สถานที่ทำงาน คือที่ที่เราอยู่กับมันนานกว่าอยู่ที่บ้านซะอีก ว่ากันว่าเหนื่อยงาน ไม่เท่ากับเหนื่อยคนและสภาพแวดล้อม บางสถานการณ์ที่เจอในแต่ละวันนั้น ทำให้หมดพลังกายและใจได้เลยเป็นสัปดาห์ วันนี้เราแค่อยากมาระบายค่ะ
1. เราเลือกที่จะอยู่คนเดียว ดีกว่ารายล้อมด้วยผู้คนที่หาความจริงใจได้ยาก
- เกิดจากการที่เราเองเคยอยู่ในสังคมกลุ่มใหญ่ แต่ยิ่งอยู่ก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ได้อะไรนอกจากการนินทา รวมกลุ่มเพื่อเล่นเกมการเมืองในการทำงาน เราไม่อยากทนฟังหรือทำเป็นเห็นด้วยกับสิ่งที่เราไม่เห็นด้วย ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง เราเบื่อการผูกมิตรแบบนี้ เมื่อเราเฟดตัวออกมา หลายคนกลับมองว่าเราแปลก ไม่มีคนคบ เพียงเพราะเราไม่ได้ไหลไปตามคนหมู่มากอย่างงั้นหรอคะ พลังงานเราไม่ตรงกันเราจำเป็นต้องฝืนเข้ากลุ่มเพียงเพราะไม่อยากดูแปลกด้วยหรอ
2. เมื่อก่อนเราเป็นคนที่ใส่ใจความรู้สึกทุกคน แต่พอเราเดือดร้อน กลับไม่มีใครใส่ใจความรู้สึกเราจริงๆ
- ข้อนี้เราเพิ่งมาคิดได้ตอนปีที่ 8 ของการทำงาน ก่อนหน้านี้เราเป็นคนที่เต็มที่กับเพื่อนที่เราคบ แต่ก็มีหลายๆเหตุการณ์เหมือนกันที่เราถูกทำให้เสียความรู้สึกบ่อยครั้ง ไม่เคยมีใครสังเกตเห็นมัน คงเป็นเพราะเขาอาจจะคิดว่าเรายังไงก็ได้ แต่เมื่อเราไม่ทนอีกต่อไป ก็ไม่ได้มีใครแยแสว่าเราเป็นอะไร เราคงให้ใจผิดไปเอง สังคมการทำงานควรมาแค่ทำงาน อย่าไปคาดหวังอะไร
3. ความอิจฉาริษยา การใส่ร้าย การเสแสร้ง และเกมการเมือง
- บางวัน แค่เราแต่งตัวดี ก็จะถูกเบ้ปากใส่ หรือมองด้วยสายตาที่ดูไม่เป็นมิตร บางทีก็พูดใส่เราว่า “จำเป็นต้องสวยด้วยหรอ“ แล้วเราก็อยากถามเหมือนกันว่าจำเป็นต้องขี้เหร่หรอคุณถึงจะพอใจ ในเมื่อใครก็อยากสวยอยากดูดี แล้วนี่เราทำผิดอะไร แค่คำพูดหรือสายตานี้ก็ทำให้เรารู้สึกแย่ได้แต่เช้า เราแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมคนเราถึงชื่นชมกันได้ยากนัก เราพูดได้เลยว่าทุกครั้งที่เราเห็นใครดูดีเราชื่นชมเขานะ ไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือด้วยสายตาก็ตาม
- เราไม่ยุ่งกับชีวิตส่วนตัวของใคร ก็มักมีคนมายุ่งกับเราเสมอ ทั้งๆที่ไม่ได้สนิทอะไรกัน แทบจะไม่ได้พูดคุยกันแล้วด้วย ส่วนการทำงานเราก็ทำหน้าที่ของเรา ไม่ได้คิดอยากทำตัวเด่น แต่มีคนที่คิดกับเราแบบนั้น และเมื่อหันไปบังเอิญเจอทีไร ก็จะเจอสายตาที่ไม่เป็นมิตร ไม่ยินดี คู่นั้นเสมอ ทำไมเขาถึงได้คิดกับเราแบบนี้
