สวัสดีเพื่อนๆ ชาว pantip อีกแล้ว
ประเด็นนี้ไม่ได้มีแค่ด้านเศรษฐกิจอย่างเดียวนะครับ แต่มันเป็นเรื่องของ
"ความได้เปรียบที่ถูกมอบให้" ตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งทำให้คนบางคนได้เริ่มวิ่งจากเส้นสตาร์ทที่อยู่ไกลกว่าคนอื่นหลายช่วงตัว และสิ่งที่น่าเจ็บปวดกว่าคือ
"เวลา" และ
"โอกาส" ที่คนเหล่านั้นได้รับมาโดยที่ไม่ต้องต่อสู้ดิ้นรนเหมือนคนส่วนใหญ่
ความได้เปรียบที่เลือกไม่ได้: "เวลา" และ "งบประมาณ" ที่กำหนดชีวิต
มันไม่ใช่แค่เรื่องเงินในกระเป๋า แต่มันคือมิติของชีวิตที่ถูกกำหนดมาตั้งแต่แรก:
- เวลาในการพัฒนาตัวเอง: ชีวิตที่เร่งรีบ กับชีวิตที่ได้ลองผิดลองถูก
คนเกิดมารวย: พวกเขามี
เวลาเหลือเฟือ ที่จะค้นหาตัวเอง ลองผิดลองถูก ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการเรียนพิเศษ คอร์สพัฒนาทักษะ หรือแม้แต่การ "พัก" เพื่อคิดทบทวนชีวิต พวกเขาอาจใช้เวลาหลายปีไปกับการเรียนรู้สิ่งที่ชอบ การเดินทางค้นหาแรงบันดาลใจ หรือการฝึกฝนทักษะที่ใช้เงินลงทุนสูง โดยไม่ต้องคำนึงถึงภาระทางบ้านเลยแม้แต่น้อย ชีวิตคือการได้ "เลือก" และ "ค้นหา" ได้เต็มที่
- คนต้นทุนน้อย: เวลาคือเงินทอง! ทุกนาทีที่ผ่านไปหมายถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องแบกรับ พวกเขาต้องรีบเร่งหาเงินเลี้ยงปากท้อง ส่งเสียครอบครัว การจะเอาเวลาไปพัฒนาตัวเอง ไปเรียนภาษา หรือฝึกทักษะใหม่ๆ จึงเป็นเรื่องที่ "ฟุ่มเฟือย" เกินกว่าจะฝันถึง หลายคนต้องทำงานหนักตั้งแต่อายุยังน้อย โอกาสที่จะ "หยุด" เพื่อพัฒนาตัวเองจึงแทบไม่มี ชีวิตคือการ "ดิ้นรน" เพื่อให้อยู่รอด
งบประมาณไร้ขีดจำกัด: เส้นทางที่ปูด้วยกลีบกุหลาบ กับหนทางที่เต็มไปด้วยขวากหนาม
- คนเกิดมารวย: การศึกษาที่ดีที่สุด การเข้าถึงข้อมูลชั้นเลิศ การลงทุนในตัวเองอย่างไม่จำกัดงบประมาณ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่พวกเขามีได้โดยไม่ต้องคิดมาก อยากเรียนที่ไหน ได้เรียนที่นั่น อยากเรียนพิเศษอะไร มีเงินจ่ายเสมอ
งบประมาณไม่ใช่อุปสรรค ในการเข้าถึงสิ่งที่ดีที่สุดทุกอย่างที่ช่วยปูทางสู่ความสำเร็จ
- คนต้นทุนน้อย: ทุกการใช้จ่ายต้องคิดแล้วคิดอีก
การศึกษาที่มีคุณภาพ อาจเป็นความฝันที่เอื้อมไม่ถึง บางครั้งแค่ค่าเดินทางไปสัมภาษณ์งานยังต้องคิดหนัก การซื้อตำราดีๆ หรือเข้าคอร์สเรียนแพงๆ คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขา
งบประมาณคือกำแพงใหญ่ ที่ขวางกั้นโอกาสในการพัฒนาตัวเอง ซ้ำเติมให้เส้นทางชีวิตยากลำบากยิ่งขึ้น
ในโลกแห่งความจริง: คนรวยต่อยอดง่าย...คนจนดิ้นรนแทบตาย!
