สมอง เป็นอวัยวะที่มีเซลล์ประสาทนับแสนล้านเซลล์ ซึ่งแต่ละเซลล์จะทำงานประสานกันโดยสื่อสารกันผ่านทางคลื่นไฟฟ้าสมอง หากคลื่นไฟฟ้าเกิดการทำงานที่ผิดปกติ สิ่งที่ตามมา คือ อาการชัก ซึ่งมักพบบ่อยในเด็ก และผู้สูงอายุ หากเกิดอาการชักในเด็กบ่อยครั้งอาจมีผลต่อพัฒนาการของเด็กได้ ผู้ปกครองและผู้ใกล้ชิดเมื่อพบว่าบุตรหลานของตนเองเกิดอาการชัก กระตุก หรือเกิดอาการวูบ เหม่อลอย เบลอ ควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและทำการรักษาไม่ให้กระทบต่อการเจริญเติบโตของเด็กนั่นเอง
โรคลมชักเกิดจากอะไร ?
โรคลมชัก (epilepsy) เกิดจากคลื่นไฟฟ้าในสมองส่วนกลางที่ควบคุมการทำงานของร่างกายเกิดความผิดปกติอย่างเฉียบพลัน ซึ่งคลื่นไฟฟ้าที่เกิดความผิดปกตินี้จะกระจายออกไปในบริเวณส่วนต่าง ๆ ของสมอง โดยอาการมักจะเกิดขึ้นได้ทั้งในขณะหลับ และขณะตื่น นอกจากนี้อาจเกิดจากพันธุกรรม หรือสมองติดเชื้อไวรัส และแบคทีเรีย โดยโรคนี้จะมีอาการที่แตกต่างกันไปตามความผิดปกติของส่วนสมอง ดังนี้
อาการชักที่มีเกิดขึ้นกับสมองทั้งสองซีก (Generalized Seizures) ได้แก่
-
ชักแบบเหม่อลอย (Absence Seizures) มักเกิดขึ้นในเด็ก โดยจะเกิดอาการเหม่อลอย อาจมีการกะพริบตา หรือขยับริมฝีปากเพียงเล็กน้อย ซึ่งอาจทำให้เกิดการเสียการรับรู้ในระยะสั้น ๆ ได้
-
ชักแบบชักเกร็ง (Tonic Seizures) เกิดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณหลัง แขน และขา
-
ชักแบบกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Atonic Seizures) เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงลง โดยจะไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อขณะเกิดอาการได้ อาจทำให้ผู้ป่วยหกล้มได้
-
ชักแบบชักกระตุก (Clonic Seizures) เกิดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่ผิดปกติ ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวซ้ำ ๆ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณคอ ใบหน้า และแขน
-
ชักแบบชักกระตุก และเกร็ง (Tonic-clonic Seizures) เกิดอาการกล้ามเนื้อเกร็งและกระตุกทำให้ผู้ป่วยล้ม และหมดสติได้ เมื่ออาการบรรเทาลง ผู้ป่วยอาจรู้สึกเหนื่อยหอบเนื่องจากอาการชักกระตุก
-
ชักแบบชักสะดุ้ง (Myoclonic Seizures) มักเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน โดยจะเกิดอาการชักกระตุกบริเวณแขนและขาคล้ายกับโดนไฟฟ้าช็อต
อาการชักที่เกิดขึ้นกับสมองเฉพาะบางส่วน (Partial หรือ Focal Seizures) ทำให้เกิดอาการชักที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเท่านั้น มี 2 ประเภท ได้แก่
-
ชักแบบรู้ตัว (Simple Focal Seizures) ผู้ป่วยยังมีสติครบถ้วน แต่จะมีความรู้สึกแปลก ๆ เช่น รู้สึกเหมือนเดจาวู ประสาทการรับกลิ่น หรือรับรสชาติแปลกไป รู้สึกชาที่แขน และขา เป็นต้น
-
ชักแบบไม่รู้ตัว (Complex Partial Seizures) ผู้ป่วยไม่รู้ตัว และไม่สามารถจดจำได้ว่าเกิดอาการขึ้นเมื่อใด โดยมีสัญญาณเตือน เช่น ถูมือ ทำเสียงแปลก ๆ หมุนแขนไปรอบ ๆ จับเสื้อผ้า เล่นกับสิ่งของในมือ อยู่ในท่าทางแปลก ๆ เป็นต้น
โรคลมชักจะเกิดขึ้นตอนไหน ?
