ไลฟ์สไตล์แบบ NEET ไม่ทำงาน ไม่เรียนหนังสือ ไม่ฝึกอบรม เป็นไลฟ์สไตล์ที่กำลังเพิ่มขึ้นในวัยรุ่นทั่วโลก โดยมีหลากหลายสาเหตุ ตั้งแต่ข้อจำกัดทางเพศในการเข้าถึงการศึกษา ค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตในเมือง ความกดดันจากการทำงาน ไปจนถึงปัญหาสุขภาพจิต
ต้นกำเนิดจากสหราชอาณาจักร
NEET เป็นคำที่มีต้นกำเนิดจากสหราชอาณาจักรในช่วงทศวรรษ 1980 โดยนักวิจัยใช้คำนี้เพื่อระบุเยาวชนที่ไม่อยู่ในระบบการศึกษา ไม่อยู่ในระบบการจ้างงาน หรือการฝึกอาชีพ
ต่อมาในปี 2010 คณะกรรมาธิการด้านการจ้างงานของสหภาพยุโรปนำคำนี้มาใช้เป็นดัชนีชี้วัดแนวโน้ม ซึ่งทำให้คำว่า NEET กลายเป็นส่วนหนึ่งของการถกเถียงสาธารณะ
กลุ่ม NEET ครอบคลุมทั้งคนที่กำลังหางานแต่ยังไม่เจอ รวมถึงคนที่เลิกหางานไปแล้ว
ตามข้อมูลจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) 21.7% ของเยาวชนอายุ 15–24 ปีทั่วโลกในปี 2023 ถูกจัดว่าเป็น NEET
NEET ย่อมาจาก Not in Employment, Education or Training หรือ ไม่มีงานทำ ไม่เรียนหนังสือ ไม่ฝึกอบรม
ทำไมเยาวชนจึงกลายเป็น NEET?
มีหลากหลายสาเหตุ ตั้งแต่ข้อจำกัดทางเพศในการเข้าถึงการศึกษา ค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตในเมือง ความกดดันจากการทำงาน ไปจนถึงปัญหาสุขภาพจิต
เว็บไซต์ Vice สัมภาษณ์เยาวชน NEET หลายคน ผู้ให้สัมภาษณ์คนหนึ่งบอกว่า”หลังเรียนจบมัธยม เริ่มฝึกงานที่คลังสินค้าของบริษัทผลิตรถยนต์ แต่งานแย่มากจนต้องลาออก เพราะไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนมนุษย์เลย แต่ถูกปฏิบัติเหมือนเป็นสิ่งของที่ไม่มีชีวิตจิตใจ ที่หากวันหนึ่งใช้งานไม่ได้ เขาก็พร้อมจะเปลี่ยนได้ตลอดเวลา”
รายงานในปี 2024 จากสหราชอาณาจักรระบุว่า มีเยาวชนจำนวนมากที่ อยากทำงานแต่ไม่สามารถทำได้ เพราะเหตุผลทางสุขภาพหรือการเงิน ซึ่งเป็นการโต้แย้งมุมมองที่ว่าเยาวชนที่ไม่มีงานทำนั้นล้วนเป็นคน “ขี้เกียจ” หรือ “ไม่อยากทำงาน”
แต่ 1 ใน 4 ของผู้ตอบแบบสอบถาม NEET ระบุว่า สาเหตุที่พวกเขาไม่ทำงาน ไม่ใช่เพราะขี้เกียจ แต่เป็นเพราะปัญหาสุขภาพจิตทำให้ไม่สามารถทำงานได้ โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 21% บอกว่าสุขภาพจิตแย่ลงในช่วงปีที่ผ่านมา
ปัญหาทางการเงิน ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง การที่คนรุ่นใหม่ ไม่อยากเรียนหนังสือ เพราะการศึกษาอาจมีค่าใช้จ่ายสูงเกินเอื้อม และถึงแม้เรียนจบแล้ว บางคนก็ยังเข้าไม่ถึงการทำงานเพราะค่าครองชีพในเมืองสูง
◾️◾️◾️
🔴 ประเทศรายได้ต่ำและปานกลาง อัตรา NEET สูง
ตามข้อมูลจากองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ระบุว่า แอฟริกาใต้ ตุรกี และโคลอมเบีย มีอัตรา NEET สูงสุด ขณะที่เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ และไอซ์แลนด์ มีอัตรา NEET ต่ำสุด
