ฉันเกิดที่ตลาดพระปฐม: ตอนที่ ๒ อาโผ...มาจากมูชัง (ตอนต่อ)

ความจากตอนที่แล้ว ฉันพูดถึงคำศัพท์ภาษาที่บ้านหลายคำ บอกกล่าวก่อนจะได้เข้าใจตรงกันเน๊อะ
คำเรียกญาติภาษาจีนที่มักคุ้นกัน เช่น อาม่า บ้านฉันเรียก อาโผ หรือ โผโพ อากง เรียก เตี๊ยเตีย ส่วนเตี่ย เรียก อาปา
เป๋อ เรียกทั้งลุงและป้า ทำไมเรียกเหมือนกัน? ไม่รู้สิ เรียกมาแต่เด็ก จริงเรียกเต็ม ๆ คือ เป๋อเป๋อ
เป๋อผู้หญิง พี่สาวของพ่อจะคู่กับ กู๋เตีย คือ ลุงเขย ส่วนเป๋อผู้ชายที่คุ้นเคย มี ๒ คน
เป๋อหนวด ไม่รู้ชื่ออะไร ชื่อที่เรียกก็ตามบุคลิกไว้หนวดของแก ส่วนเมียเป๋อหนวด เรียก ตามา แปลว่าแม่ใหญ่ ทำไมไม่รู้อีกแหละ
ส่วนหมั่งทังเป๋อ จำไม่ได้ว่าเรียกเมียแกว่าอะไร เพราะนานครั้งจะเจอทีเวลาไปเที่ยวหาที่พัทยา นาเกลือ
ถ้าไม่ได้ค้างคืนก็มักไม่เจอ เพราะปกติเป๋อหมั่งทังจะมาเที่ยวเป๋อถม หรือ นครปฐมของอาโผฉันนั่นเอง
ศัพท์ประดาเล่ามาที่ว่าจะจีนกลางก็ไม่ใช่ แคะก็ไม่เชิง ฉันเข้าใจเอาเองว่าน่าจะเป็นภาษาของคนแถว ๆ หูเป่ย
ตามคำโวยของพี่ชาย "หูเป๋อเหล่าเยาสื่อ" เพราะเขาหมายถึงพวกญาติ ๆ รุ่นหนุ่มที่ตีกันในงานแต่งญาติ
วีรกรรมผู้ชายบ้านฉันมีไม่น้อยหน้ากัน ไม่เว้นแม้แต่อาปา หรือพ่อที่ฉันไม่เคยเรียกแควนของปาว่า ม๊ามาสักที
เว้นแต่คุยกันเองในพี่น้อง เช่น เวลาถามหาแม่...ม๊าไปไหน หรือ ม๊าให้มาตาม (พี่ชายชอบแอบไปเล่นตู้ม้าหลังบ้าน อิอิ)
เท้าความพอเมื่อยมือละ มาเข้าเรื่องอาโผมาจากมูซังกัน
แต่เดิมเลยฉันเข้าใจมาตลอดตั้งกะหนุ่ม ๆ เขาตีกัน ว่า หูเป่ย์ คงเป็นชื่อเมือง ชื่อหมู่บ้านสักแห่งที่อาโผ เตี๊ยเตีย หอบลูกชายหญิง คือ ลุงกับป้าฉันมาจากเมืองจีน อ้าว!! พ่อฉันมาจากกระบอกหรือ แฮร่ ^___^  พ่อเกิดเมืองไทยจ้ะ แถมมีประวัติการเกิดเป็นซีรีย์อีก อาปาฉันมีพ่อแม่ตามทะเบียนบ้านเป็นคนไทยนะเออ งง อีกแล้วสิ และตอนนี้ทั้ง อาโผ อาเตี๊ย ลุง ป้า พ่อ แม่ ตา ยาย ก็ไปหวันหมดละ ... คงเล่าสู่ได้แหละ  เรื่องยาวว ไว้ก่อนละกัน
  ปฎิทินบันทึกของแม่
ความที่เข้าใจมาตลอดว่าดั้งเดิมเลยบรรพชนมาจากหูเป่ย์ที่บอกใครก็น้อยคน หรือแทบไม่มีเลยดีกว่าที่จะรู้จักชื่อนี้
