สวัสดีค่ะ
สุนัขเรา พันธุ์ชิห์สุ อายุ 15 ปี
เราเลี้ยงเขาตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัย จนทำงาน
ผ่านช่วงเวลาทั้งลำลาก สบาย ร่วมทุกข์ ร่วมสุข
แต่อายุ 15 ปี ของเรา เขายังไม่มีโรคประจำตัวที่ต้องได้รับยา
หัวใจ B1 เจอก้อนที่ต่อมหมวกไต ซึ่งคุณหมอบอกว่าอาจจะทำให้เกิดภาวะคุชชิ่ง
(น้องกำลังจะตรวจแต่ก็จากไปเสียก่อน)
นอกจากนี้ภาวะตาเสื่อม ค่อยๆมองไม่เห็นเรื่อยๆ จนปีนี้น่าจะบอดสนิท
เราสังเกตุเห็นความเปลี่ยนแปลงที่มากขึ้น เราหอบเพราะกังวลบ่อย
แต่พอเราอุ้ม เขาจะดีขึ้น หรือเวลาที่จำเป็นต้องพาเขาไปข้างนอกใส่รถเข็น หรืออยู่บนรถ
เราจะพากระเป๋าใส่เจลเย็น วางให้เขา เขาจะดีขึ้น หลับสบาย
เราพาเขาตรวจเลือดประจำทุกปี
ติดตามเรื่องหัวใจทุกปี ซึ่งปีนี้ตรวจล่าสุดคือ เดือนพฤภาคม คุณหมอบอกยังทรงตัว B1 ไม่ต้องรับยา
แต่ค่าตับสูง 500 ให้ยาบำรุงตับมา และให้อัลตราซาวน์หาสาเหตุที่ค่าตับสูง
จนพบว่าน้องมีก้อนเนื้อที่บริเวณต่อมหมวกไต ขนาด 2.2 และ 2.4 ซม. ซึ่งถือว่าค่อนข้างใหญ่ และบริเวณเบียดหลอดเลือด
การมีก้อนนี้ อาจเกิดภาวะคุชชิ่ง หลักๆคือเรื่องการผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือฮอร์โมนความเครียด
แต่ตอนนั้นน้องมีภาวะท้องเสีย ทำให้เราชะลอเรื่องการตรวจไว้ (และคุณหมอบอกว่าถ้าเป็นคุชชิ่ง น้องจะต้องรับยาสเตียรอยด์อาจมีผลข้างเคียง)
เราเลยอยากรอให้เขาปกติก่อนค่ะ ตอนนั้นกว่าจะฟื้นตัว ใช้เวลานานถึงเกือบ 2 สัปดาห์ สาเหตุไม่ทราบเพราะกินอาการเดิม
ที่เพิ่มมาคือวิตามินบำรุงตับ ที่เราอ่านผลข้างเคียงว่าอาจทำให้เกิดขึ้นได้
ตัดมาที่วันที่ 30 ต.ค. ช่วงเย็น เราสังเกตุว่าน้องนอน แต่หายใจครืดๆในลำคอ เป็นจังหวะตามการหายใจ (ไม่เหมือนกรน)
เราคิดว่าช่วงนั้นอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยอาจจะแพ้อากาศ ยังกินข้าว กินน้ำ ข้บถ่ายปกติ รอดูพรุ่งนี้อีกวัน
31 ต.ค. ถ้านอนคว่ำยังมีเสียงครืดๆ แต่ถ้านอนตะแคงไม่มีค่ะ แต่จะเห็นท้องหายใจเข้า ออก เร็ว กว่าปกติ(ไม่หอบ)