โรคนี้เป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งขณะหลับ และขณะตื่น ซึ่งมักจะพบมากในช่วงที่มีปัจจัยกระตุ้น เช่น เป็นไข้สูง หรืออดนอนติดต่อกันเป็นเวลานาน เป็นต้น โดยอาการชักมักจะเกิดขึ้นใน 1-5 นาที หากมีอาการนานเกิน 5 นาที ควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล
การวินิจฉัยและการรักษาโรคลมชัก
แพทย์จะทำการเอกซเรย์สมองด้วยเครื่อง CT Scan เพื่อให้แพทย์เห็นภาพความผิดปกติของสมองที่อาจเป็นสาเหตุ หรือจุดกำเนิดของอาการชักได้ ส่วนวิธีการรักษาแพทย์จะให้ยากันชักเพื่อยับยั้งไม่ให้เกิดอาการชัก แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยรับประทานยาแล้วไม่ได้ผล แพทย์จะทำการผ่าตัดเพื่อผ่าเอาจุดกำเนิดของการเกิดโรคนี้ออก
การปฐมพยาบาลเมื่อคนใกล้ตัวเป็นโรคลมชัก
- จับผู้ป่วยนอนตะแคงหันศีรษะไปด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อป้องกันลิ้นตกไปอุดทางเดินหายใจ
- หากผู้ป่วยสวมแว่นตา หรือฟันปลอมควรถอดออกให้ผู้ป่วย
- ห้ามใช้นิ้ว หรือสิ่งแปลกปลอมใส่ในปากผู้ป่วยขณะชัก เพราะอาจเกิดอันตรายต่อผู้ป่วยและผู้ช่วยเหลือได้
- หลังเกิดอาการชัก ผู้ป่วยอาจหมดสติ ห้ามป้อนอาหาร หรือยาจนกว่าจะเป็นปกติ เพราะอาจเกิดอาการสำลัก
- ถ้าชักนานกว่าปกติ หรือผู้ป่วยหมดสติเป็นเวลานาน ควรนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
การดูแลตัวเองของผู้ป่วยโรคลมชัก
สามารถใช้หลักการทั้งดูแลตนเองทั่วไป ดังนี้
- รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ และห้ามหยุดยาด้วยตนเอง
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ พยายามไม่อดนอน และหลีกเลี่ยงความเครียด
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
- หากมีไข้สูง ควรรีบรักษาให้หายโดยเร็วที่สุด
- หลีกเลี่ยงการใช้ของมีคม หรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจเกิดอันตราย เมื่อมีอาการชักกำเริบ เช่น ขับรถ การปีนขึ้นที่สูง เป็นต้น
โรคลมชักเป็นโรคที่ควบคุมไม่ได้ หากผู้ป่วยมีอาการมากกว่า 4 ครั้งต่อเดือน ควรรีบพบแพทย์ เพราะมีความเสี่ยงที่จะชักต่อเนื่อง หรือชักจนเสียชีวิตได้
เรื่องน่ารู้ของโรคลมชัก (Epilepsy)
สมอง เป็นอวัยวะที่มีเซลล์ประสาทนับแสนล้านเซลล์ ซึ่งแต่ละเซลล์จะทำงานประสานกันโดยสื่อสารกันผ่านทางคลื่นไฟฟ้าสมอง หากคลื่นไฟฟ้าเกิดการทำงานที่ผิดปกติ สิ่งที่ตามมา คือ อาการชัก ซึ่งมักพบบ่อยในเด็ก และผู้สูงอายุ หากเกิดอาการชักในเด็กบ่อยครั้งอาจมีผลต่อพัฒนาการของเด็กได้ ผู้ปกครองและผู้ใกล้ชิดเมื่อพบว่าบุตรหลานของตนเองเกิดอาการชัก กระตุก หรือเกิดอาการวูบ เหม่อลอย เบลอ ควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและทำการรักษาไม่ให้กระทบต่อการเจริญเติบโตของเด็กนั่นเอง
โรคลมชักเกิดจากอะไร ?
