JJNY : ปชช.ส่วนใหญ่ไว้ใจกองทัพ│‘ชายแดนไทย-กัมพูชา’ ตัวแปร ‘เขย่ารบ.’│‘ฮุน มาเนต’โพสต์ถือฤกษ์ดี│ไทยตอนบนและใต้ยังมีฝนหนัก

นิด้าโพลเผย ปชช.ส่วนใหญ่ไว้ใจกองทัพว่าปกป้องผลประโยชน์ชาติได้ จากกรณีขัดแย้งไทย-กัมพูชา https://www.matichon.co.th/politics/news_5231541
.
.
นิด้าโพลเผย ปชช.ส่วนใหญ่ ไว้ใจกองทัพว่าปกป้องผลประโยชน์ชาติได้ จากกรณีขัดแย้งไทย-กัมพูชา
.
เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง “ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 9-11 มิถุนายน 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความไว้วางใจและความพอใจต่อบทบาทของภาคส่วนต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 0.05 ที่ระดับความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0
.
จากการสำรวจเมื่อถามถึงความไว้วางใจต่อภาคส่วนต่าง ๆ ว่าจะสามารถปกป้องผลประโยชน์ของชาติได้ จากกรณีความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา พบว่า
กองทัพ ตัวอย่าง ร้อยละ 62.52 ระบุว่า ไว้วางใจมาก รองลงมา ร้อยละ 23.74 ระบุว่า ค่อนข้างไว้วางใจ ร้อยละ 8.85 ระบุว่า ไม่ค่อยไว้วางใจ และร้อยละ 4.89 ระบุว่า ไม่ไว้วางใจเลย
.
รัฐบาลไทย ตัวอย่าง ร้อยละ 37.48 ระบุว่า ไม่ไว้วางใจเลย รองลงมา ร้อยละ 31.68 ระบุว่า ไม่ค่อยไว้วางใจ ร้อยละ 18.85 ระบุว่า ค่อนข้างไว้วางใจ และร้อยละ 11.99 ระบุว่า ไว้วางใจมาก
.
กระทรวงการต่างประเทศ ตัวอย่าง ร้อยละ 35.42 ระบุว่า ไม่ค่อยไว้วางใจ รองลงมา ร้อยละ 30.76 ระบุว่า ไม่ไว้วางใจเลย ร้อยละ 22.90 ระบุว่า ค่อนข้างไว้วางใจ ร้อยละ 10.46 ระบุว่า ไว้วางใจมาก และร้อยละ 0.46 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
.
ด้านความพอใจต่อบทบาทของภาคส่วนต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา พบว่า
กองทัพ ตัวอย่าง ร้อยละ 61.76 ระบุว่า พอใจมาก รองลงมา ร้อยละ 23.97 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 10.30 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ และร้อยละ 3.97 ระบุว่า ไม่พอใจเลย
.
รัฐบาลไทย ตัวอย่าง ร้อยละ 37.94 ระบุว่า ไม่พอใจเลย รองลงมา ร้อยละ 30.99 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 20.76 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ และร้อยละ 10.31 ระบุว่า พอใจมาก
.
กระทรวงการต่างประเทศ ตัวอย่าง ร้อยละ 35.73 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.00 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 24.96 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ และร้อยละ 10.31 ระบุว่า พอใจมาก
.
สำหรับการสนับสนุนข้อความในเพลงชาติไทยที่ว่า “ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด” พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 69.39 ระบุว่า สนับสนุนมาก รองลงมา ร้อยละ 19.24 ระบุว่า ค่อนข้างสนับสนุน ร้อยละ 7.02 ระบุว่า ไม่ค่อยสนับสนุน ร้อยละ 3.05 ระบุว่า ไม่สนับสนุนเลย และร้อยละ 1.30 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงการมีแนวคิดความเป็น “ชาตินิยม” ของประชาชน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 48.24 ระบุว่ามีความเป็น “ชาตินิยม” มาก รองลงมา ร้อยละ 31.60 ระบุว่า ความเป็น “ชาตินิยม” ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ร้อยละ 14.20 ระบุว่า ค่อนข้างมีความเป็น “ชาตินิยม” ร้อยละ 3.67 ระบุว่า ไม่ค่อยมีความเป็น “ชาตินิยม” และร้อยละ 2.29 ระบุว่า ไม่มีความเป็น “ชาตินิยม” เลย

เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 8.55 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 18.70 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 17.79 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.28 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.82 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.86 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก โดยตัวอย่าง ร้อยละ 47.94 เป็นเพศชาย และร้อยละ 52.06 เป็นเพศหญิง
.