กระทั่ง COVID-19 อุบัติโด่งดังไปทั่วโลก ว่าพบผู้ป่วยครั้งแรกที่อู่ฮั่น เมืองหลวงของมณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีน นี่ล่ะฉันก็ถึงบางอ้อด้วย
แล้วก็เป็นอีกครั้งในวิกฤติเวลาช่วงนั้น ไม่นับรวม พ.ศ.๒๕๒๕ ขณะที่ใคร ๆ พากันฉลอง ๒๐๐ ปี รัตนโกสินทร์
แต่บ้านฉันต้องเข้าทุกข์-ออกทุกข์ อย่างกระทันหันใน ๑๐๐ วัน เมื่ออาโผเดินทางไกลไปไหว้กวนอิมเนี๊ยวที่โผศรัทธา
ในวัย ๙๔ หรือ ๙๕ หากนับแบบจีน เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ตามภาพปฎิทินที่แม่มักฉีกบันทึกเรื่องราว โดยเฉพาะวันเกิด-ตายคนในบ้าน
ยังไม่ทันที่เราจะทำบุญ ๕๐ วัน เช้าตรู่ราววันที่ ๑๒ หรือ ๑๓ มีนาคม จำไม่ถนัด อาปาก็ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเมืองด้วยอาการพูดไม่ได้
ทางโรงพยาบาลรับตัวไว้รอดูอาการอยู่ครึ่งค่อนวัน เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่อาปาดื่มหนักทุก ๆ วันหลังสิ้นบุญอาโผ
และโดยที่ไม่ได้ทำอะไร ตกบ่ายเจ้าหน้าที่หมอหรือพยาบาลไม่ทราบได้ มาถามกับพี่ชายที่รอเฝ้าอยู่หน้าห้องผู้ป่วยฉุกเฉินว่า
...จะให้คนไข้เสียที่โรงพยาบาล หรือจะกลับไปเสียที่บ้าน... นาทีนั้นเชื่อว่าพี่ชายคงเหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจ
สายด่วนในหมู่พี่น้องดังถึงลูก ๆ ของป้าที่กรุงเทพฯ ได้รับการประสานอย่างรวดเร็วให้เข้ารักษาด่วนที่พญาไท
ขณะที่ต้นทางแจ้งว่า ...ที่นี่ไม่มีบริการส่งคนไข้ มีแต่รับเข้าเท่านั้น... แล้วรถฉุกเฉินจากโรงพยาบาลพญาไท ก็รุดมารับอาปา
ไปถึงมือคุณหมอสุรพงศ์ อำพันวงษ์ ซึ่งท่านเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทศัลยศาสตร์ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์
การรักษาอาปาซึ่งอยู่ในขั้นวิกฤติ คุณหมอให้ความหวังกับพวกเราว่า โอกาสมีเพียง ๕๐-๕๐ อาจรอดแต่เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต
เพราะเส้นเลือดฝอยที่แตกในสมองและแข็งตัวบาดลุกลามไปมากพอควรก่อนถึงมือท่าน เพียงแค่เรามาช้าไปราวไม่ถึงชั่วโมง
อาปานอนไม่รู้สึกตัวอยู่ราว ๒ วัน ๑ คืน จำไม่ถนัดนัก รู้แต่ว่าเคว้งคว้างมากในความรู้สึกของเด็กมัธยมปลายที่กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ที่วาดความหวังไว้ว่าจะทำให้พ่อภูมิใจกับลูกคนแรกที่สอบเข้าเรียนระดับปริญญาตรี ในมหาวิทยาลัยปิดให้ได้