ตอนเย็นเราจึงตัดสินใจพาไปหาหมอ หมอให่ยาละลายเสมหะมาอย่างเดียว และแจ้งว่าหาก 2-3 วัน ไม่ดีขึ้น อาจต้องรับยาฆ่าเชื้อ
ระหว่างนั้นน้องกินน้อยลง แต่กินน้ำได้ดี ขับถ่ายปกติ มีเสียงครืดเวลานอนคว่ำเหมือนเดิม
วันที่ 2 พ.ย. เราตัดสินใจพาน้องไปรพ.ที่ 2 ซึ่งก่อนหน้าเรารักษาเรื่องกระดูก(ปีที่แล้วน้องประสบอุบัติเหตุนิดหน่อย แต่โชคดีที่ร่างกายฟื้นฟูตัวเองได้
และช่วงหลังรักษาเรื่องระบบประสาท ที่อาจเป็นอัลไซเมอร์ ความเครียด กังวลต่าฝ
งๆที่ตามองไม่เห็น ซึ่งเป็นคุณหมออีกท่าน )
คุณหมอ X-ray และพบหลอดลมเล็ก มีการปักเสบ ช่องปอดเริ่มขาว แต่ยังไม่มาก
คุณหมอแจ้งวิธีการรักษา 1 ในนั้น คือ พ่นยา
การพ่นยา ที่ไม่มีใครคิดว่าเป็นแรงกระตุ้นทำให้น้องจากเราไปตลอดกาล
ตอนที่หมอพาน้องไป X ray เรารออยู่ด้านนอก ตอนนั้นอยู่ดีๆก็รู้สึกไม่ดี แต่ก็คิดว่าตัวเองกังวลมากไป
รอแปปเดียวเท่านั้น หมอเรียกให้เข้าไปดูฟิล์ม X-ray ตอนนั้นเราตั้งใจฟัง ถึงอาการ การรักษาทร่หมออธิบาย และเราไม่ได้ฉุกคิดอะไรเลย
หมอบอกพ่นยาแก้อักเสบ และขยายหลอดลม ให้เรารอด้านนอก ตอนนั้นที่เราคุยกับคุณหมอน่าจะใช้เวลาไม่นานค่ะ ประมาณ ไม่เกิน 10 นาที
เราเปิดประตูออกมา ได้ยินเสียงเขาเห่า 2 ที เขามั่นใจว่าคือเสียงเขา
แต่เราเคารพการรักษา เพราะน้องอยู่โซนการรักษาที่เราไม่สามทรถเข้าไปได้ พอสักพักเราได้ยินดี คราวนี้เห่าเยอะขึ้น
เราเดินไปถามข้างหน้าเคาน์เตอร์ว่าใช่เสียงน้องไหม ทุกคนบอกว่าใช่
เราถามว่าเข้าไปไม่ได้ใช่ไหมคะ เขายิ้มและบอกใช่ค่ะ คือตอนนั้นเราไม่เอะใจเลยว่าถ้าพ่นยา
(ภาพในหัวเราคือ ใข้หน้ากากพ่นยา เหมือนของเด็กอ่เค่ะ และเราก็ไม่ได้ถามคุณหมอเรื่องพ่นแบบไหน
เป็นอีกสิ่งที่เราพลาด เราเสียใจที่สุด
ซักพักเสียงน้องเงียบไป คุณหมอออกมาอธิบายยาต่างๆ เราคิดว่าคงเสร็จแล้ว ได้กลับบ้านแล้ว
แต่ไม่ถึง 5 นาที คุณหมอบอกว่าตอนนี้ให้น้องอยู่ตู้ออกซิเจนก่อนนะคะ เพราะลิ้นน้องเปลี่ยนสี
เรารีบเข้าไปดู ภาพที่เห็นคือน้องนอนอ่อนแรงหอบเบาๆ ลิ้นม่วง เราใจจะสลายตรงนั้น
เอาตัวน้องออกมา พร้อมถามว่าเมื่อกี้น้องอยู่ในนี้หรอคะ หมอบอกใช่ค่ะ