แม้จะมีคำกล่าวว่า
"ในโลกนี้คนจนก็รวยได้" ซึ่งเป็นความจริงที่สร้างแรงบันดาลใจให้หลายคน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า
"คนที่รวยไม่ได้ก็มีอีกเยอะมาก" โดยเฉพาะในยุคสมัยนี้ที่ทุกอย่างดูเหมือนจะแพงขึ้นเรื่อยๆ การจะสร้างเนื้อสร้างตัวให้มี
บ้านสักหลัง นี่ไม่ใช่แค่เลือดตาแทบกระเด็นนะครับ แต่มันคือการแลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายทั้งหมดของชีวิตก็ว่าได้! มันคือการต่อสู้ที่เหนื่อยล้า และบางครั้งก็ดูเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด
ในทางกลับกัน...
คนรวยต่อยอดง่ายกว่าเยอะ! พวกเขามี
คอนเนกชัน ที่แข็งแกร่ง มีแหล่งเงินทุนที่พร้อมสนับสนุน
ธนาคารก็อยากปล่อยกู้ ให้คนรวยมากกว่าเพราะมีความเสี่ยงต่ำ ทำให้การลงทุน การขยับขยายธุรกิจเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว เงินต่อเงินงอกเงยแบบสบายๆ ราวกับฟ้าประทาน
มีคำกล่าวคูลๆ ที่ว่า
"เกิดเป็นลูกคนรวย ถ้าไม่ทำตัวหัวรวยจนเกินไป ยังไงก็ประสบผลสำเร็จ" ซึ่งสะท้อนความจริงที่ว่าสำหรับคนที่มีต้นทุนดีแล้ว การจะรักษาฐานะเดิมไว้หรือทำให้มันเพิ่มพูนขึ้นไปอีกนั้นง่ายกว่าการที่คนไม่มีอะไรเลยจะต้องปีนป่ายขึ้นมาสู่จุดเดียวกันมากนัก พวกเขาไม่รวยมากขึ้น ก็แทบจะไม่มีทางจนลงได้เลย เว้นแต่จะทำลายตัวเองด้วยความประมาทจริงๆ ทว่านั่นก็เป็นเรื่องของ
"ทางเลือก" ไม่ใช่
"ทางรอด" เหมือนคนส่วนใหญ่
แต่...ก็มีบางสนามรบ ที่คนตัวเล็กก็โค่นยักษ์ได้! และบางสนามที่ยักษ์ใหญ่ตีกัน ร้านเล็กก็เหนื่อยจนท้อ!
ใช่ครับ ในโลกที่ดูเหมือนทุกอย่างถูกกำหนดด้วยต้นทุน ยังมีบางมุมที่ความได้เปรียบทางฐานะอาจไม่เป็นที่สุดเสมอไป
เราเห็นเรื่องราวแบบนี้บ่อยๆ ทั้งในซีรีส์และในโลกธุรกิจจริง ที่ตัวละครหรือคนตัวเล็กๆ ที่เริ่มต้นจากศูนย์ แต่สามารถโค่นล้มบริษัทยักษ์ใหญ่ หรือเอาชนะนายทุนผู้ทรงอิทธิพลได้
เหมือนในซีรีส์
"Itaewon Class" (ธุรกิจปิดเกมแค้น) ที่ตัวละครอย่าง
"พัคแซรอย" ผู้ที่ถูกสังคมตราหน้าและมี
ต้นทุนชีวิตติดลบ แต่ด้วย
"ความเชื่อมั่น" "ความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้" "ความเข้าใจตลาด" และ
"ความคล่องตัว" ในการปรับตัว เขากลับสามารถสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นมาต่อกรกับบริษัทอาหารยักษ์ใหญ่ที่บริหารโดยตระกูลที่ร่ำรวยและมีอำนาจมาหลายชั่วคนได้ มันคือชัยชนะของความตั้งใจอันบริสุทธิ์เหนืออำนาจเงินตรา!
