Alphabet Inc. (GOOGL)
NASDAQ: GOOGL
สรุปใจความสําคัญ
1️⃣ Alphabet คือบริษัทแม่ของ Google ซึ่งมีรายได้หลักจากธุรกิจโฆษณาออนไลน์ แต่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในธุรกิจ Cloud และ AI
2️⃣ เริ่มจ่ายเงินปันผลครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนระยะยาว
3️⃣ บริษัท “Disrupt ตัวเอง” ด้วยการใส่ Gemini ลงใน Search, Workspace, และ Android แม้จะกระทบโมเดลรายได้โฆษณาแบบเดิม
4️⃣ Apple พับดีล OpenAI บางส่วน สะท้อนแนวโน้มของ Big Tech ที่อาจ “เลือกทำ AI เอง” มากกว่าพึ่งพาภายนอก
Alphabet Inc. เป็นบริษัทแม่ของ Google ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของอินเทอร์เน็ตในยุคปัจจุบัน มีบริการที่ครองตลาดอย่าง Google Search, YouTube, Android, Chrome, Maps และ Gmail โดยรายได้หลักยังคงมาจากธุรกิจโฆษณา (Ad Business) ที่แข็งแกร่งระดับโลก คิดเป็น ~90% ของรายได้ทั้งหมด
นอกจากนี้ Alphabet ยังมี 2 ธุรกิจสำคัญคือ
🔹 Google Cloud – ธุรกิจคลาวด์ที่เติบโตต่อเนื่องและเริ่มมีกำไร
🔹 Other Bets – ธุรกิจทดลองและนวัตกรรม เช่น Waymo (รถยนต์ไร้คนขับ), Verily (เทคโนโลยีสุขภาพ), และ DeepMind (AI)
📈 ปัจจัยบวกที่น่าจับตา
✅ ธุรกิจโฆษณายังเป็นเครื่องจักรทำเงินหลัก
Google Search และ YouTube ยังคงมีอัตราการเติบโตดีแม้ผ่านช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว โดยเฉพาะ YouTube Shorts ที่แข่งขันกับ TikTok ได้ดี และสร้างรายได้จากโฆษณาใหม่ๆ
✅ Google Cloud เริ่มทำกำไร
Google Cloud รายงานกำไรจากการดำเนินงานติดต่อกันหลายไตรมาส เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่แสดงว่า Alphabet ไม่ได้พึ่งแค่โฆษณาอีกต่อไป และสามารถแข่งกับ Amazon AWS และ Microsoft Azure ได้
✅ เงินสดล้นมือ – มีอำนาจในการลงทุนอนาคต
Alphabet มี Free Cash Flow หลายหมื่นล้านต่อปี ใช้สำหรับ R&D, M&A และการคืนเงินให้ผู้ถือหุ้น (ผ่านการซื้อหุ้นคืน และล่าสุดคือปันผล)
✅ การจ่ายปันผลครั้งแรก
แม้จะยังอยู่ที่ระดับ ~0.46% แต่เป็นสัญญาณเชิงบวกว่า Alphabet เริ่มเข้าสู่ช่วง “เก็บเกี่ยวผลผลิต” และมีเสถียรภาพมากพอจะแบ่งปันผลตอบแทนให้นักลงทุน
✅ AI เป็นโอกาสระยะยาว
โครงการ Gemini (คู่แข่ง GPT), Search AI Features, และการใช้ AI ในผลิตภัณฑ์ทั้งหมด สะท้อนว่า Google กำลังบูรณาการ AI เป็น Core Business ในทุกระดับ
🔁 Google Disrupt ตัวเอง – เพราะการไม่เปลี่ยนแปลงคือความเสี่ยงสูงสุด
หนึ่งในเรื่องที่น่าทึ่งคือ Google กล้าที่จะ Disrupt ธุรกิจเดิมของตัวเองก่อนที่คนอื่นจะทำ
-Search & AI: การออก Gemini ใน Search แม้จะเสี่ยงต่อรายได้โฆษณาแบบคลิก (Search Ads) แต่ก็แสดงถึงความพร้อมที่จะ “เปลี่ยนแม้กระทั่งตัวตนของ Google เอง” เพื่อไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังในยุค AI
-YouTube Shorts: เปิดตัว Shorts แม้จะกลืนฐานผู้ชมจาก YouTube ปกติ แต่มองระยะยาวเพื่อดึง Gen Z และสร้าง Engagement
