ปากีสถานเตรียมซื้อระบบป้องกันขีปนาวุธ HQ-19 ที่ถูกขนานนามว่า “THAAD ของจีน”

รัฐบาลอิสลามาบัดอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อจัดหาระบบป้องกันภัยทางอากาศ HQ-19 รวมถึงเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 5 รุ่น J-35A จากจีน โดยคาดว่าการส่งมอบจะเกิดขึ้นภายในไตรมาสแรกของปีถัดไป
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการป้องกันตนเองจากการโจมตีด้วยขีปนาวุธพิสัยไกล ขีปนาวุธร่อน และขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง ซึ่งกำลังเป็นภัยคุกคามสำคัญในภูมิภาคเอเชียใต้ ระบบ HQ-19 หรือที่รู้จักในอีกชื่อว่า “THAAD ของจีน” ได้รับความสนใจจากปากีสถานในฐานะเครื่องมือสำคัญในการตอบโต้ภัยคุกคามดังกล่าว
ระบบ THAAD (Terminal High Altitude Area Defense) ที่พัฒนาโดย Lockheed Martin จากสหรัฐฯ เป็นระบบเคลื่อนที่ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโต้ขีปนาวุธพิสัยใกล้ในช่วงสุดท้ายของการบิน ด้วยแนวคิด “โจมตีเพื่อสังหาร” (hit-to-kill) โดยใช้พลังงานจลน์แทนวัตถุระเบิดในการทำลายเป้าหมาย ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับที่ระบบ HQ-19 ของจีนนำมาใช้
ปัจจุบันนักบินของกองทัพอากาศปากีสถานได้เดินทางไปยังประเทศจีนเพื่อฝึกอบรมการใช้งานเครื่องบินขับไล่ J-35A ล่วงหน้า ส่วน HQ-19 มีแนวโน้มว่าจะนำมาใช้ในการป้องกันการโจมตีจากขีปนาวุธร่อนอย่าง BrahMos และ SCALP-EG ซึ่งติดตั้งอยู่บนเครื่องบินขับไล่ Rafale ของกองทัพอากาศอินเดีย
ในช่วงที่ผ่านมาปากีสถานสามารถสกัดการโจมตีด้วยขีปนาวุธร่อนจากอินเดียได้บางส่วนด้วยระบบป้องกันภัยทางอากาศที่มีอยู่ อย่างไรก็ตามรัฐบาลยังมองเห็นความจำเป็นในการเสริมสร้างระบบป้องกันที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องจากประเทศเพื่อนบ้าน
ปัจจุบันปากีสถานใช้งานระบบป้องกันภัยทางอากาศจากจีนหลายประเภท ทั้งระบบพิสัยไกล ระบบพกพา (MANPADS) และระบบป้องกันระยะสั้นถึงกลาง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญในกลยุทธ์การป้องกันแบบหลายชั้น (multi-layered defense strategy)
ระบบ HQ-19 ถือเป็นแกนหลักของแนวป้องกันภัยทางอากาศเชิงยุทธศาสตร์ระดับสูง ได้รับการพัฒนาโดยบริษัท China Aerospace Science and Technology Corporation (CASC) ภายใต้โครงการ Project 863 ที่มีเป้าหมายลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก
ภารกิจของ HQ-19 คือการสกัดกั้นขีปนาวุธพิสัยกลางถึงไกล เช่น ICBM และ IRBM ในช่วงสุดท้ายของการบิน โดยทำงานที่ระดับความสูง 70–150 กิโลเมตร ซึ่งอยู่นอกชั้นบรรยากาศโลกตอนล่าง จุดเด่นอีกประการคือใช้เรดาร์ AESA แบนด์ X ที่มีพิสัยตรวจจับเป้าหมายไกลกว่า 1,000 กิโลเมตร
HQ-19 ยังรองรับระบบนำวิถีหลายรูปแบบ ทั้งกึ่งแอ็คทีฟ แอ็คทีฟ และเวอร์ชันล่าสุดอาจรวมถึงอินฟราเรดเพื่อเพิ่มความแม่นยำ โดยติดตั้งบนแท่นยิงเคลื่อนที่ที่คล้ายคลึงกับแพลตฟอร์มของ HQ-9B ทำงานร่วมกับระบบอื่นในเครือข่ายป้องกันภัยทางอากาศ เช่น HQ-9, HQ-22 และดาวเทียมเตือนภัยล่วงหน้า
แม้ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ แต่มีรายงานว่าการทดสอบระบบ HQ-19 เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นทศวรรษ 2010 และประสบความสำเร็จในการสกัดกั้นขีปนาวุธทดลองเมื่อปี 2021 โดยเชื่อว่าเป็นระบบนี้หรือระบบในสายพัฒนาที่ใกล้เคียงกัน