คือเรารู้นะว่ามันเป็นการรักษาตามปกติที่สุนัขมีอาการแบบนี้
แต่ลูกเรา
1. ตามองไม่เห็น กังวล เครียดง่าย
หลังๆพาไปหาหมอตรวจตา หรือตรวจหัวใจ เราต้องอุ้มขึ้นจากโต๊ะตรวจเขาถึงสงบ
2. ภาวะที่เขาอาจเป็นคุชชิ่ง ที่เมื่อร่างกายเครียด มันจะยิ่งปล่อยสารอักเสบ
3. หัวใจ b1
แต่น้องดีขึ้นตอนใส่คอลลาร์ออกซิเจน (ไม่ต้องอยู่ในตู้)
มีหอบที่เกิดจากการกังวลอยู่ เราป้อนน้ำ ลิ้นเขากลับมาชมพู เรากับหมอดีใจมาก
เรารีบไปเอาที่นอนประจำของน้องในรถ ซักพักเขาหลับ
เราคิดว่าถ้าเขาตื่นแล้วทุกอย่างปกติ จะรีบพาเขากลับบ้าน เพราะถ้าอยู่รพ. เขาจะยิ่งเครียด
แต่ปัญหาคือระยะทางใช้เวลา 30 นาที ต้องมั่นใจว่าน้องจะไม่ทรุดระหว่างทาง
เราเลยคุยกับหมอว่า จอรอดูว่าเจาตื่นแล้วสามารถอยู่นอกออกซิเจนคอลลาร์นี้ซักพักได้ไหม
เขาหลับเหมือนปกติเลย ภาพนั้นเราจำได้ดี
แต่หลังจากนอนเกือบ 20 นาที เขาตื่น และหอบ(เป็นปกติที่อยุ่ที่ไม่คุ้น กลิ่นรพ.)
เราลองพาเขาเดินฉี่เผื่อจะผ่อนคลาย แต่เขาไม่มีแรงแล้ว สีลิ้นเริ่มเปลี่ยนกลับเป็นแย่ลง
โอกาสที่จะพาน้องกลับ น่าจะแย่ เราต้องหารถที่มีออกซิเจน เราไม่มีประสบการณ์
และอยู่คนเดียว เราลนไปหมด เราอยากพาเขากลับบ้านโดยเร็ว แต่ระหว่างทางต้องปลอดภัย
เราหาที่เช่าตู้อ็อก หารถพยาบาลที่จะมีตู้ออกซิเจน ระหว่างนั้น น้องนอนสลับตื่น แต่ยังไม่หอบมาก
สักพักลุกออกมา เราเลี้ยงเขามา เรารู้ว่าเขาจะกระวนกระวายเวลาปวดฉี่ แต่เขาไม่ชินกับการฉี่ในห้องที่ไม่คุ้ร
เราจึงขอพาน้องออกไป ลิ้นน้องยังไม่แย่ แต่น้องไม่ฉี่ คุณหมอเลยช่วงบีบฉี่น้องให้
แต่ทุกอย่างมันดำเนินไปในทางแย่ลง คุณหมอบอกปอดน้องมีเสียงที่มีภาวะน้ำท่วมปอดแล้ว
ตอนนี้กลับบ้านไม่ได้แล้ว น้องต้องอยุ่รพ. แต่ของหมอปิด เที่ยงคืน จะไม่มีหมออยู่ เราต้องประสานรพ. สัตว์ 24 ชม. และรถสำหรับเคลื่อนย้ายที่มีออกซิเจน
ซักพักอาการน้องทรุดจนน็อค หมอรีบใส่ท่อ และทำทุกอย่างเราไม่ได้เข้าไป เราเห็นแต่ทุกคนวิ่งวุ่น เรายืนรอห่างๆ ใจจะขาดตรงนั้น
แต่แล้วโชคก็ยังพอมี คุณหมอบอกว่าชีพจรกลับมา ท่อออกซิเจนตรงต่อปอด เขาหายใจเองได้ แต่อาการวิกฤต 50:50