-Google Cloud: เดิม Google คือบริษัทโฆษณา 100% แต่การดัน Google Cloud อย่างต่อเนื่องในช่วงหลัง ทำให้บริษัทมีรายได้ recurring ที่มั่นคงมากขึ้น
🍏 ข่าวใหญ่: Apple พับดีล OpenAI บางส่วน – สะเทือนทั้งตลาด AI
-มีรายงานว่า Apple กำลังลดการรวม ChatGPT เข้ากับ iOS 18 และอาจหันไปสร้าง AI ของตัวเองหรือดีลกับ Google แทน
-แม้ก่อนหน้านี้ Apple บอกว่า ChatGPT จะอยู่ใน Siri/iOS18 แต่การ “ถอนบางส่วน” ทำให้ OpenAI เสียโอกาสในการปูทางเข้าสู่ iPhone
-สิ่งที่ตามมาคือ Big Tech จะเริ่มสร้าง AI Ecosystem ของตัวเองมากขึ้น — ใครคุม Model + Platform ได้ จะกลายเป็นผู้นำ
🤖 แข่งกับ OpenAI และ Microsoft แบบตัวต่อตัว
-OpenAI (มี Microsoft หนุนหลัง) คือคู่แข่งตรงในการครอง Ecosystem ของ AI ทั้งบน Desktop และ Mobile
-Microsoft ฝัง Copilot ใน Windows, Office และ Azure ขณะที่ Google พยายามทำสิ่งเดียวกันใน Search, Workspace และ Android
⚠️ ปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติม
⚖️ ความเสี่ยงจากการตรวจสอบด้านกฎหมายและผูกขาด
รัฐบาลสหรัฐฯ และ EU จับตา Alphabet อย่างเข้มงวด โดยเฉพาะกรณีผูกขาดใน Search และระบบโฆษณา อาจนำไปสู่ค่าปรับหรือข้อจำกัดทางธุรกิจ
⚔️ การแข่งขันจาก Big Tech รายอื่น
Meta (ในโซเชียล), Amazon (ใน Cloud), Microsoft (ใน AI และ Cloud), และ TikTok (ในวิดีโอสั้น) ต่างบุกตลาดที่ Alphabet ครองอยู่
Google ปรับตัวในยุค Ai ได้อย่างคูล~ กลายเป็นหุ้น 7 นางฟ้าที่กลับมาน่าสนใจสุดๆ
NASDAQ: GOOGL
สรุปใจความสําคัญ
1️⃣ Alphabet คือบริษัทแม่ของ Google ซึ่งมีรายได้หลักจากธุรกิจโฆษณาออนไลน์ แต่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในธุรกิจ Cloud และ AI
2️⃣ เริ่มจ่ายเงินปันผลครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนระยะยาว
3️⃣ บริษัท “Disrupt ตัวเอง” ด้วยการใส่ Gemini ลงใน Search, Workspace, และ Android แม้จะกระทบโมเดลรายได้โฆษณาแบบเดิม
4️⃣ Apple พับดีล OpenAI บางส่วน สะท้อนแนวโน้มของ Big Tech ที่อาจ “เลือกทำ AI เอง” มากกว่าพึ่งพาภายนอก
Alphabet Inc. เป็นบริษัทแม่ของ Google ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของอินเทอร์เน็ตในยุคปัจจุบัน มีบริการที่ครองตลาดอย่าง Google Search, YouTube, Android, Chrome, Maps และ Gmail โดยรายได้หลักยังคงมาจากธุรกิจโฆษณา (Ad Business) ที่แข็งแกร่งระดับโลก คิดเป็น ~90% ของรายได้ทั้งหมด
นอกจากนี้ Alphabet ยังมี 2 ธุรกิจสำคัญคือ
🔹 Google Cloud – ธุรกิจคลาวด์ที่เติบโตต่อเนื่องและเริ่มมีกำไร
🔹 Other Bets – ธุรกิจทดลองและนวัตกรรม เช่น Waymo (รถยนต์ไร้คนขับ), Verily (เทคโนโลยีสุขภาพ), และ DeepMind (AI)
📈 ปัจจัยบวกที่น่าจับตา
✅ ธุรกิจโฆษณายังเป็นเครื่องจักรทำเงินหลัก
Google Search และ YouTube ยังคงมีอัตราการเติบโตดีแม้ผ่านช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว โดยเฉพาะ YouTube Shorts ที่แข่งขันกับ TikTok ได้ดี และสร้างรายได้จากโฆษณาใหม่ๆ