ฉันจะว่าเรื่องวิกฤติโควิดและชื่อหูเป่ย์ กับวิกฤติที่เกิดในครอบครัวช่วงนั้น ไหงพาล่องเจ้าพระยาออกอ่าวไทยไปเสียไกล เรื่องของเรื่องคือ ในช่วงความพีคของโควิดระยะแรกที่เมืองไทย วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๓ แม่ซึ่งป่วยติดเตียงมานานถึง ๘ ปี ก็จากไปด้วยวัย ๘๗ ปี ถัดมาไม่ทัน ๓ เดือน วันที่ ๑๗ มิถุนายน ย่าของหลาน ๆ ก็มาจากไปไม่ทันได้ตั้งตัว จากอาการปวดท้องหนักนำส่งตัวเข้าโรงพยาบาลแบบด่วน ๆ ตั้งแต่ตอนกลางวัน รอกว่าจะได้ผ่าตัดมืดค่ำ พักฟื้นได้เพียงไม่ถึง ๓ วัน ติดเชื้อในกระแสเลือด โรงพยาบาลแห่งเดิมอีกแล้วห่างกัน ๓๘ ปี
  คลื่นยักษ์สึนามิ
ที่ต้องเท้าความมาไกล เพราะเหตุที่มาของการล่วงรู้ประวัติส่วนตัวของอาโผก็ด้วยเหตุหลังจากแม่ฉันเสียนี่เอง เสร็จจากจัดงานให้แม่ พวกเราพี่น้องก็หารือเรื่องนู้นนี้รวมทั้งแจกจ่ายข้าวของแม่ที่ยังคงมีอยู่เอาไปเก็บเป็นที่ระลึกกัน หนึ่งในข้าวของของแม่ มีกระเป๋าโดเรมอนใบน้อยที่อัดแน่นด้วยสมุดจดโทรศัพท์เล่มเล็กเล่มน้อย กระดาษจดนุ้นนี้ แม่ชอบใช้ปฏิทินฉีกรายวันบันทึกเหมือนตอนวันสิ้นอาโผ ฉันได้พบเหตุการณ์ซึนามิในบันทึกทรงจำของแม่ด้วยลายมือพี่เลี้ยงหลานบ้านน้องสาว
สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านั้น ไหนเลยจะทรงคุณค่าต่อใจเท่าเอกสารส่วนตัวของอาโผ เตี๊ยเตีย ที่แม่เฝ้าเก็บรักษาติดตัวมาแต่บ้านนครถม
อ่อ...ลืมบอกไปว่า แม่ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ กับน้องสาวตั้งแต่ราว ๒๕๓๐ ต้น ๆ
ฉันเคยคลี่เอกสารเหล่านั้นดู รู้แล้ว เห็นแล้ว ว่ามีหนังสือต่างด้าวเก่าคร่ำคร่าของทั้งสองท่าน ทั้งที่ยังคงอยู่เป็นเล่ม กับหลุดเป็นชิ้นอัน ในใจก็นึกอยู่ว่าสักวันต้องเริ่มต้นบันทึกเรื่องราวของครอบครัวเรา ตามที่น้องเล็ก พี่ชายคนติดกันเปรยกับคนรู้จักว่า ...ก็รอว่าเมื่อไรฉันจะเริ่มเขียน มัวแต่ไปเขียนไปเก็บประวัติชาวบ้าน ประวัตินุ้นนี้ของคอนถม ว่าแล้วนางก็จบประโยคบอกเล่า ว่า ป่าววว ไม่ใช่อะไรหรอก ในพี่น้องที่เหลืออยู่ฉันเป็นคนเดียวที่ยังจำเรื่องอะไรต่ออะไรได้มาก กลัวว่าถ้าฉันตายก่อนจะไม่มีใครจดอะไรไว้...