- บางคนที่เป็นผู้ใหญ่กลับทำตัวไม่เป็นผู้ใหญ่ เราเคยอยู่กลุ่มเดียวกับเขา แต่ทนไม่ไหวต้องออกมาเพราะไม่อยากไปรับเอาความคิดที่เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ เราถูกเกลียด ถูกนินทา ถูกใส่ความเกินจริง เวลามีคนมาคุยกับเรา หรือจะสนิทกับใคร เขาก็จะไปพูดเพื่อให้คนนั้นออกห่างจากเรา และมันก็เป็นแบบนั้น ทั้งๆที่เราไม่ได้ไปทำอะไรให้เขาเลย เราเสียความรู้สึกมาก ซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่เราไม่เคยพูดระบายกับใคร เพราะเรารู้สึกไม่ไว้ใจใครอีกแล้ว เราได้แต่ปล่อยให้พวกเขาหายไป ไใ่อธิบายอะไร จากที่เคยคุยกันดี กลับมองเราเปลี่ยนไปเพราะคำพูดของคนอื่น เอาจริงเราเสียใจมากนะ
เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ เคยมีประสบการณ์คล้ายกันนี้มั้ยคะ อาจจะมีอีกหลายเรื่องที่เราเล่าได้ไม่หมด แต่มันเป็นความอึดอัดในใจ เราแค่มาทำงานและทำหน้าที่ของเรา ถ้าไม่ชอบ ทำไมไม่ต่างคนต่างอยู่ ถ้าขอพรได้สักอย่าง ก็อยากขอให้คนเหล่านั้นอย่าไปเป็นพลังลบที่ทำร้ายและกัดกินชีวิตคนอื่นเลยนะ ขอให้หัดยินดีกับคนอื่น และชื่นชมคนได้จากใจจริง ชีวิตจะมีความสุขขึ้น และใครที่เจอเหตุการณ์คล้ายเรา ขอให้ทุกคนผ่านมันไปได้ในทุกๆวันด้วยจิตใจที่เข้มแข็งและเบิกบานนะคะ ทุกคนไปทำงานก็เหนื่อยพอแล้ว ไม่ควรมีใครต้องเจออะไรแบบนี้
จากคนที่อดทนมาตลอด จนวันหนึ่งตกผลึกได้และเลือกที่จะไม่ทนอีกต่อไป (อยากขอกำลังใจในวันที่ท้อค่ะ)
1. เราเลือกที่จะอยู่คนเดียว ดีกว่ารายล้อมด้วยผู้คนที่หาความจริงใจได้ยาก
- เกิดจากการที่เราเองเคยอยู่ในสังคมกลุ่มใหญ่ แต่ยิ่งอยู่ก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ได้อะไรนอกจากการนินทา รวมกลุ่มเพื่อเล่นเกมการเมืองในการทำงาน เราไม่อยากทนฟังหรือทำเป็นเห็นด้วยกับสิ่งที่เราไม่เห็นด้วย ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง เราเบื่อการผูกมิตรแบบนี้ เมื่อเราเฟดตัวออกมา หลายคนกลับมองว่าเราแปลก ไม่มีคนคบ เพียงเพราะเราไม่ได้ไหลไปตามคนหมู่มากอย่างงั้นหรอคะ พลังงานเราไม่ตรงกันเราจำเป็นต้องฝืนเข้ากลุ่มเพียงเพราะไม่อยากดูแปลกด้วยหรอ
2. เมื่อก่อนเราเป็นคนที่ใส่ใจความรู้สึกทุกคน แต่พอเราเดือดร้อน กลับไม่มีใครใส่ใจความรู้สึกเราจริงๆ
- ข้อนี้เราเพิ่งมาคิดได้ตอนปีที่ 8 ของการทำงาน ก่อนหน้านี้เราเป็นคนที่เต็มที่กับเพื่อนที่เราคบ แต่ก็มีหลายๆเหตุการณ์เหมือนกันที่เราถูกทำให้เสียความรู้สึกบ่อยครั้ง ไม่เคยมีใครสังเกตเห็นมัน คงเป็นเพราะเขาอาจจะคิดว่าเรายังไงก็ได้ แต่เมื่อเราไม่ทนอีกต่อไป ก็ไม่ได้มีใครแยแสว่าเราเป็นอะไร เราคงให้ใจผิดไปเอง สังคมการทำงานควรมาแค่ทำงาน อย่าไปคาดหวังอะไร