✅ Google Cloud เริ่มทำกำไร
Google Cloud รายงานกำไรจากการดำเนินงานติดต่อกันหลายไตรมาส เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่แสดงว่า Alphabet ไม่ได้พึ่งแค่โฆษณาอีกต่อไป และสามารถแข่งกับ Amazon AWS และ Microsoft Azure ได้
✅ เงินสดล้นมือ – มีอำนาจในการลงทุนอนาคต
Alphabet มี Free Cash Flow หลายหมื่นล้านต่อปี ใช้สำหรับ R&D, M&A และการคืนเงินให้ผู้ถือหุ้น (ผ่านการซื้อหุ้นคืน และล่าสุดคือปันผล)
✅ การจ่ายปันผลครั้งแรก
แม้จะยังอยู่ที่ระดับ ~0.46% แต่เป็นสัญญาณเชิงบวกว่า Alphabet เริ่มเข้าสู่ช่วง “เก็บเกี่ยวผลผลิต” และมีเสถียรภาพมากพอจะแบ่งปันผลตอบแทนให้นักลงทุน
✅ AI เป็นโอกาสระยะยาว
โครงการ Gemini (คู่แข่ง GPT), Search AI Features, และการใช้ AI ในผลิตภัณฑ์ทั้งหมด สะท้อนว่า Google กำลังบูรณาการ AI เป็น Core Business ในทุกระดับ
🔁 Google Disrupt ตัวเอง – เพราะการไม่เปลี่ยนแปลงคือความเสี่ยงสูงสุด
หนึ่งในเรื่องที่น่าทึ่งคือ Google กล้าที่จะ Disrupt ธุรกิจเดิมของตัวเองก่อนที่คนอื่นจะทำ
-Search & AI: การออก Gemini ใน Search แม้จะเสี่ยงต่อรายได้โฆษณาแบบคลิก (Search Ads) แต่ก็แสดงถึงความพร้อมที่จะ “เปลี่ยนแม้กระทั่งตัวตนของ Google เอง” เพื่อไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังในยุค AI
-YouTube Shorts: เปิดตัว Shorts แม้จะกลืนฐานผู้ชมจาก YouTube ปกติ แต่มองระยะยาวเพื่อดึง Gen Z และสร้าง Engagement
-Google Cloud: เดิม Google คือบริษัทโฆษณา 100% แต่การดัน Google Cloud อย่างต่อเนื่องในช่วงหลัง ทำให้บริษัทมีรายได้ recurring ที่มั่นคงมากขึ้น
🍏 ข่าวใหญ่: Apple พับดีล OpenAI บางส่วน – สะเทือนทั้งตลาด AI
-มีรายงานว่า Apple กำลังลดการรวม ChatGPT เข้ากับ iOS 18 และอาจหันไปสร้าง AI ของตัวเองหรือดีลกับ Google แทน
-แม้ก่อนหน้านี้ Apple บอกว่า ChatGPT จะอยู่ใน Siri/iOS18 แต่การ “ถอนบางส่วน” ทำให้ OpenAI เสียโอกาสในการปูทางเข้าสู่ iPhone
-สิ่งที่ตามมาคือ Big Tech จะเริ่มสร้าง AI Ecosystem ของตัวเองมากขึ้น — ใครคุม Model + Platform ได้ จะกลายเป็นผู้นำ
🤖 แข่งกับ OpenAI และ Microsoft แบบตัวต่อตัว
-OpenAI (มี Microsoft หนุนหลัง) คือคู่แข่งตรงในการครอง Ecosystem ของ AI ทั้งบน Desktop และ Mobile
-Microsoft ฝัง Copilot ใน Windows, Office และ Azure ขณะที่ Google พยายามทำสิ่งเดียวกันใน Search, Workspace และ Android
⚠️ ปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติม
⚖️ ความเสี่ยงจากการตรวจสอบด้านกฎหมายและผูกขาด
รัฐบาลสหรัฐฯ และ EU จับตา Alphabet อย่างเข้มงวด โดยเฉพาะกรณีผูกขาดใน Search และระบบโฆษณา อาจนำไปสู่ค่าปรับหรือข้อจำกัดทางธุรกิจ
⚔️ การแข่งขันจาก Big Tech รายอื่น
Meta (ในโซเชียล), Amazon (ใน Cloud), Microsoft (ใน AI และ Cloud), และ TikTok (ในวิดีโอสั้น) ต่างบุกตลาดที่ Alphabet ครองอยู่