กรณีของแอฟริกาใต้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมาก โดยในปี 2022 ประเทศมี เยาวชน NEET สูงถึง 42% อัตราการว่างงานโดยรวมเกือบ 30% รายได้ครัวเรือนเฉลี่ยปีละเพียง 9,338 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3 แสนบาท ซึ่งน้อยกว่าหนึ่งในสามของค่าเฉลี่ยโลก
กลุ่มเยาวชน NEET ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ยากจน โดยเฉพาะชุมชนคนผิวดำในเขตเมืองและชนบท
รัฐบาลแอฟริกาใต้ระบุว่า เยาวชน NEET ส่วนใหญ่มีการศึกษาระดับมัธยมปลายหรือต่ำกว่า จึงจำเป็นต้องมีโครงการฝึกอาชีพและการศึกษาทางเลือก ซึ่งจำนวนเยาวชน NEET ที่เพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ทางสังคมที่อาจนำไปสู่ความไม่สงบ และต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน”
มาที่เนเธอร์แลนด์ ทำไมเนเธอร์แลนด์ถึงมีอัตรา NEET ต่ำ OECD ระบุว่า อัตรา NEET ของเนเธอร์แลนด์อยู่ที่เพียง 4.5% เท่านั้น ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐด้านการศึกษา วัฒนธรรม สังคม และแรงงาน มีส่วนช่วยลดอัตรา NEET ลง 1% ระหว่างปี 2014-2020 อีกปัจจัยสำคัญคือ ระบบการศึกษาของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเน้นการคัดแยกนักเรียนตามศักยภาพและเตรียมทักษะตรงกับตลาดแรงงาน แต่ระบบนี้ก็มีข้อจำกัด คือ หากนักเรียนไม่ได้งานตามสายที่เรียนมา จะถูกมองว่า “ไม่เหมาะสมกับตลาดแรงงาน” ทำให้เยาวชนผู้อพยพอาจเข้าไม่ถึงโอกาสเช่นเดียวกัน
เกาหลีใต้มีหนุ่มสาว 590,000 คนไม่ทำงานและไม่หางาน
รายงานล่าสุดจากสำนักงานข้อมูลการจ้างงานเกาหลี เปิดเผยว่า ในปี 2024 มีหนุ่มสาวเกาหลีอายุระหว่าง 15-34 ปี จำนวน 590,000 คน ที่อยู่ในสถานะ “ไม่ทำงานและไม่หางาน” (Economically Inactive) เพิ่มขึ้นถึง 197,000 คน เมื่อเทียบกับปี 2019
กลุ่มคนเหล่านี้เป็นผู้ที่หยุดหางาน ภายใน 1-3 ปีหลังจากสำเร็จการฝึกอบรมอาชีพหรือรับสิทธิประโยชน์เพื่อหางาน โดยผลสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 3,189 คน ที่ตอบว่า “หยุดพัก” จากการหางานในรอบปีที่ผ่านมา พบว่าโดยเฉลี่ยแล้ว พวกเขาว่างงานนานเกือบ 2 ปี เหตุผลหลักคือ "ไม่อยากทำงาน"
ช่วงเวลาการหยุดหางานเฉลี่ยอยู่ที่ 22.7 เดือน โดยเหตุผลสำคัญ คือ ไม่อยากหางานเลย 38.1% มุ่งเน้นการเรียนหรือพัฒนาตนเอง 35% ภาวะหมดไฟ (burnout) 27.2% ปัญหาทางจิตใจ 25%
กลุ่มผู้จบมหาวิทยาลัยที่ไม่หางาน ก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ:
กลุ่มอายุน้อยจาก 19.4% เพิ่มเป็น 23.7%, กลุ่มอายุมากจาก 54.3% เพิ่มเป็น 58.8%
สาเหตุหนึ่งมาจาก “งานไม่ตรงกับวุฒิการศึกษา” รายงานระบุว่า เกิดภาวะไม่ตรงกันระหว่างทักษะกับงาน (Job Mismatch) เพราะงานที่เหมาะสมกับระดับการศึกษาของคนรุ่นใหม่มีน้อย
การมีไลฟ์สไตล์แบบ NEET ส่งผลกระทบอะไรต่อสังคมและต่อโลกบ้าง?