ตัวอย่าง ร้อยละ 12.13 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 17.79 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 17.94 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 26.34 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 25.80 อายุ 60 ปีขึ้นไป โดยตัวอย่าง ร้อยละ 96.56 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 2.60 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 0.84 นับถือศาสนาคริสต์ และศาสนาอื่น ๆ
ตัวอย่าง ร้อยละ 34.27 สถานภาพโสด ร้อยละ 63.28 สมรส และร้อยละ 2.45 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ โดยตัวอย่าง ร้อยละ 0.30 ไม่ได้รับการศึกษา ร้อยละ 14.66 จบการศึกษาประถมศึกษา ร้อยละ 38.32 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 10.46 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 31.60 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 4.66 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี
.
ตัวอย่าง ร้อยละ 9.92 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 17.48 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 22.37 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 11.00 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 13.05 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 19.31 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 6.87 เป็นนักเรียน/นักศึกษา
.
ตัวอย่าง ร้อยละ 20.76 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 2.99 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 5,000 บาท ร้อยละ 15.11 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 5,001-10,000 บาท ร้อยละ 31.45 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 11.98 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 6.18 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 2.60 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001-50,000 บาท ร้อยละ 1.68 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 50,001-60,000 บาท ร้อยละ 0.53 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 60,001-70,000 บาท และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 80,001 บาทขึ้นไป ในสัดส่วนที่เท่ากัน ร้อยละ 0.08 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 70,001-80,000 บาท และร้อยละ 6.11 ไม่ระบุรายได้
.

.
ด่วน! สวนดุสิตโพลชี้ ‘ชายแดนไทย-กัมพูชา’ ตัวแปรสำคัญ ‘เขย่ารัฐบาล’
https://www.dailynews.co.th/news/4815833/
.
สวนดุสิตโพล เผยผลสำรวจความเห็นประชาชน ห่วงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชามากสุด ชี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเสถียรภาพของรัฐบาลไทย
.
เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ “เรื่องที่ส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล” กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 1,146 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 10-13 มิถุนายน 2568 พบว่า ข่าวที่คนสนใจมากที่สุดในช่วงนี้ คือ สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ร้อยละ 40.97 เนื่องจากเป็นข่าวที่มีผลกระทบต่อประเทศโดยตรง กังวลว่าจะเกิดสงคราม เป็นห่วงความปลอดภัยของทหารและประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดน ฯลฯ รองลงมาคือเรื่องการปรับ ครม. ร้อยละ 17.05 โดยเรื่องที่คิดว่าจะส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลมากที่สุด คือ สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ร้อยละ 42.70 รองลงมาคือ การปรับ ครม. ร้อยละ 30.51 และแจกเงิน 10,000 บาท ร้อยละ 10.98
.
น.ส.พรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า ผลโพลสะท้อนว่าความสนใจของประชาชนครอบคลุมทั้งความมั่นคง เศรษฐกิจ การเมือง และสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันประชาชนยังจับตาการปรับ ครม. และนโยบายแจกเงิน ซึ่งส่งผลต่อทั้งความเป็นอยู่และความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลอย่างมีนัยสำคัญ โดยเรื่องสถานการณ์ชายแดนและการจัดทัพภายในรัฐบาลเป็นปัจจัยชี้วัดเสถียรภาพในสายตาประชาชน หากไม่สามารถคลี่คลายความขัดแย้งก็อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองได้
.
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ภาวินี รอดประเสริฐ โรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวว่า เรื่องร้อนแรงที่คนไทยทั้งประเทศให้ความสนใจมาเป็นอันดับหนึ่ง ไม่พ้นสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนอกจากจะห่วงเรื่องของภาวะสงคราม และความปลอดภัยทั้งของทหารและประชาชนตามแนวชายแดนแล้ว ก็น่าจะเป็นผลมาจากท่าทีของรัฐบาลไทยที่ตอบโต้ทางกัมพูชาอย่างไม่เป็นที่น่าพอใจของประชาชน และท่าทีการตอบโต้เป็นไปในลักษณะประนีประนอมกับกัมพูชามากไป ไม่มีวิธีการตอบโต้ที่เด็ดขาด จึงทำให้ประชาชนหันมาสนใจในประเด็นนี้จำนวนมาก เกิดกระแสรักชาติ และความสามัคคีช่วยเหลือสนับสนุนทหารตามแนวชายแดน เพราะสามารถทำให้ประชาชนเชื่อมั่นกับการปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาอธิปไตยของประเทศได้ จากประเด็นการทำหน้าที่ของฝ่ายรัฐบาลในสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา
.