และในซีรีส์ไทยเรื่อง
"สงคราม ส่งด่วน (Mad Unicorn)" ที่ได้แรงบันดาลใจจากสตาร์ทอัพยูนิคอร์นหมื่นล้านตัวแรกของไทย ตัวละครอย่าง
"สันติ" อดีตเด็กแว้นจากดอย ผู้มีความฝันใหญ่ในการสร้างสตาร์ทอัพขนส่งพัสดุ "ธันเดอร์ เอ็กซ์เพรส" เพื่อโค่นล้ม
"เจ้าสัวคณิน" นายทุนใหญ่ที่เคยหักหลังเขาและลูกชายอย่าง "เคน" ซึ่งเติบโตมาภายใต้เงาความสำเร็จของพ่อ เรื่องราวเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าคนที่ไม่ใช่
"ลูกท่านหลานเธอ" ก็สามารถสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นมาได้ เพียงแต่ต้องใช้แรงกาย แรงใจ และสมองมากกว่าเป็นร้อยเท่า! มันคือการต่อสู้ที่ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
แต่ในบางครั้ง สงครามของยักษ์ใหญ่ก็ทำให้ร้านเล็กๆ ต้องล้มหายตายจากไปเองโดยปริยาย เหมือนที่เราเห็นใน
"สงครามบุฟเฟต์" ที่ร้านอาหารใหญ่ๆ แข่งขันกันลดราคา แข่งกันโปรโมชั่น ใครมีสายป่านยาวกว่า ใครมีเงินทุนหนากว่า ก็สามารถสู้รบตบมือกันได้นานกว่า ส่วน
ร้านเล็กๆ ที่มีต้นทุนจำกัด มีกำลังซื้อวัตถุดิบได้น้อยกว่า ก็ต้องจำใจยอมแพ้ไปเอง เพราะสู้ราคาและโปรโมชั่นของรายใหญ่ไม่ได้ นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่าการแข่งขันในตลาดที่มี
"ต้นทุน" และ
"สายป่าน" ไม่เท่ากัน สุดท้ายแล้วคนที่เสียเปรียบก็ยังคงเป็นผู้ประกอบการรายย่อยเสมอไป
บางครั้ง ความพยายามก็ไม่พอที่จะสู้กับเงินทุนที่ถมเท่าไหร่ก็ไม่หมด
บทสรุปของความจริงที่เจ็บปวด?
มันไม่ใช่เรื่องของ "ความพยายาม" เพียงอย่างเดียว แต่มันเป็นเรื่องของ
"จุดเริ่มต้น" และ
"ทรัพยากร" ที่ถูกส่งต่อมาให้ คนที่เกิดมารวยมีโอกาสที่จะ "ล้ม" ได้มากกว่าโดยที่ไม่ต้องรับผลกระทบหนักหนาสาหัสเท่าคนที่ไม่เหลืออะไรให้ล้ม พวกเขาอาจมีชีวิตที่ได้ลอง ได้ทำสิ่งผิดพลาด แต่ก็ยังมี
"ตาข่ายนิรภัย" รองรับเสมอ
แน่นอนว่า
คนต้นทุนน้อยก็สามารถประสบความสำเร็จได้ แต่หนทางของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคที่คนมีต้นทุนดีกว่าไม่เคยต้องเจอ พวกเขาต้องใช้ความพยายามคูณสิบ คูณร้อย เท่าที่คนมีต้นทุนดีไม่ต้องทำ และบางครั้ง
แม้จะพยายามมากแค่ไหน กำแพงของ "ต้นทุน" ก็ยังคงสูงเกินกว่าจะปีนข้ามไปได้อยู่ดี ความจริงข้อนี้ช่างบาดใจ และมันทำให้คำว่า "เท่าเทียม" ดูเป็นเพียงแค่ภาพฝัน
แล้วคุณล่ะครับ...ยังเชื่อไหมว่าคนเราทุกคนเกิดมาเท่ากันจริงๆ?
หรือความจริงที่เห็นมันบอกอะไรคุณมากกว่านั้น?
