จากบทความกรณีศึกษาของบริษัท RS ที่เคยเป็นเจ้าพ่อเพลงของไทย แต่กลับต้องเผชิญกับหนี้สินมหาศาลถึง 3 พันล้านบาท เราสามารถถอดบทเรียนที่สำคัญสำหรับการทำธุรกิจได้ดังนี้
บทเรียนจากการบริหารธุรกิจของ RS
ธุรกิจที่แข็งแกร่งในวันนี้ ไม่ได้หมายความว่าจะดีตลอดไป (Disruption และการปรับตัว):
บทเรียน: ความสำเร็จในอดีตหรือธุรกิจที่เป็นผู้นำตลาด ณ ปัจจุบัน ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะยั่งยืนตลอดไป โลกธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาด้วยเทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภค และคู่แข่งใหม่ๆ
ประยุกต์ใช้: องค์กรต้องไม่หยุดนิ่งในการเรียนรู้และปรับตัว (Adaptability) ต้องหมั่นวิเคราะห์ตลาดและมองหาโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ รวมถึงเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเข้ามา disruptive ธุรกิจหลัก
การเปลี่ยนทิศทางธุรกิจเร็วเกินไป โดยไม่มีธุรกิจหลักที่แข็งแกร่งรองรับ (Core Business และการกระจายความเสี่ยงอย่างมีกลยุทธ์):
บทเรียน: การกระโดดเข้าสู่ธุรกิจใหม่ๆ หรือการเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว โดยที่ธุรกิจหลักเดิมยังไม่มั่นคงพอ หรือไม่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจใหม่นั้น อาจนำไปสู่ความล้มเหลวได้ง่าย
ประยุกต์ใช้: การกระจายความเสี่ยงเป็นสิ่งจำเป็น แต่ควรทำอย่างมีกลยุทธ์ อาจเริ่มต้นจากธุรกิจที่ยังคงมีศักยภาพ (Core Business) แล้วค่อยๆ แตกแขนงไปยังธุรกิจที่มีความเชื่อมโยง หรือค่อยๆ สร้างความเชี่ยวชาญในธุรกิจใหม่ทีละน้อย ไม่ควรทิ้งฐานที่มั่นเดิมจนกว่าธุรกิจใหม่จะแข็งแกร่งพอ
การใช้ตลาดทุนมากเกินไป อาจนำไปสู่ความล้มเหลว (Financial Discipline และการบริหารหนี้):
บทเรียน: การพึ่งพิงตลาดทุนมากเกินไป เช่น การเล่นหุ้น การจำนำหุ้น หรือการใช้ leverage (การกู้ยืมเพื่อนำไปลงทุน) โดยปราศจากการบริหารความเสี่ยงที่ดี สามารถสร้างภาระหนี้สินมหาศาลและนำไปสู่หายนะได้
ประยุกต์ใช้: องค์กรต้องมีวินัยทางการเงินที่เข้มแข็ง (Financial Discipline) การกู้ยืมเพื่อลงทุนต้องมาพร้อมกับการวางแผนที่ดี การประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบ และมีความสามารถในการชำระหนี้คืน ไม่ควรก่อหนี้เกินตัว
การกระจายความเสี่ยงที่ไม่มีสมดุล และขาดการควบคุมต้นทุน/ลดความเสี่ยง (Cost Control และ Risk Management):
บทเรียน: การขยายธุรกิจไปในหลายทิศทางพร้อมกันโดยไม่มีการควบคุมต้นทุนที่รัดกุม และไม่มีระบบการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม จะทำให้องค์กรอ่อนแอและประสบปัญหาได้ง่ายเมื่อเจอวิกฤต
ประยุกต์ใช้: การขยายธุรกิจควรทำอย่างสมดุล ไม่ใช่เพียงแค่การเพิ่มจำนวนธุรกิจ แต่ต้องประเมินศักยภาพ กำลังคน และความเชี่ยวชาญขององค์กรด้วย การควบคุมต้นทุนและการจัดการความเสี่ยง (Risk Management) ถือเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตอย่างยั่งยืน
การผิดนัดชำระหนี้ แม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจส่งผลกระทบใหญ่หลวง (Credibility และ Financial Health):
บทเรียน: การผิดนัดชำระหนี้แม้จะเป็นจำนวนเงินที่ไม่มากนัก ก็สามารถส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความน่าเชื่อถือของบริษัท (Credibility) และเปิดช่องให้สถาบันการเงินสามารถเรียกคืนหนี้ทั้งหมดได้ทันที
ประยุกต์ใช้: องค์กรต้องรักษาความน่าเชื่อถือทางการเงินเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด การบริหารกระแสเงินสด (Cash Flow Management) และการชำระหนี้ให้ตรงเวลาเป็นเรื่องพื้นฐานที่ไม่ควรมองข้าม เพราะมันส่งผลต่อความอยู่รอดของธุรกิจโดยตรง
บทเรียนจากกรณีของ RS ตอกย้ำว่าการทำธุรกิจไม่ได้เป็นเพียงแค่การหาโอกาสและสร้างการเติบโตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการบริหารจัดการความเสี่ยง การมีวินัยทางการเงิน และการปรับตัวอย่างชาญฉลาด เพื่อให้ธุรกิจสามารถยืนหยัดและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาวค่ะ