สรุปวิเคราะห์ผลโพล : เรื่องที่ส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล และการดำเนินนโยบายแจกเงินหมื่นที่ล่าช้าทำให้รัฐมนตรีบางกระทรวงไม่เป็นที่นิยม ถูกวิพากษ์วิจารณ์และเกิดกระแสต่อต้านจากประชาชน ผลจากหลายเรื่องดังกล่าว
.
จึงเป็นที่น่าจับตามองว่าหลังการปรับคณะรัฐมนตรี รัฐบาลจะมีวิธีการใดที่จะเรียกกระแสความนิยม และความเชื่อมั่นจากประชาชนคืนกลับมา
.

.
‘ฮุน มาเนต’ โพสต์ ถือฤกษ์ดี 15 มิ.ย. วันชนะคดีพระวิหาร ยื่นศาลโลกแก้ข้อพิพาทไทย
.
‘ฮุน มาเนต’ โพสต์ ถือฤกษ์ดี 15 มิ.ย. วันชนะคดีพระวิหาร ยื่นศาลโลกแก้ข้อพิพาทไทย
.
เมื่อช่วงเช้าวันที่ 15 มิถุนายน สมเด็จฯ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก Samdech Thipadei Hun Manet, Prime Minister of Cambodia แจ้งว่า กัมพูชา ได้ยื่นเรื่องไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เพื่อหาทางออกปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาแล้ว เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2025 ซึ่งเป็นวันเดียวกับเมื่อ 63 ปี ที่แล้ว ที่กัมพูชา ชนะคดีปราสาทพระวิหาร โดยบนเฟซบุ๊ก เขียนเป็นภาษากัมพูชา พร้อมกับโพสต์ภาพของนายปรัก สุคน รองนายกฯและ รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ที่ถือจดหมายที่กัมพูชา ยื่นต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
.
ข้อความบนเฟซบุ๊ก ระบุว่า
.
กัมพูชาเลือกกฎหมายระหว่างประเทศและสันติภาพ
.
วันนี้ 15 มิถุนายน 2025 รัฐบาลกัมพูชาได้ส่งหนังสือทางการไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพื่อช่วยหาทางออกปัญหาพัฒนาชายแดน คือ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และช่องบก หรือมุมไบ
.
บังเอิญที่เมื่อ 63 ปีที่แล้วในวันที่ 15 มิถุนายน 1962 เป็นวันประวัติศาสตร์เมื่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ตัดสินว่ากัมพูชาชนะประเด็นวัดพระวิหาร
แม้ว่าทั้งสองเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นห่างกัน 63 ปี แต่มันก็เป็นความจริงที่จิตวิญญาณและวัตถุประสงค์เดียวกัน กัมพูชาเลือกที่จะตั้งถิ่นฐานอย่างสงบสุขบนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศผ่านกลไกศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ICJ สําหรับการแก้ไขปัญหาชายแดนในพื้นที่ที่มีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูง ของความขัดแย้งติดอาวุธ ซึ่งกลไกทวิภาคีไม่สามารถแก้ไขได้ทั้งหมด เช่นเดียวกับในเขตวัดพระวิหาร เมื่อ 60 ปีก่อน และบริเวณปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และช่องบก หรือมุมไบ วันนี้
.
กัมพูชาต้องการความยุติธรรม ยุติธรรม ชัดเจนเท่านั้น ที่จะกำหนดแนวชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อลูกหลานจะได้ไม่ประสบปัญหาด้วยกันไม่สิ้นสุด
ขอความกรุณา เพื่อนร่วมชาติทุกท่าน เชื่อมั่นในรัฐบาลในการทำงานนี้ด้วยความเต็มใจและรับผิดชอบอย่างยิ่ง เพื่อปกป้องความมั่นคงของแผ่นดิน และประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชนชาวกัมพูชา
.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่