3. ความอิจฉาริษยา การใส่ร้าย การเสแสร้ง และเกมการเมือง
- บางวัน แค่เราแต่งตัวดี ก็จะถูกเบ้ปากใส่ หรือมองด้วยสายตาที่ดูไม่เป็นมิตร บางทีก็พูดใส่เราว่า “จำเป็นต้องสวยด้วยหรอ“ แล้วเราก็อยากถามเหมือนกันว่าจำเป็นต้องขี้เหร่หรอคุณถึงจะพอใจ ในเมื่อใครก็อยากสวยอยากดูดี แล้วนี่เราทำผิดอะไร แค่คำพูดหรือสายตานี้ก็ทำให้เรารู้สึกแย่ได้แต่เช้า เราแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมคนเราถึงชื่นชมกันได้ยากนัก เราพูดได้เลยว่าทุกครั้งที่เราเห็นใครดูดีเราชื่นชมเขานะ ไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือด้วยสายตาก็ตาม
- เราไม่ยุ่งกับชีวิตส่วนตัวของใคร ก็มักมีคนมายุ่งกับเราเสมอ ทั้งๆที่ไม่ได้สนิทอะไรกัน แทบจะไม่ได้พูดคุยกันแล้วด้วย ส่วนการทำงานเราก็ทำหน้าที่ของเรา ไม่ได้คิดอยากทำตัวเด่น แต่มีคนที่คิดกับเราแบบนั้น และเมื่อหันไปบังเอิญเจอทีไร ก็จะเจอสายตาที่ไม่เป็นมิตร ไม่ยินดี คู่นั้นเสมอ ทำไมเขาถึงได้คิดกับเราแบบนี้
- บางคนที่เป็นผู้ใหญ่กลับทำตัวไม่เป็นผู้ใหญ่ เราเคยอยู่กลุ่มเดียวกับเขา แต่ทนไม่ไหวต้องออกมาเพราะไม่อยากไปรับเอาความคิดที่เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ เราถูกเกลียด ถูกนินทา ถูกใส่ความเกินจริง เวลามีคนมาคุยกับเรา หรือจะสนิทกับใคร เขาก็จะไปพูดเพื่อให้คนนั้นออกห่างจากเรา และมันก็เป็นแบบนั้น ทั้งๆที่เราไม่ได้ไปทำอะไรให้เขาเลย เราเสียความรู้สึกมาก ซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่เราไม่เคยพูดระบายกับใคร เพราะเรารู้สึกไม่ไว้ใจใครอีกแล้ว เราได้แต่ปล่อยให้พวกเขาหายไป ไใ่อธิบายอะไร จากที่เคยคุยกันดี กลับมองเราเปลี่ยนไปเพราะคำพูดของคนอื่น เอาจริงเราเสียใจมากนะ
เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ เคยมีประสบการณ์คล้ายกันนี้มั้ยคะ อาจจะมีอีกหลายเรื่องที่เราเล่าได้ไม่หมด แต่มันเป็นความอึดอัดในใจ เราแค่มาทำงานและทำหน้าที่ของเรา ถ้าไม่ชอบ ทำไมไม่ต่างคนต่างอยู่ ถ้าขอพรได้สักอย่าง ก็อยากขอให้คนเหล่านั้นอย่าไปเป็นพลังลบที่ทำร้ายและกัดกินชีวิตคนอื่นเลยนะ ขอให้หัดยินดีกับคนอื่น และชื่นชมคนได้จากใจจริง ชีวิตจะมีความสุขขึ้น และใครที่เจอเหตุการณ์คล้ายเรา ขอให้ทุกคนผ่านมันไปได้ในทุกๆวันด้วยจิตใจที่เข้มแข็งและเบิกบานนะคะ ทุกคนไปทำงานก็เหนื่อยพอแล้ว ไม่ควรมีใครต้องเจออะไรแบบนี้