ลดยาเดิม กินยาใหม่ เผชิญหน้าแพนิค
ยาวหน่อย ถ้าใครมีไปกันต่อ
เกือบระยะเวลา 4 เดือนตั้งแต่มีอาการมาวันแรก ใจเต้นเร็ว 150 จะวูบ มือสั่น ใจสั่น หายใจไม่อิ่ม ท้องไส้ปั่นป่วน เรียกรถ พยาบาลครอบครัวตื่นตระหนกมา รพ. เพื่อนรีบขับรถมาหาเพราะคิดว่าเราจะตาย อาการเหมือนหัวใจจะวาย แอดมิด 1 วัน หมอบอกปกติ ไทรอย ไต หัวใจ ถัดมาอาทิตย์นึงอาการก็ยังไม่หาย ใจสั่น มือสั่น ลางานไปหาหมอคลื่นหัวใจปกติ ชีพจรพุ่งไป 140 อาการยังมาอยู่เรื่อยๆ แต่ไม่ได้มาทุกวัน กินอะไรกระตุ้นไม่ได้เลย เช่น ชา กาแฟ รวมถึงร้ำอัดลมมีคาเฟอีน ชีวิตช็อคเพราะเคยใช้ชีวิตปกติกลับมากินอะไรไม่ได้เลยไปไหนก็ไม่กล้าไป กลัวการใช้ชีวิตกลัวตอนขับรถ ใจเต้นยืนพื้น 90-100 ตอนเดินแค่ไปเข้าห้องน้ำไปถึง 120 หมอจ่ายยา propanolol 10 mg มาให้กิน ยาอยู่ได้ค่อนวันถึงแค่ช่วง 4 โมงเย็น
ผ่านไป เกือบเดือน อาการก็ยังอยู่ ทุกคนได้แค่แนะนำให้ไปหาหมอ ใจเราไม่อยากไปเพราะไปแล้วหมอไม่ได้ทำอะไร ตรวจมายังเหมือนเดิม อาการรอบหลังๆ มาเกือบทุกวัน มีอาการปวดหัวที่เบ้าตาข้างเดียวร่วมด้วยร่วมด้วย ร้าวตั้งแต่คอไปเบ้าตา ตื้อสมอง สมองมึนงง เหมือนความดันพุ่ง หัวตื้อไปหมด กินยาแก้ปวดทุก 4 ชม. กินยาแล้วนอน พอตื่นมาชีพจรพุ่งอีก มันสั่นใจเต้นเร็ว รู้สึกได้เลยว่ามันไม่สบายใจ เลยไปหาหมอแอดมิดอีกรอบ สุดท้ายก็ตรวจไม่พบอะไร คราวนี้คุณหมอเปลี่ยนยา มาเป็น atenolol 50 mg วันแรกที่กินเหมือนเป็นหืดๆที่คอ ชีพจรโดนกอไปถึง 50 ตอนนอน แล้วก็นอนไม่ได้เลยเหมือนใจวูบตกจากที่สูง แต่หมอยังบอกว่าไม่เป็นอะไร แถมนอนกรนหนักกว่าเดิม เหมือนหลอดลมมันตีบขึ้น ไม่รู้คิดไปเองมั๊ย หมอเลยลดขนาดยามาเหลือ 25 mg และให้ยานอนหลับมากินด้วย เราถามพยาบาลว่ากินแล้วติดมั๊ย พยาบาลบอกใช่ เลยไม่ได้กินติดต่อกัน งงเหมือนกันหมอจ่ายยามาเยอะพอสมควร กินไปสักพักอาการใจเต้นดีขึ้น แต่ยังมาบ้างเดือนล่ะ 2 ครั้ง หมอนัดฟอลโลวเดือนละครั้ง จ่ายยาเดิมมา
พบหมอหัวใจ 2 คน หมอบอกปกติ หมอหัวใจอีกคนทำ งง ว่ามาหาหมอหัวใจทำไมอายุเท่านี้ น้ำหนักลดฮวบจากตอนแอดมิดรอบแรก จาก 84 มาหลือตอนนี้ 76 ลดมา 8 โล หลังจากนั้นอาการใจสั่นหายไป เพราะกินยาทุกวัน แต่อาการนอนไม่หลับ กลับหนักขึ้น เหมือนสมองมันทำงานตลอดเวลา ฝันอะไรไปเรื่อยเปื่อย สะดุ้งตื่นกลางดึก ฝันร้าย สะดุ้งเพราะเสียงกรน ทั้งที่ไม่ได้เครียดอะไรเลย ตั้งแต่ช่วงแรกๆแล้วที่เราคิดว่าอาการคล้ายแพนิค แต่หมอหัวใจดูไม่มีทีท่าว่าจะส่งไปตรวจต่อ ได้แต่จ่ายยาลดการเต้นของหัวใจซึ่งเรามองว่าปลายเหตุ รอบเดือน 5 ที่ผ่านมาไปหาหมอหัวใจเลยหมอขอตรวจแพนิค กับเล่าอาการนอนไม่หลับ หมอส่งไปตรวจ "ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ" ตอนนี้รอคิวพบหมออยู่เพราะประกันสังคม เจออีกโรคเฉย
