิหร่านจะยืนยันหนักแน่นว่า โครงการนิวเคลียร์ของตนมีจุดประสงค์เพื่อสันติภาพ 
ฉนวนกาซา สู่การเปิดฉากโจมตีครั้งใหญ่ 

ความเป็นศัตรูรุนแรงขึ้นไปอีก เมื่อสงครามในฉนวนกาซากลายเป็นจุดชนวนที่นำไปสู่การเปิดฉากโจมตีครั้งใหญ่ระหว่าง 2 ประเทศ 

นับตั้งแต่ฮามาสบุกโจมตีอิสราเอลสายฟ้าแล่บเมื่อปี 2023 อิสราเอลก็ตอบโต้กลับอย่างรุนแรง พร้อมกล่าวโทษว่า อิหร่านมีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะให้การสนับสนุนกลุ่มฮามาส 

หลังจากนั้น ทั้ง 2 ฝ่ายก็เปิดฉากโจมตีต่อเนื่อง ต้นปี 2024 อิสราเอลทิ้งระเบิดใส่สถานที่สำคัญของอิหร่าน ตั้งแต่ท่อส่งก๊าซ ไปจนถึงสถานกงสุลในซีเรีย ส่วนอิหร่านก็ยิงขีปนาวุธกว่า 300 ลูก ไปยังอิสราเอล 

ต่อมา อิสราเอลก็เดินหน้าสังหารผู้นำสำคัญของกลุ่มติดอาวุธที่ต่อต้านอิสราเอลเรื่อย ๆ และเริ่มโจมตีอิหร่านอย่างเปิดเผย ด้วยการเปิดฉากโจมตีครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ภายใต้ชื่อว่า “สิงโตผงาด” หรือ “Rising Lion” 

ทำลายโรงงานนิวเคลียร์และฐานทัพของอิหร่าน สังหารนายทหารระดับสูง และนักวิทยาศาสตร์อิหร่านหลายราย ส่งผลให้อิหร่านตอบโต้อิสราเอลอย่างรุนแรงเช่นกัน จนทำให้ทุกวันนี้ ความขัดแย้งบนภูมิภาคตะวันออกกลางดูทีท่าว่าจะไม่มีวันสิ้นสุดลงง่าย ๆ

แหล่งข้อมูลอ้างอิง: 





แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่