HQ-19 มีพิสัยสกัดกั้นประมาณ 1,000–3,000 กิโลเมตร ครอบคลุมการโจมตีจากขีปนาวุธพิสัยไกล เช่น Agni-V และ Agni-P ของอินเดีย และเพิ่มความสามารถในการปกป้องเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ เช่น ฐานนิวเคลียร์หรือศูนย์บัญชาการสำคัญ
นอกจากนี้ HQ-19 ยังเสริมแนวคิด “การยับยั้งที่น่าเชื่อถือขั้นต่ำ” ของปากีสถาน ที่ต้องการรักษาขีดความสามารถในการโต้ตอบต่อภัยคุกคามนิวเคลียร์โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการโจมตีตอบโต้เพียงอย่างเดียว
การจัดซื้อ HQ-19 มีแนวโน้มว่าจะกระตุ้นปฏิกิริยาจากอินเดีย ซึ่งอาจเร่งการพัฒนาขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง ระบบ MIRV หรือ SLBM และยิ่งเพิ่มการแข่งขันด้านอาวุธในภูมิภาคให้เข้มข้นยิ่งขึ้น
ที่สำคัญ การส่งมอบระบบเชิงยุทธศาสตร์เช่นนี้จากจีนสะท้อนถึงความสัมพันธ์ระดับสูงระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะในด้านความร่วมมือด้านข่าวกรอง การเตือนภัยล่วงหน้า และระบบเรดาร์เฝ้าระวัง ซึ่งอาจนำไปสู่การบูรณาการเครือข่ายป้องกันภัยทางอากาศในอนาคต
อย่างไรก็ตาม การใช้งานระบบ HQ-19 ต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานขั้นสูง รวมถึงบุคลากรที่ผ่านการฝึกอบรม และระบบควบคุมแบบ C4ISR เพื่อให้การปฏิบัติการมีประสิทธิภาพสูงสุด
การจัดซื้อ HQ-19 ยังอาจสร้างแรงกดดันจากนานาชาติ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และอินเดีย รวมถึงการตรวจสอบจากกลไกควบคุมอาวุธระหว่างประเทศ เช่น MTCR และ HCoC ที่มุ่งควบคุมการแพร่กระจายของขีปนาวุธพิสัยไกลที่มีศักยภาพติดตั้งอาวุธทำลายล้างสูง
สุดท้าย การเข้าซื้อระบบ HQ-19 อาจเปลี่ยนสมดุลทางทหารในเอเชียใต้และส่งเสริมสถานะของปากีสถานในฐานะประเทศที่มีศักยภาพป้องกันภัยทางอากาศนอกชั้นบรรยากาศอย่างแท้จริง แม้จะแลกมาด้วยความเสี่ยงด้านความตึงเครียดระหว่างประเทศและต้นทุนการดำเนินการที่สูง

ปากีสถานเตรียมซื้อระบบป้องกันขีปนาวุธ HQ-19 ที่ถูกขนานนามว่า “THAAD ของจีน”
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการป้องกันตนเองจากการโจมตีด้วยขีปนาวุธพิสัยไกล ขีปนาวุธร่อน และขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง ซึ่งกำลังเป็นภัยคุกคามสำคัญในภูมิภาคเอเชียใต้ ระบบ HQ-19 หรือที่รู้จักในอีกชื่อว่า “THAAD ของจีน” ได้รับความสนใจจากปากีสถานในฐานะเครื่องมือสำคัญในการตอบโต้ภัยคุกคามดังกล่าว
ระบบ THAAD (Terminal High Altitude Area Defense) ที่พัฒนาโดย Lockheed Martin จากสหรัฐฯ เป็นระบบเคลื่อนที่ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโต้ขีปนาวุธพิสัยใกล้ในช่วงสุดท้ายของการบิน ด้วยแนวคิด “โจมตีเพื่อสังหาร” (hit-to-kill) โดยใช้พลังงานจลน์แทนวัตถุระเบิดในการทำลายเป้าหมาย ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับที่ระบบ HQ-19 ของจีนนำมาใช้
ปัจจุบันนักบินของกองทัพอากาศปากีสถานได้เดินทางไปยังประเทศจีนเพื่อฝึกอบรมการใช้งานเครื่องบินขับไล่ J-35A ล่วงหน้า ส่วน HQ-19 มีแนวโน้มว่าจะนำมาใช้ในการป้องกันการโจมตีจากขีปนาวุธร่อนอย่าง BrahMos และ SCALP-EG ซึ่งติดตั้งอยู่บนเครื่องบินขับไล่ Rafale ของกองทัพอากาศอินเดีย