อัตรา NEET ที่สูงส่งผลกระทบหลายด้าน อาจสะท้อนความเหลื่อมล้ำและความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ในบางประเทศกำลังพัฒนา หากมีเยาวชนว่างงานมากเกินไป ก็มีความเสี่ยงที่เยาวชนกลุ่มนี้จะออกมาก่อความไม่สงบและการเคลื่อนไหวทางการเมืองได้
ส่วนในระดับบุคคล 50% ของเยาวชน NEET ในสหราชอาณาจักรรู้สึก “สิ้นหวังกับอนาคต" งานวิจัยพบว่าการเป็น NEET เชื่อมโยงกับภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล การใช้สารเสพติด และความคิดฆ่าตัวตาย
โจนาธาน ทาวน์เซนด์ ผู้บริหารมูลนิธิ Prince’s Trust กล่าวไว้ในรายงานปี 2024 ว่า เยาวชนกำลังติดอยู่ในวงจรอุบาทว์ สุขภาพจิตที่ย่ำแย่ส่งผลต่อการทำงาน และการว่างงานก็ยิ่งทำให้สุขภาพจิตแย่ลง เป็นกับดักที่น่ากังวลอย่างยิ่ง เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องใหญ่ที่มองข้ามไม่ได้
เครดิต สำนักข่าว tnn
NEET ไลฟ์สไตล์ใหม่ล่าสุด ไม่อยากทำอะไรเลย เกิดขึ้นกับคนรุ่นใหม่ทั่วโลก
ต้นกำเนิดจากสหราชอาณาจักร
NEET เป็นคำที่มีต้นกำเนิดจากสหราชอาณาจักรในช่วงทศวรรษ 1980 โดยนักวิจัยใช้คำนี้เพื่อระบุเยาวชนที่ไม่อยู่ในระบบการศึกษา ไม่อยู่ในระบบการจ้างงาน หรือการฝึกอาชีพ
ต่อมาในปี 2010 คณะกรรมาธิการด้านการจ้างงานของสหภาพยุโรปนำคำนี้มาใช้เป็นดัชนีชี้วัดแนวโน้ม ซึ่งทำให้คำว่า NEET กลายเป็นส่วนหนึ่งของการถกเถียงสาธารณะ
กลุ่ม NEET ครอบคลุมทั้งคนที่กำลังหางานแต่ยังไม่เจอ รวมถึงคนที่เลิกหางานไปแล้ว
ตามข้อมูลจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) 21.7% ของเยาวชนอายุ 15–24 ปีทั่วโลกในปี 2023 ถูกจัดว่าเป็น NEET
NEET ย่อมาจาก Not in Employment, Education or Training หรือ ไม่มีงานทำ ไม่เรียนหนังสือ ไม่ฝึกอบรม
ทำไมเยาวชนจึงกลายเป็น NEET?