คนเราเกิดมาไม่เท่ากัน" - ความจริงที่เลือกไม่ได้ หรือแค่ข้ออ้างของคนอ่อนแอ?
ประเด็นนี้ไม่ได้มีแค่ด้านเศรษฐกิจอย่างเดียวนะครับ แต่มันเป็นเรื่องของ "ความได้เปรียบที่ถูกมอบให้" ตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งทำให้คนบางคนได้เริ่มวิ่งจากเส้นสตาร์ทที่อยู่ไกลกว่าคนอื่นหลายช่วงตัว และสิ่งที่น่าเจ็บปวดกว่าคือ "เวลา" และ "โอกาส" ที่คนเหล่านั้นได้รับมาโดยที่ไม่ต้องต่อสู้ดิ้นรนเหมือนคนส่วนใหญ่
ความได้เปรียบที่เลือกไม่ได้: "เวลา" และ "งบประมาณ" ที่กำหนดชีวิต
มันไม่ใช่แค่เรื่องเงินในกระเป๋า แต่มันคือมิติของชีวิตที่ถูกกำหนดมาตั้งแต่แรก:
- เวลาในการพัฒนาตัวเอง: ชีวิตที่เร่งรีบ กับชีวิตที่ได้ลองผิดลองถูก
คนเกิดมารวย: พวกเขามี เวลาเหลือเฟือ ที่จะค้นหาตัวเอง ลองผิดลองถูก ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการเรียนพิเศษ คอร์สพัฒนาทักษะ หรือแม้แต่การ "พัก" เพื่อคิดทบทวนชีวิต พวกเขาอาจใช้เวลาหลายปีไปกับการเรียนรู้สิ่งที่ชอบ การเดินทางค้นหาแรงบันดาลใจ หรือการฝึกฝนทักษะที่ใช้เงินลงทุนสูง โดยไม่ต้องคำนึงถึงภาระทางบ้านเลยแม้แต่น้อย ชีวิตคือการได้ "เลือก" และ "ค้นหา" ได้เต็มที่
- คนต้นทุนน้อย: เวลาคือเงินทอง! ทุกนาทีที่ผ่านไปหมายถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องแบกรับ พวกเขาต้องรีบเร่งหาเงินเลี้ยงปากท้อง ส่งเสียครอบครัว การจะเอาเวลาไปพัฒนาตัวเอง ไปเรียนภาษา หรือฝึกทักษะใหม่ๆ จึงเป็นเรื่องที่ "ฟุ่มเฟือย" เกินกว่าจะฝันถึง หลายคนต้องทำงานหนักตั้งแต่อายุยังน้อย โอกาสที่จะ "หยุด" เพื่อพัฒนาตัวเองจึงแทบไม่มี ชีวิตคือการ "ดิ้นรน" เพื่อให้อยู่รอด
งบประมาณไร้ขีดจำกัด: เส้นทางที่ปูด้วยกลีบกุหลาบ กับหนทางที่เต็มไปด้วยขวากหนาม
- คนเกิดมารวย: การศึกษาที่ดีที่สุด การเข้าถึงข้อมูลชั้นเลิศ การลงทุนในตัวเองอย่างไม่จำกัดงบประมาณ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่พวกเขามีได้โดยไม่ต้องคิดมาก อยากเรียนที่ไหน ได้เรียนที่นั่น อยากเรียนพิเศษอะไร มีเงินจ่ายเสมอ งบประมาณไม่ใช่อุปสรรค ในการเข้าถึงสิ่งที่ดีที่สุดทุกอย่างที่ช่วยปูทางสู่ความสำเร็จ
- คนต้นทุนน้อย: ทุกการใช้จ่ายต้องคิดแล้วคิดอีก การศึกษาที่มีคุณภาพ อาจเป็นความฝันที่เอื้อมไม่ถึง บางครั้งแค่ค่าเดินทางไปสัมภาษณ์งานยังต้องคิดหนัก การซื้อตำราดีๆ หรือเข้าคอร์สเรียนแพงๆ คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขา งบประมาณคือกำแพงใหญ่ ที่ขวางกั้นโอกาสในการพัฒนาตัวเอง ซ้ำเติมให้เส้นทางชีวิตยากลำบากยิ่งขึ้น
ในโลกแห่งความจริง: คนรวยต่อยอดง่าย...คนจนดิ้นรนแทบตาย!