โรคลมชัก (epilepsy) เกิดจากคลื่นไฟฟ้าในสมองส่วนกลางที่ควบคุมการทำงานของร่างกายเกิดความผิดปกติอย่างเฉียบพลัน ซึ่งคลื่นไฟฟ้าที่เกิดความผิดปกตินี้จะกระจายออกไปในบริเวณส่วนต่าง ๆ ของสมอง โดยอาการมักจะเกิดขึ้นได้ทั้งในขณะหลับ และขณะตื่น นอกจากนี้อาจเกิดจากพันธุกรรม หรือสมองติดเชื้อไวรัส และแบคทีเรีย โดยโรคนี้จะมีอาการที่แตกต่างกันไปตามความผิดปกติของส่วนสมอง ดังนี้
อาการชักที่มีเกิดขึ้นกับสมองทั้งสองซีก (Generalized Seizures) ได้แก่
- ชักแบบเหม่อลอย (Absence Seizures) มักเกิดขึ้นในเด็ก โดยจะเกิดอาการเหม่อลอย อาจมีการกะพริบตา หรือขยับริมฝีปากเพียงเล็กน้อย ซึ่งอาจทำให้เกิดการเสียการรับรู้ในระยะสั้น ๆ ได้
- ชักแบบชักเกร็ง (Tonic Seizures) เกิดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณหลัง แขน และขา
- ชักแบบกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Atonic Seizures) เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงลง โดยจะไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อขณะเกิดอาการได้ อาจทำให้ผู้ป่วยหกล้มได้
- ชักแบบชักกระตุก (Clonic Seizures) เกิดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่ผิดปกติ ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวซ้ำ ๆ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณคอ ใบหน้า และแขน
- ชักแบบชักกระตุก และเกร็ง (Tonic-clonic Seizures) เกิดอาการกล้ามเนื้อเกร็งและกระตุกทำให้ผู้ป่วยล้ม และหมดสติได้ เมื่ออาการบรรเทาลง ผู้ป่วยอาจรู้สึกเหนื่อยหอบเนื่องจากอาการชักกระตุก
- ชักแบบชักสะดุ้ง (Myoclonic Seizures) มักเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน โดยจะเกิดอาการชักกระตุกบริเวณแขนและขาคล้ายกับโดนไฟฟ้าช็อต
อาการชักที่เกิดขึ้นกับสมองเฉพาะบางส่วน (Partial หรือ Focal Seizures) ทำให้เกิดอาการชักที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเท่านั้น มี 2 ประเภท ได้แก่
- ชักแบบรู้ตัว (Simple Focal Seizures) ผู้ป่วยยังมีสติครบถ้วน แต่จะมีความรู้สึกแปลก ๆ เช่น รู้สึกเหมือนเดจาวู ประสาทการรับกลิ่น หรือรับรสชาติแปลกไป รู้สึกชาที่แขน และขา เป็นต้น
- ชักแบบไม่รู้ตัว (Complex Partial Seizures) ผู้ป่วยไม่รู้ตัว และไม่สามารถจดจำได้ว่าเกิดอาการขึ้นเมื่อใด โดยมีสัญญาณเตือน เช่น ถูมือ ทำเสียงแปลก ๆ หมุนแขนไปรอบ ๆ จับเสื้อผ้า เล่นกับสิ่งของในมือ อยู่ในท่าทางแปลก ๆ เป็นต้น
โรคลมชักจะเกิดขึ้นตอนไหน ?
โรคนี้เป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งขณะหลับ และขณะตื่น ซึ่งมักจะพบมากในช่วงที่มีปัจจัยกระตุ้น เช่น เป็นไข้สูง หรืออดนอนติดต่อกันเป็นเวลานาน เป็นต้น โดยอาการชักมักจะเกิดขึ้นใน 1-5 นาที หากมีอาการนานเกิน 5 นาที ควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล
การวินิจฉัยและการรักษาโรคลมชัก
แพทย์จะทำการเอกซเรย์สมองด้วยเครื่อง CT Scan เพื่อให้แพทย์เห็นภาพความผิดปกติของสมองที่อาจเป็นสาเหตุ หรือจุดกำเนิดของอาการชักได้ ส่วนวิธีการรักษาแพทย์จะให้ยากันชักเพื่อยับยั้งไม่ให้เกิดอาการชัก แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยรับประทานยาแล้วไม่ได้ผล แพทย์จะทำการผ่าตัดเพื่อผ่าเอาจุดกำเนิดของการเกิดโรคนี้ออก
การปฐมพยาบาลเมื่อคนใกล้ตัวเป็นโรคลมชัก
- จับผู้ป่วยนอนตะแคงหันศีรษะไปด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อป้องกันลิ้นตกไปอุดทางเดินหายใจ
- หากผู้ป่วยสวมแว่นตา หรือฟันปลอมควรถอดออกให้ผู้ป่วย
- ห้ามใช้นิ้ว หรือสิ่งแปลกปลอมใส่ในปากผู้ป่วยขณะชัก เพราะอาจเกิดอันตรายต่อผู้ป่วยและผู้ช่วยเหลือได้
- หลังเกิดอาการชัก ผู้ป่วยอาจหมดสติ ห้ามป้อนอาหาร หรือยาจนกว่าจะเป็นปกติ เพราะอาจเกิดอาการสำลัก
- ถ้าชักนานกว่าปกติ หรือผู้ป่วยหมดสติเป็นเวลานาน ควรนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
การดูแลตัวเองของผู้ป่วยโรคลมชัก
สามารถใช้หลักการทั้งดูแลตนเองทั่วไป ดังนี้
- รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ และห้ามหยุดยาด้วยตนเอง
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ พยายามไม่อดนอน และหลีกเลี่ยงความเครียด
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
- หากมีไข้สูง ควรรีบรักษาให้หายโดยเร็วที่สุด
- หลีกเลี่ยงการใช้ของมีคม หรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจเกิดอันตราย เมื่อมีอาการชักกำเริบ เช่น ขับรถ การปีนขึ้นที่สูง เป็นต้น
โรคลมชักเป็นโรคที่ควบคุมไม่ได้ หากผู้ป่วยมีอาการมากกว่า 4 ครั้งต่อเดือน ควรรีบพบแพทย์ เพราะมีความเสี่ยงที่จะชักต่อเนื่อง หรือชักจนเสียชีวิตได้