มีหลากหลายสาเหตุ ตั้งแต่ข้อจำกัดทางเพศในการเข้าถึงการศึกษา ค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตในเมือง ความกดดันจากการทำงาน ไปจนถึงปัญหาสุขภาพจิต
เว็บไซต์ Vice สัมภาษณ์เยาวชน NEET หลายคน ผู้ให้สัมภาษณ์คนหนึ่งบอกว่า”หลังเรียนจบมัธยม เริ่มฝึกงานที่คลังสินค้าของบริษัทผลิตรถยนต์ แต่งานแย่มากจนต้องลาออก เพราะไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนมนุษย์เลย แต่ถูกปฏิบัติเหมือนเป็นสิ่งของที่ไม่มีชีวิตจิตใจ ที่หากวันหนึ่งใช้งานไม่ได้ เขาก็พร้อมจะเปลี่ยนได้ตลอดเวลา”
รายงานในปี 2024 จากสหราชอาณาจักรระบุว่า มีเยาวชนจำนวนมากที่ อยากทำงานแต่ไม่สามารถทำได้ เพราะเหตุผลทางสุขภาพหรือการเงิน ซึ่งเป็นการโต้แย้งมุมมองที่ว่าเยาวชนที่ไม่มีงานทำนั้นล้วนเป็นคน “ขี้เกียจ” หรือ “ไม่อยากทำงาน”
แต่ 1 ใน 4 ของผู้ตอบแบบสอบถาม NEET ระบุว่า สาเหตุที่พวกเขาไม่ทำงาน ไม่ใช่เพราะขี้เกียจ แต่เป็นเพราะปัญหาสุขภาพจิตทำให้ไม่สามารถทำงานได้ โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 21% บอกว่าสุขภาพจิตแย่ลงในช่วงปีที่ผ่านมา
ปัญหาทางการเงิน ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง การที่คนรุ่นใหม่ ไม่อยากเรียนหนังสือ เพราะการศึกษาอาจมีค่าใช้จ่ายสูงเกินเอื้อม และถึงแม้เรียนจบแล้ว บางคนก็ยังเข้าไม่ถึงการทำงานเพราะค่าครองชีพในเมืองสูง
◾️◾️◾️
🔴 ประเทศรายได้ต่ำและปานกลาง อัตรา NEET สูง
ตามข้อมูลจากองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ระบุว่า แอฟริกาใต้ ตุรกี และโคลอมเบีย มีอัตรา NEET สูงสุด ขณะที่เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ และไอซ์แลนด์ มีอัตรา NEET ต่ำสุด
กรณีของแอฟริกาใต้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมาก โดยในปี 2022 ประเทศมี เยาวชน NEET สูงถึง 42% อัตราการว่างงานโดยรวมเกือบ 30% รายได้ครัวเรือนเฉลี่ยปีละเพียง 9,338 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3 แสนบาท ซึ่งน้อยกว่าหนึ่งในสามของค่าเฉลี่ยโลก
กลุ่มเยาวชน NEET ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ยากจน โดยเฉพาะชุมชนคนผิวดำในเขตเมืองและชนบท
รัฐบาลแอฟริกาใต้ระบุว่า เยาวชน NEET ส่วนใหญ่มีการศึกษาระดับมัธยมปลายหรือต่ำกว่า จึงจำเป็นต้องมีโครงการฝึกอาชีพและการศึกษาทางเลือก ซึ่งจำนวนเยาวชน NEET ที่เพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ทางสังคมที่อาจนำไปสู่ความไม่สงบ และต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน”