แม้จะมีคำกล่าวว่า "ในโลกนี้คนจนก็รวยได้" ซึ่งเป็นความจริงที่สร้างแรงบันดาลใจให้หลายคน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า "คนที่รวยไม่ได้ก็มีอีกเยอะมาก" โดยเฉพาะในยุคสมัยนี้ที่ทุกอย่างดูเหมือนจะแพงขึ้นเรื่อยๆ การจะสร้างเนื้อสร้างตัวให้มี บ้านสักหลัง นี่ไม่ใช่แค่เลือดตาแทบกระเด็นนะครับ แต่มันคือการแลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายทั้งหมดของชีวิตก็ว่าได้! มันคือการต่อสู้ที่เหนื่อยล้า และบางครั้งก็ดูเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด
ในทางกลับกัน... คนรวยต่อยอดง่ายกว่าเยอะ! พวกเขามี คอนเนกชัน ที่แข็งแกร่ง มีแหล่งเงินทุนที่พร้อมสนับสนุน ธนาคารก็อยากปล่อยกู้ ให้คนรวยมากกว่าเพราะมีความเสี่ยงต่ำ ทำให้การลงทุน การขยับขยายธุรกิจเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว เงินต่อเงินงอกเงยแบบสบายๆ ราวกับฟ้าประทาน
มีคำกล่าวคูลๆ ที่ว่า "เกิดเป็นลูกคนรวย ถ้าไม่ทำตัวหัวรวยจนเกินไป ยังไงก็ประสบผลสำเร็จ" ซึ่งสะท้อนความจริงที่ว่าสำหรับคนที่มีต้นทุนดีแล้ว การจะรักษาฐานะเดิมไว้หรือทำให้มันเพิ่มพูนขึ้นไปอีกนั้นง่ายกว่าการที่คนไม่มีอะไรเลยจะต้องปีนป่ายขึ้นมาสู่จุดเดียวกันมากนัก พวกเขาไม่รวยมากขึ้น ก็แทบจะไม่มีทางจนลงได้เลย เว้นแต่จะทำลายตัวเองด้วยความประมาทจริงๆ ทว่านั่นก็เป็นเรื่องของ "ทางเลือก" ไม่ใช่ "ทางรอด" เหมือนคนส่วนใหญ่
แต่...ก็มีบางสนามรบ ที่คนตัวเล็กก็โค่นยักษ์ได้! และบางสนามที่ยักษ์ใหญ่ตีกัน ร้านเล็กก็เหนื่อยจนท้อ!
ใช่ครับ ในโลกที่ดูเหมือนทุกอย่างถูกกำหนดด้วยต้นทุน ยังมีบางมุมที่ความได้เปรียบทางฐานะอาจไม่เป็นที่สุดเสมอไป เราเห็นเรื่องราวแบบนี้บ่อยๆ ทั้งในซีรีส์และในโลกธุรกิจจริง ที่ตัวละครหรือคนตัวเล็กๆ ที่เริ่มต้นจากศูนย์ แต่สามารถโค่นล้มบริษัทยักษ์ใหญ่ หรือเอาชนะนายทุนผู้ทรงอิทธิพลได้
เหมือนในซีรีส์ "Itaewon Class" (ธุรกิจปิดเกมแค้น) ที่ตัวละครอย่าง "พัคแซรอย" ผู้ที่ถูกสังคมตราหน้าและมี ต้นทุนชีวิตติดลบ แต่ด้วย "ความเชื่อมั่น" "ความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้" "ความเข้าใจตลาด" และ "ความคล่องตัว" ในการปรับตัว เขากลับสามารถสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นมาต่อกรกับบริษัทอาหารยักษ์ใหญ่ที่บริหารโดยตระกูลที่ร่ำรวยและมีอำนาจมาหลายชั่วคนได้ มันคือชัยชนะของความตั้งใจอันบริสุทธิ์เหนืออำนาจเงินตรา!