เป็นไงล่ะ พี่ชายฉันน่ารักมุ้ยยยย 555

ใบทำนายดวงชะตา
มาถึงเรื่องเอกสารของอาโผ เตี๊ยเตีย ที่แม้จะรู้เห็นแล้วก็ยังปล่อยผ่านเวลามาถึง ๕ ปี หนึ่งก็ด้วยตอนนั้นยังไม่เกษียณราชการ ยังคงขีด ๆ เขียน ๆ งานในหน้าที่ จนบัดนี้จะครบปีที่ควรพักก็ยังสนุกกับการควานหาเรื่องนุ้นนี้นั้นเขียนไปเรื่อยเปื่อย ก็แล้วเอกสารที่บ้านไม่เขียนเล่าหรือ ประการที่สองนั้นคือ มีเอกสารเป็นกระดาษค่อนข้างกรอบอยู่แผ่นหนึ่งมีแต่ภาษาจีนซึ่งฉันไม่สามารถ จึงรอเวลาให้เจอใครสักคนเมตตา โชคดีมีน้องนักศึกษาเอกประวัติศาสตร์ ป.โท ที่คณะอักษรฯ ทับแก้ว นางช่วยสงเคราะห์อ่านแปลให้ เนื้อความประมาณว่า เป็นเอกสารทำนายดวงชะตาผู้หญิง ซึ่งขณะนั้นมีอายุราว ๕๐ เอ๊ะ!! รึ ๔๐ ปีเศษนะ ลืม!! เป็นคำทำนายตั้งแต่อดีตในแต่ละช่วงวัย เหมือนจะบอกเวลาสิ้นอายุขัยด้วย ก็พยายามเดา ๆ นับปีตามอายุที่ว่า ก็ไม่ตรงทั้งอาโผ ทั้งแม่ เพราะทั้งสองท่านอายุยืนเกินกว่า ๗๐ ปีเศษตามคำทำนาย และในคำทำนายยังบอกชื่อของผู้ทำนายว่าอยู่ละแวกวัดกลาง ที่นครถม หมดเรื่องที่ค้างคาใจมา ๕ ปี ก็หันมาเอาใจใส่เอกสารราชการไทยที่พออ่านได้ไม่ครบดีนัก ด้วยตัวอักษรบางช่วงลบเลือนกับลายมือที่สวยหวัดแบบราชการ แต่ก็พอจับเค้าสาระสำคัญได้

ชื่อ-แซ่ อาโผเรารู้และจำได้เพราะมีหน้าที่ตามแม่ไปลงชื่อกินเจให้อาโผ กับพาไปโรงเจแล้วก็อยู่เป็นเพื่อนไหว้เจ้า ดูงิ้วเดินขึ้น-เดินลง แก้บนตอนกลางวันทุกปี สิ้นบุญแม่และอาโผก็มีหน้าที่ไปซื้อเครื่องกระดาษทำบุญส่งให้บรรพบุรุษตามเทศกาล พอมาเห็นในสมุดประจำตัวก็ งง ๆ เล็กน้อย แต่ก็เข้าใจได้ถึงความเข้าใจเรื่องชื่อแซ่ รวมถึงการฟัง การะสะกดคำจีนในภาษาไทย
      
เครื่องประดับและของเล่นกระดาษแบบจีนโบราณ โคมไฟ จั๊กจั่น กังหัน ป๋องแป๋ง
ข้อมูลจากสมุดประจำตัวคนต่างด้าวของอาโผ ออกชื่อ-สกุลว่า นางฮวยสือ แซ่ไต่ ผิดจากที่เราท่องจำขึ้นใจว่า ซินเวย เว่ยซือ หรือพูดแบบไทยคือ นางเว่ยสือ แซ่เวย ซึ่งไม่ใช่แซ่ไต่เพราะนั่นเป็นแซ่ของเตี๊ยเตีย อาโผเกิด พ.ศ. ๒๔๓๑ พ่อชื่อนายเซียง แม่ชื่อ เจียงศรี บ้านเกิดอยู่ที่ ต.มูซัง จ.อุบะ ไม่มีส่วนใดระบุถึงหูเป่ย์ที่ฉันเคยคุ้นเลย อาโผเข้ามาในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๖ อายุ ๔๕ ปี อาศัยอยู่ที่ ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ประกอบอาชีพค้าขาย
      