มาที่เนเธอร์แลนด์ ทำไมเนเธอร์แลนด์ถึงมีอัตรา NEET ต่ำ OECD ระบุว่า อัตรา NEET ของเนเธอร์แลนด์อยู่ที่เพียง 4.5% เท่านั้น ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐด้านการศึกษา วัฒนธรรม สังคม และแรงงาน มีส่วนช่วยลดอัตรา NEET ลง 1% ระหว่างปี 2014-2020 อีกปัจจัยสำคัญคือ ระบบการศึกษาของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเน้นการคัดแยกนักเรียนตามศักยภาพและเตรียมทักษะตรงกับตลาดแรงงาน แต่ระบบนี้ก็มีข้อจำกัด คือ หากนักเรียนไม่ได้งานตามสายที่เรียนมา จะถูกมองว่า “ไม่เหมาะสมกับตลาดแรงงาน” ทำให้เยาวชนผู้อพยพอาจเข้าไม่ถึงโอกาสเช่นเดียวกัน
เกาหลีใต้มีหนุ่มสาว 590,000 คนไม่ทำงานและไม่หางาน
รายงานล่าสุดจากสำนักงานข้อมูลการจ้างงานเกาหลี เปิดเผยว่า ในปี 2024 มีหนุ่มสาวเกาหลีอายุระหว่าง 15-34 ปี จำนวน 590,000 คน ที่อยู่ในสถานะ “ไม่ทำงานและไม่หางาน” (Economically Inactive) เพิ่มขึ้นถึง 197,000 คน เมื่อเทียบกับปี 2019
กลุ่มคนเหล่านี้เป็นผู้ที่หยุดหางาน ภายใน 1-3 ปีหลังจากสำเร็จการฝึกอบรมอาชีพหรือรับสิทธิประโยชน์เพื่อหางาน โดยผลสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 3,189 คน ที่ตอบว่า “หยุดพัก” จากการหางานในรอบปีที่ผ่านมา พบว่าโดยเฉลี่ยแล้ว พวกเขาว่างงานนานเกือบ 2 ปี เหตุผลหลักคือ "ไม่อยากทำงาน"
ช่วงเวลาการหยุดหางานเฉลี่ยอยู่ที่ 22.7 เดือน โดยเหตุผลสำคัญ คือ ไม่อยากหางานเลย 38.1% มุ่งเน้นการเรียนหรือพัฒนาตนเอง 35% ภาวะหมดไฟ (burnout) 27.2% ปัญหาทางจิตใจ 25%
กลุ่มผู้จบมหาวิทยาลัยที่ไม่หางาน ก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ:
กลุ่มอายุน้อยจาก 19.4% เพิ่มเป็น 23.7%, กลุ่มอายุมากจาก 54.3% เพิ่มเป็น 58.8%
สาเหตุหนึ่งมาจาก “งานไม่ตรงกับวุฒิการศึกษา” รายงานระบุว่า เกิดภาวะไม่ตรงกันระหว่างทักษะกับงาน (Job Mismatch) เพราะงานที่เหมาะสมกับระดับการศึกษาของคนรุ่นใหม่มีน้อย
การมีไลฟ์สไตล์แบบ NEET ส่งผลกระทบอะไรต่อสังคมและต่อโลกบ้าง?
อัตรา NEET ที่สูงส่งผลกระทบหลายด้าน อาจสะท้อนความเหลื่อมล้ำและความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ในบางประเทศกำลังพัฒนา หากมีเยาวชนว่างงานมากเกินไป ก็มีความเสี่ยงที่เยาวชนกลุ่มนี้จะออกมาก่อความไม่สงบและการเคลื่อนไหวทางการเมืองได้
ส่วนในระดับบุคคล 50% ของเยาวชน NEET ในสหราชอาณาจักรรู้สึก “สิ้นหวังกับอนาคต" งานวิจัยพบว่าการเป็น NEET เชื่อมโยงกับภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล การใช้สารเสพติด และความคิดฆ่าตัวตาย
โจนาธาน ทาวน์เซนด์ ผู้บริหารมูลนิธิ Prince’s Trust กล่าวไว้ในรายงานปี 2024 ว่า เยาวชนกำลังติดอยู่ในวงจรอุบาทว์ สุขภาพจิตที่ย่ำแย่ส่งผลต่อการทำงาน และการว่างงานก็ยิ่งทำให้สุขภาพจิตแย่ลง เป็นกับดักที่น่ากังวลอย่างยิ่ง เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องใหญ่ที่มองข้ามไม่ได้
เครดิต สำนักข่าว tnn