และในซีรีส์ไทยเรื่อง "สงคราม ส่งด่วน (Mad Unicorn)" ที่ได้แรงบันดาลใจจากสตาร์ทอัพยูนิคอร์นหมื่นล้านตัวแรกของไทย ตัวละครอย่าง "สันติ" อดีตเด็กแว้นจากดอย ผู้มีความฝันใหญ่ในการสร้างสตาร์ทอัพขนส่งพัสดุ "ธันเดอร์ เอ็กซ์เพรส" เพื่อโค่นล้ม "เจ้าสัวคณิน" นายทุนใหญ่ที่เคยหักหลังเขาและลูกชายอย่าง "เคน" ซึ่งเติบโตมาภายใต้เงาความสำเร็จของพ่อ เรื่องราวเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าคนที่ไม่ใช่ "ลูกท่านหลานเธอ" ก็สามารถสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นมาได้ เพียงแต่ต้องใช้แรงกาย แรงใจ และสมองมากกว่าเป็นร้อยเท่า! มันคือการต่อสู้ที่ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
แต่ในบางครั้ง สงครามของยักษ์ใหญ่ก็ทำให้ร้านเล็กๆ ต้องล้มหายตายจากไปเองโดยปริยาย เหมือนที่เราเห็นใน "สงครามบุฟเฟต์" ที่ร้านอาหารใหญ่ๆ แข่งขันกันลดราคา แข่งกันโปรโมชั่น ใครมีสายป่านยาวกว่า ใครมีเงินทุนหนากว่า ก็สามารถสู้รบตบมือกันได้นานกว่า ส่วน ร้านเล็กๆ ที่มีต้นทุนจำกัด มีกำลังซื้อวัตถุดิบได้น้อยกว่า ก็ต้องจำใจยอมแพ้ไปเอง เพราะสู้ราคาและโปรโมชั่นของรายใหญ่ไม่ได้ นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่าการแข่งขันในตลาดที่มี "ต้นทุน" และ "สายป่าน" ไม่เท่ากัน สุดท้ายแล้วคนที่เสียเปรียบก็ยังคงเป็นผู้ประกอบการรายย่อยเสมอไป บางครั้ง ความพยายามก็ไม่พอที่จะสู้กับเงินทุนที่ถมเท่าไหร่ก็ไม่หมด
บทสรุปของความจริงที่เจ็บปวด?
มันไม่ใช่เรื่องของ "ความพยายาม" เพียงอย่างเดียว แต่มันเป็นเรื่องของ "จุดเริ่มต้น" และ "ทรัพยากร" ที่ถูกส่งต่อมาให้ คนที่เกิดมารวยมีโอกาสที่จะ "ล้ม" ได้มากกว่าโดยที่ไม่ต้องรับผลกระทบหนักหนาสาหัสเท่าคนที่ไม่เหลืออะไรให้ล้ม พวกเขาอาจมีชีวิตที่ได้ลอง ได้ทำสิ่งผิดพลาด แต่ก็ยังมี "ตาข่ายนิรภัย" รองรับเสมอ
แน่นอนว่า คนต้นทุนน้อยก็สามารถประสบความสำเร็จได้ แต่หนทางของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคที่คนมีต้นทุนดีกว่าไม่เคยต้องเจอ พวกเขาต้องใช้ความพยายามคูณสิบ คูณร้อย เท่าที่คนมีต้นทุนดีไม่ต้องทำ และบางครั้ง แม้จะพยายามมากแค่ไหน กำแพงของ "ต้นทุน" ก็ยังคงสูงเกินกว่าจะปีนข้ามไปได้อยู่ดี ความจริงข้อนี้ช่างบาดใจ และมันทำให้คำว่า "เท่าเทียม" ดูเป็นเพียงแค่ภาพฝัน
แล้วคุณล่ะครับ...ยังเชื่อไหมว่าคนเราทุกคนเกิดมาเท่ากันจริงๆ?
หรือความจริงที่เห็นมันบอกอะไรคุณมากกว่านั้น?