พ้นจากอาชีพทำอาหารซึ่งอาโผมีตำรับอาหารอร่อยหลายเมนูที่พวกเราชอบกินจากฝีมือแม่คนไทย อาชีพที่ดูน่าจะเป็นงานที่คาดว่าอาโผอาจจะทำขายได้เท่าที่เคยเห็นเพราะอาโผทำให้เล่นบ่อย ๆ ก็อาจจะเป็นการประดิษฐ์ของเล่น ของประดับด้วยกระดาษ อาทิ ดอกไม้ โคมไฟ กังหันลม ป๋องแป๋ง หรือ กระทั่งเครื่องกระดาษเล่นกล ที่คล้ายไพ่หนึ่งสำรับติดกัน พอเราจับมันยกขึ้นและปล่อยก็จะไหลขึ้นลงตามมือที่เราพลิกไป-มา หรืออาจจะเป็นอาชีพทำขนมน้ำตาลเป่าที่มักเห็นขายกันตามงานศาลเจ้าโรงเจ ที่ปัจจุบันไม่ค่อยพบที่ทำเป็นลักษณะใช้แม่พิมพ์ประกบแล้วเป่าให้พอง แต่นิยมปั้นเป็นรูปลิงตกปลา เป็นมังกร หรืออื่น ๆ ตามจินตนาการของพ่อค้า กับอีกสิ่งหนึ่งที่อาโผมักพิถีพิถันทำขึ้นใช้ในครอบครัว บางครั้งก็แจกให้ญาติ ๆ ที่ไปมาหาสู่ คือ การประดิษฐ์ผ้าห่มแบบแพทช์เวิร์ค (Patchwork) ที่อาโผมักให้แม่ซื้อผ้าหนา ๆ อุ่น ๆ เพลาะเป็นอีกด้านเย็บขอบเข้ามุมอย่างประณีตสวยงาม  เสียดาย... เด็กวันวานไม่รู้ค่างานฝีมือ คิดว่าเป็นเศษผ้าปะ ๆ ต่อ ๆ ไม่งามเท่าผ้าพวยที่หาซื้อทั่วไป วันนี้จึงไม่มีงานฝีมือของอาโผเก็บไว้เป็นที่ระลึกเลยสักผืน
  
ชีวิตครอบครัวชาวจีนโพ้นทะเลที่หอบหิ้วกันมาปักหลักทำมาหากิน เริ่มต้นที่เมืองแปดริ้วราว ๑๐ ปี จนกระทั่งพบข้อมูลจากสมุดเล่มเดิมระบุว่า วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๔๘๖ ได้ย้ายจากหมู่ที่ ๓ ต.หน้าเมือง ฉะเชิงเทรา มาอยู่บ้านเลขที่ ๑๔๘ ต.ประแจจีน อ.ดุสิต จ.พระนคร ซึ่งเป็นการย้ายที่อยู่ ครั้งที่ ๑ ที่ปรากฏหลักฐานเพียงครั้งเดียวเท่านั้น นับจากเมื่อแรกเข้ามาอยู่เมืองไทย ซึ่งระหว่างนั้นพบว่าต้องมีการไปรายงานตัวต่ออายุหลายต่อหลายครั้ง บางครั้งก็ขาดต่ออายุไปบ้าง ด้วยสังเกตจากอากรแสตมป์ต่างด้าวที่มีทั้งดวงละ ๔ บาท ๒๐ บาท นับเป็นราคาที่สูงมาก ๆ ในสมัยร่วมร้อยปีที่แล้ว กระทั่งสุดท้าย เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๖ อยู่ในเมืองไทย ๒๐ ปี อาโผอายุ ๖๕ ปี ก็ได้รับการต่ออายุตลอดชีพโดยยกเว้นค่าธรรมเนียมเพราะมีอายุอยู่ในเกณฑ์ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๔๘๕ หรือ ๙๕ (ตัวหนังสืออ่านไม่ชัด) ข้อ ๓ โดยมีผู้ลงนามรับรองในสมุดคือนายทะเบียนต่างด้าว สน.พญาไท
.
นฤมล บุญญานิตย์
๓ มิถุนายน ๒๕๖๘
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่