ในช่วงที่ผ่านมาปากีสถานสามารถสกัดการโจมตีด้วยขีปนาวุธร่อนจากอินเดียได้บางส่วนด้วยระบบป้องกันภัยทางอากาศที่มีอยู่ อย่างไรก็ตามรัฐบาลยังมองเห็นความจำเป็นในการเสริมสร้างระบบป้องกันที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องจากประเทศเพื่อนบ้าน
ปัจจุบันปากีสถานใช้งานระบบป้องกันภัยทางอากาศจากจีนหลายประเภท ทั้งระบบพิสัยไกล ระบบพกพา (MANPADS) และระบบป้องกันระยะสั้นถึงกลาง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญในกลยุทธ์การป้องกันแบบหลายชั้น (multi-layered defense strategy)
ระบบ HQ-19 ถือเป็นแกนหลักของแนวป้องกันภัยทางอากาศเชิงยุทธศาสตร์ระดับสูง ได้รับการพัฒนาโดยบริษัท China Aerospace Science and Technology Corporation (CASC) ภายใต้โครงการ Project 863 ที่มีเป้าหมายลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก
ภารกิจของ HQ-19 คือการสกัดกั้นขีปนาวุธพิสัยกลางถึงไกล เช่น ICBM และ IRBM ในช่วงสุดท้ายของการบิน โดยทำงานที่ระดับความสูง 70–150 กิโลเมตร ซึ่งอยู่นอกชั้นบรรยากาศโลกตอนล่าง จุดเด่นอีกประการคือใช้เรดาร์ AESA แบนด์ X ที่มีพิสัยตรวจจับเป้าหมายไกลกว่า 1,000 กิโลเมตร
HQ-19 ยังรองรับระบบนำวิถีหลายรูปแบบ ทั้งกึ่งแอ็คทีฟ แอ็คทีฟ และเวอร์ชันล่าสุดอาจรวมถึงอินฟราเรดเพื่อเพิ่มความแม่นยำ โดยติดตั้งบนแท่นยิงเคลื่อนที่ที่คล้ายคลึงกับแพลตฟอร์มของ HQ-9B ทำงานร่วมกับระบบอื่นในเครือข่ายป้องกันภัยทางอากาศ เช่น HQ-9, HQ-22 และดาวเทียมเตือนภัยล่วงหน้า
แม้ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ แต่มีรายงานว่าการทดสอบระบบ HQ-19 เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นทศวรรษ 2010 และประสบความสำเร็จในการสกัดกั้นขีปนาวุธทดลองเมื่อปี 2021 โดยเชื่อว่าเป็นระบบนี้หรือระบบในสายพัฒนาที่ใกล้เคียงกัน
นอกจากนี้ HQ-19 ยังเสริมแนวคิด “การยับยั้งที่น่าเชื่อถือขั้นต่ำ” ของปากีสถาน ที่ต้องการรักษาขีดความสามารถในการโต้ตอบต่อภัยคุกคามนิวเคลียร์โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการโจมตีตอบโต้เพียงอย่างเดียว
การจัดซื้อ HQ-19 มีแนวโน้มว่าจะกระตุ้นปฏิกิริยาจากอินเดีย ซึ่งอาจเร่งการพัฒนาขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง ระบบ MIRV หรือ SLBM และยิ่งเพิ่มการแข่งขันด้านอาวุธในภูมิภาคให้เข้มข้นยิ่งขึ้น
ที่สำคัญ การส่งมอบระบบเชิงยุทธศาสตร์เช่นนี้จากจีนสะท้อนถึงความสัมพันธ์ระดับสูงระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะในด้านความร่วมมือด้านข่าวกรอง การเตือนภัยล่วงหน้า และระบบเรดาร์เฝ้าระวัง ซึ่งอาจนำไปสู่การบูรณาการเครือข่ายป้องกันภัยทางอากาศในอนาคต
อย่างไรก็ตาม การใช้งานระบบ HQ-19 ต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานขั้นสูง รวมถึงบุคลากรที่ผ่านการฝึกอบรม และระบบควบคุมแบบ C4ISR เพื่อให้การปฏิบัติการมีประสิทธิภาพสูงสุด
การจัดซื้อ HQ-19 ยังอาจสร้างแรงกดดันจากนานาชาติ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และอินเดีย รวมถึงการตรวจสอบจากกลไกควบคุมอาวุธระหว่างประเทศ เช่น MTCR และ HCoC ที่มุ่งควบคุมการแพร่กระจายของขีปนาวุธพิสัยไกลที่มีศักยภาพติดตั้งอาวุธทำลายล้างสูง
สุดท้าย การเข้าซื้อระบบ HQ-19 อาจเปลี่ยนสมดุลทางทหารในเอเชียใต้และส่งเสริมสถานะของปากีสถานในฐานะประเทศที่มีศักยภาพป้องกันภัยทางอากาศนอกชั้นบรรยากาศอย่างแท้จริง แม้จะแลกมาด้วยความเสี่ยงด้านความตึงเครียดระหว่างประเทศและต้นทุนการดำเนินการที่สูง