ล่าสุดไปพบหมอแพนิค หมอบอกเราป็นแพนิคและจ่ายยามาให้เรากินเป็นยาลดอาการวิตกกังวลมา 2 ตัว ตัวนึงกินทุกวัน อีกตัวกินเฉพาะมีอาการ หมอบอกให้เลิกกินยาตัวเดิมหรือให้กินครึ่งเดียว บอกตรงๆว่ากลัวมาก เลิกกินยาไป กลัวชีพจรดีด เพราะมันส่งผลต่อการใช้ชีวิตและการทำงาน เราต้องหาเงิน คนข้างหลังยังรอเราอยู่ บางทีชีพจรเต้นไวจนนอนไม่ได้ แต่มันก็คงถึงเวลาที่เราต้องเผชิญหน้ากับมัน ถ้าเราไม่กล้าที่จะพบเจอกับอาการแพนิค เราก็คงไม่รู้ว่าเราจะรับมือกับมันยังไง วันนี้เป็นวันแรก ที่เราลดยาของเดิมมาเหลือครึ่งนึง ค่อยๆไปและจะเลิกในที่สุด วันนี้เลยเป็นวันแรกที่เราเริ่มรักษาอาการป่วยที่ถูกโรควันแรก เท่าที่สืบมาโรคนี้หายได้ 3 เดือน 6 เดือน 1ปี เราต้องสู้และเผชิญกับอาการที่แท้จริง ...บอกตัวเองว่าเราต้องสู้และอดทนกับมันให้ได้ โชคยังดีที่ไม่ได้เป็นโรคหัวใจ แพนิคมาเราจะได้รู้ว่าอย่างมากสุดก็แค่ใจเต้นเร็ว เส้นทางนี้รู้ว่ามันไม่ง่าย แต่เราต้องผ่านมันไปให้ได้
เมื่อชีวิตต้องเผชิญหน้ากับ "โรคแพนิค"
ยาวหน่อย ถ้าใครมีไปกันต่อ
เกือบระยะเวลา 4 เดือนตั้งแต่มีอาการมาวันแรก ใจเต้นเร็ว 150 จะวูบ มือสั่น ใจสั่น หายใจไม่อิ่ม ท้องไส้ปั่นป่วน เรียกรถ พยาบาลครอบครัวตื่นตระหนกมา รพ. เพื่อนรีบขับรถมาหาเพราะคิดว่าเราจะตาย อาการเหมือนหัวใจจะวาย แอดมิด 1 วัน หมอบอกปกติ ไทรอย ไต หัวใจ ถัดมาอาทิตย์นึงอาการก็ยังไม่หาย ใจสั่น มือสั่น ลางานไปหาหมอคลื่นหัวใจปกติ ชีพจรพุ่งไป 140 อาการยังมาอยู่เรื่อยๆ แต่ไม่ได้มาทุกวัน กินอะไรกระตุ้นไม่ได้เลย เช่น ชา กาแฟ รวมถึงร้ำอัดลมมีคาเฟอีน ชีวิตช็อคเพราะเคยใช้ชีวิตปกติกลับมากินอะไรไม่ได้เลยไปไหนก็ไม่กล้าไป กลัวการใช้ชีวิตกลัวตอนขับรถ ใจเต้นยืนพื้น 90-100 ตอนเดินแค่ไปเข้าห้องน้ำไปถึง 120 หมอจ่ายยา propanolol 10 mg มาให้กิน ยาอยู่ได้ค่อนวันถึงแค่ช่วง 4 โมงเย็น
ผ่านไป เกือบเดือน อาการก็ยังอยู่ ทุกคนได้แค่แนะนำให้ไปหาหมอ ใจเราไม่อยากไปเพราะไปแล้วหมอไม่ได้ทำอะไร ตรวจมายังเหมือนเดิม อาการรอบหลังๆ มาเกือบทุกวัน มีอาการปวดหัวที่เบ้าตาข้างเดียวร่วมด้วยร่วมด้วย ร้าวตั้งแต่คอไปเบ้าตา ตื้อสมอง สมองมึนงง เหมือนความดันพุ่ง หัวตื้อไปหมด กินยาแก้ปวดทุก 4 ชม. กินยาแล้วนอน พอตื่นมาชีพจรพุ่งอีก