แหล่งข่าว
บริษัท RS ที่เคยเป็นเจ้าพ่อเพลงของไทย แต่กลับต้องเผชิญกับหนี้สินมหาศาลถึง 3 พันล้านบาท เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง
บทเรียนจากการบริหารธุรกิจของ RS
ธุรกิจที่แข็งแกร่งในวันนี้ ไม่ได้หมายความว่าจะดีตลอดไป (Disruption และการปรับตัว):
บทเรียน: ความสำเร็จในอดีตหรือธุรกิจที่เป็นผู้นำตลาด ณ ปัจจุบัน ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะยั่งยืนตลอดไป โลกธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาด้วยเทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภค และคู่แข่งใหม่ๆ
ประยุกต์ใช้: องค์กรต้องไม่หยุดนิ่งในการเรียนรู้และปรับตัว (Adaptability) ต้องหมั่นวิเคราะห์ตลาดและมองหาโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ รวมถึงเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเข้ามา disruptive ธุรกิจหลัก
การเปลี่ยนทิศทางธุรกิจเร็วเกินไป โดยไม่มีธุรกิจหลักที่แข็งแกร่งรองรับ (Core Business และการกระจายความเสี่ยงอย่างมีกลยุทธ์):
บทเรียน: การกระโดดเข้าสู่ธุรกิจใหม่ๆ หรือการเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว โดยที่ธุรกิจหลักเดิมยังไม่มั่นคงพอ หรือไม่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจใหม่นั้น อาจนำไปสู่ความล้มเหลวได้ง่าย
ประยุกต์ใช้: การกระจายความเสี่ยงเป็นสิ่งจำเป็น แต่ควรทำอย่างมีกลยุทธ์ อาจเริ่มต้นจากธุรกิจที่ยังคงมีศักยภาพ (Core Business) แล้วค่อยๆ แตกแขนงไปยังธุรกิจที่มีความเชื่อมโยง หรือค่อยๆ สร้างความเชี่ยวชาญในธุรกิจใหม่ทีละน้อย ไม่ควรทิ้งฐานที่มั่นเดิมจนกว่าธุรกิจใหม่จะแข็งแกร่งพอ
การใช้ตลาดทุนมากเกินไป อาจนำไปสู่ความล้มเหลว (Financial Discipline และการบริหารหนี้):
บทเรียน: การพึ่งพิงตลาดทุนมากเกินไป เช่น การเล่นหุ้น การจำนำหุ้น หรือการใช้ leverage (การกู้ยืมเพื่อนำไปลงทุน) โดยปราศจากการบริหารความเสี่ยงที่ดี สามารถสร้างภาระหนี้สินมหาศาลและนำไปสู่หายนะได้
ประยุกต์ใช้: องค์กรต้องมีวินัยทางการเงินที่เข้มแข็ง (Financial Discipline) การกู้ยืมเพื่อลงทุนต้องมาพร้อมกับการวางแผนที่ดี การประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบ และมีความสามารถในการชำระหนี้คืน ไม่ควรก่อหนี้เกินตัว
การกระจายความเสี่ยงที่ไม่มีสมดุล และขาดการควบคุมต้นทุน/ลดความเสี่ยง (Cost Control และ Risk Management):
บทเรียน: การขยายธุรกิจไปในหลายทิศทางพร้อมกันโดยไม่มีการควบคุมต้นทุนที่รัดกุม และไม่มีระบบการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม จะทำให้องค์กรอ่อนแอและประสบปัญหาได้ง่ายเมื่อเจอวิกฤต
ประยุกต์ใช้: การขยายธุรกิจควรทำอย่างสมดุล ไม่ใช่เพียงแค่การเพิ่มจำนวนธุรกิจ แต่ต้องประเมินศักยภาพ กำลังคน และความเชี่ยวชาญขององค์กรด้วย การควบคุมต้นทุนและการจัดการความเสี่ยง (Risk Management) ถือเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตอย่างยั่งยืน
การผิดนัดชำระหนี้ แม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจส่งผลกระทบใหญ่หลวง (Credibility และ Financial Health):
บทเรียน: การผิดนัดชำระหนี้แม้จะเป็นจำนวนเงินที่ไม่มากนัก ก็สามารถส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความน่าเชื่อถือของบริษัท (Credibility) และเปิดช่องให้สถาบันการเงินสามารถเรียกคืนหนี้ทั้งหมดได้ทันที
ประยุกต์ใช้: องค์กรต้องรักษาความน่าเชื่อถือทางการเงินเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด การบริหารกระแสเงินสด (Cash Flow Management) และการชำระหนี้ให้ตรงเวลาเป็นเรื่องพื้นฐานที่ไม่ควรมองข้าม เพราะมันส่งผลต่อความอยู่รอดของธุรกิจโดยตรง
บทเรียนจากกรณีของ RS ตอกย้ำว่าการทำธุรกิจไม่ได้เป็นเพียงแค่การหาโอกาสและสร้างการเติบโตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการบริหารจัดการความเสี่ยง การมีวินัยทางการเงิน และการปรับตัวอย่างชาญฉลาด เพื่อให้ธุรกิจสามารถยืนหยัดและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาวค่ะ
แหล่งข่าว