มันสั่นใจเต้นเร็ว รู้สึกได้เลยว่ามันไม่สบายใจ เลยไปหาหมอแอดมิดอีกรอบ สุดท้ายก็ตรวจไม่พบอะไร คราวนี้คุณหมอเปลี่ยนยา มาเป็น atenolol 50 mg วันแรกที่กินเหมือนเป็นหืดๆที่คอ ชีพจรโดนกอไปถึง 50 ตอนนอน แล้วก็นอนไม่ได้เลยเหมือนใจวูบตกจากที่สูง แต่หมอยังบอกว่าไม่เป็นอะไร แถมนอนกรนหนักกว่าเดิม เหมือนหลอดลมมันตีบขึ้น ไม่รู้คิดไปเองมั๊ย หมอเลยลดขนาดยามาเหลือ 25 mg และให้ยานอนหลับมากินด้วย เราถามพยาบาลว่ากินแล้วติดมั๊ย พยาบาลบอกใช่ เลยไม่ได้กินติดต่อกัน งงเหมือนกันหมอจ่ายยามาเยอะพอสมควร กินไปสักพักอาการใจเต้นดีขึ้น แต่ยังมาบ้างเดือนล่ะ 2 ครั้ง หมอนัดฟอลโลวเดือนละครั้ง จ่ายยาเดิมมา
พบหมอหัวใจ 2 คน หมอบอกปกติ หมอหัวใจอีกคนทำ งง ว่ามาหาหมอหัวใจทำไมอายุเท่านี้ น้ำหนักลดฮวบจากตอนแอดมิดรอบแรก จาก 84 มาหลือตอนนี้ 76 ลดมา 8 โล หลังจากนั้นอาการใจสั่นหายไป เพราะกินยาทุกวัน แต่อาการนอนไม่หลับ กลับหนักขึ้น เหมือนสมองมันทำงานตลอดเวลา ฝันอะไรไปเรื่อยเปื่อย สะดุ้งตื่นกลางดึก ฝันร้าย สะดุ้งเพราะเสียงกรน ทั้งที่ไม่ได้เครียดอะไรเลย ตั้งแต่ช่วงแรกๆแล้วที่เราคิดว่าอาการคล้ายแพนิค แต่หมอหัวใจดูไม่มีทีท่าว่าจะส่งไปตรวจต่อ ได้แต่จ่ายยาลดการเต้นของหัวใจซึ่งเรามองว่าปลายเหตุ รอบเดือน 5 ที่ผ่านมาไปหาหมอหัวใจเลยหมอขอตรวจแพนิค กับเล่าอาการนอนไม่หลับ หมอส่งไปตรวจ "ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ" ตอนนี้รอคิวพบหมออยู่เพราะประกันสังคม เจออีกโรคเฉย
ล่าสุดไปพบหมอแพนิค หมอบอกเราป็นแพนิคและจ่ายยามาให้เรากินเป็นยาลดอาการวิตกกังวลมา 2 ตัว ตัวนึงกินทุกวัน อีกตัวกินเฉพาะมีอาการ หมอบอกให้เลิกกินยาตัวเดิมหรือให้กินครึ่งเดียว บอกตรงๆว่ากลัวมาก เลิกกินยาไป กลัวชีพจรดีด เพราะมันส่งผลต่อการใช้ชีวิตและการทำงาน เราต้องหาเงิน คนข้างหลังยังรอเราอยู่ บางทีชีพจรเต้นไวจนนอนไม่ได้ แต่มันก็คงถึงเวลาที่เราต้องเผชิญหน้ากับมัน ถ้าเราไม่กล้าที่จะพบเจอกับอาการแพนิค เราก็คงไม่รู้ว่าเราจะรับมือกับมันยังไง วันนี้เป็นวันแรก ที่เราลดยาของเดิมมาเหลือครึ่งนึง ค่อยๆไปและจะเลิกในที่สุด วันนี้เลยเป็นวันแรกที่เราเริ่มรักษาอาการป่วยที่ถูกโรควันแรก เท่าที่สืบมาโรคนี้หายได้ 3 เดือน 6 เดือน 1ปี เราต้องสู้และเผชิญกับอาการที่แท้จริง ...บอกตัวเองว่าเราต้องสู้และอดทนกับมันให้ได้ โชคยังดีที่ไม่ได้เป็นโรคหัวใจ แพนิคมาเราจะได้รู้ว่าอย่างมากสุดก็แค่ใจเต้นเร็ว เส้นทางนี้รู้ว่ามันไม่ง่าย แต่เราต้องผ่านมันไปให้ได้