ผล X ray ปอดล่าสุดขาวเต็ม ค่าเม็ดเลือดขาว 35,000 สูงมาก
และยังต้องย้ายเขาไปรพ. 24 ชม. ที่ใกล้ที่สุด ใช้เวลา 15 นาที
คุณหมอแจ้งว่าหากเขาตื่นมาแล้วหอบ(เพราะยาสลบคุณหมอให้ปริมาณน้อย เพราะ เขาอายุเยอะ ต้องคอยฉีดเรื่อยๆ
ๆไม่ให้เขาตื่นระหว่างนี้ อาการสามารถกลับไปแย่ได้ทุกเมื่อ
พอสามทุ่มได้คิวรถที่จะมาย้ายน้อง พร้อมออกซิเจน รพ.ใหม่ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาที
ก่อนจะถึงแค่ 2 นาที น้องตื่นจนต้องเอาท่อออก แต่ก็สามารถส่งต่อถึงมือหมอรพ.ต่อไปได้ทัน
สภาพตอ นนั้นไม่มีท่อที่ต่อลงปอดแล้ว น้องยังหายใจได้คุณหมอให้ออกซิเจน แต่ก็บอกเราว่าอาการน้องวิกฤต
จุดอ่อนของลูกเราที่มีต่อการรักษาคือ เขาเครียดถ้าต้องอยู่ในตู้ออกซิเจน และทุกหัตถการจากหมอเพราะมองไม่เห็น
ต้องใช้เป็นคอลลาร์ออกซิเจนแทน เราพยายามขออยู่กับเขา คุณหมอเห็นใจเรา ให้เราเข้าไปห้อง ICU คุณหมอปูผ้าให้น้องนอนนอกตู้
น้องหลับข้างๆเรา โดยใส่คอลลาร์ออกซิเจน เราสงสารเขามากตอนนั้น และเรารู้ว่าปัจจัยอื่นๆที่จะทำให้เขาทรุดทั้งร่างกายเขา ทั้งปัจจัยภายนอก มันเ็นการต่อสู้ทุกทาง เรานั่งมองเขานอน เราภาวนาให้มันผ่านไปด้วยดี แต่ห้องนั้นเรานั่งนานไม่ได้ พยาบาลให้เราออกไปรอข้างนอก เราก็บอกว่าปกติเขาจะตื่นมาฉี่เที่ยงคืนตีหนึ่ง เดี๋ยวตื่นมาต้องหอบแน่ ช่วยให้เขาฉี่หน่อยนะคะ เดี๋ยวเขายิ่งกังวล ระหว่างนั้นเราลงไปขอข้างล่าง ไม่เกินชม. เราได้ยินเขาเรียกหมอไปICU
เราถามว่าเคสน้องหรอคะ เขาตอบใช่ แต่เราไม่สามารถขึ้นไปได้ เราได้แต่บอกเจ้าหน้าที่ด้านล่างว่าถ้าน้องแย่บอกหน่อยนะคะ จะขอขึ้นไป แต่ยังดีที่ไม่มีใครแจ้งอะไร คือน้องยังอยู่ แต่เราทรมานอ่ะ เราเลือกอะไรไม่ได้ เขาไม่ได้กลิ่นเรา ไม่ได้ยินเสียงเรา เขายิ่งกลัวแน่ๆ แต่แล้วเราก็ได้ขึ้นไปเพราะที่นี่มีห้องพักสำหรับเจ้าของ ซึ่งอยู่ห้องถัดไปจากห้องเขาเลย เราเลยเห็นว่าเขาหอบ พยาบาลบอกว่าเขาฉี่แล้วฉี่เอง อาจจะเพราะยาขับน้ำ ตอนนั้นเหมือนคอลลาออกซิเจนไม่ค่อยช่วยแล้ว ผมอบอกเขายังหายใจเองได้ แต่อาการออกซิเจนไม่พอ เราเลยรีบบอกสอดท่อค่ะ พอสอดท่อกับใช้ยาสลบ เขาก็นอนหลับไป เรามองท้องเขา ที่เคลื่อนขึ้นลงตามจังหวะของออกซิเจนที่ต่อเข้าปอด เขาเหมือนเด็กที่นอนหลับ แต่อยู่ได้เพราะสอดท่อ แต่ยังหายใจเองได้ เรานั่งมองเขาแบบนั้นอยุ่นาน จนตี 2 เราถามพยาบาลว่าเขาจะตื่นเมื่อไหร่ เขาบอกจนกว่าคุณหมอจะถอนยา ตอนนั้นคุณหมอไปดูอีกเคส
เรากะว่าจะไปอาบน้ำ เข้าไปที่ห้องพักซักพัก เหมือนอยากกินน้ำ แต่ไม่มี แล้วเหมือนมีอะไรดลใจให้เราอยากลงไปเอาน้ำ แต่เราต้องเดินผ่านห้องเขา
มองเข้าไป เขาตื่นและกำลังเคี้ยวท่อออก เขารีบเรียกพยาบาล พยาบาลรีบเอาท่อออก ตามหมอ น้องหอบ พยายามหายใจ พยาบาลจ่อออกซิเจนที่จมูกน้อง
เราได้แต่ลูบน้อง หมอกำลังมา ซักพักเขาไม่หอบ เขานอนลง ท้องขยับเหมือนเวลาหายใจปกติ เรานึกว่าเขาดีขึ้น
เราพูดใกล้ๆเขาว่าวันนี้เขาเก่งมาก วันนี้หนูเก่งมากแล้วนะลูก แล้วลูบเขาอย่างที่เคย ซักพักเขาฟุบไป
หมอเร่งปั๊มหัวใจ ฉีดยา ทำทุกอย่าง
แต่ความรู้สึกเราตอนนั้น เรารู้ว่าเขาสู้มามากแล้ว สอดท่อตั้ง 3 ครั้ง แต่ยังหายใจเอง
เราช็อค เราจะแตกสลายตรงนั้นเลย เราไม่คิดว่าจากที่เขาเหมือนแค่เริ่มไม่สบาย น้องยังไม่ไอเลยด้วยซ้ำ
เราต้องพาร่างน้องกลับบ้านตอนตี 3 ว้นเป็นวันที่แย่ที่สุดในชีวิตเราเลย
เรารู้ว่าคิดวนไปก็แก้ไขอะไรไม่ได้
แต่ทุกครั้งที่ตื่นสมองมันก็พาเราไป
1. วันนั้นน่าจะถามหมอว่าพ่นยาคือทำยังไง ขอเป็นคนพ่นให้น้องได้ไหม
เพราะหลังๆไปหาหมอพอหมอแตะตัวเขาหอบกังวลหนักเลย เราต้องคอยอุ้มเขาถึงสงบ
2. ถ้าเราไปคลินิคเดิมแถวบ้าน ที่เขาบอกถ้า2-3 ไม่ดีขึ้น จะต้องรับยาฆ่าเชื้อ เราก็คงได้ยามาให้น้อง
โดยไม่ต้องให้เขาเจอความเครียดในตู้พ่นยา
ในทางการรักษา เราเคารพการรักษาของหมอ เพราะการพ่นยาก็เป็นการรักษาที่ช่วยเขาได้เร็วที่สุด
แต่เราโทษตัวเองว่าในมุมของคนเลี้ยง เราจะรู้จักนิสัยเขาดีที่สุด ทำไมเราไม่เอะใจตอนน้องเห่า
ปกติถ้าอยู่บ้าน ในห้อง เวลาน้องตื่นมาแล้วเห่า จะรีบเข้าไปหาเขา ไม่อยากให้เขาหอบ เครียด
แต่วันนั้น ไม่คิดว่าจะทำให้ทุกอย่างแย่ลง จนเสียงเห่าวันนั้นของเราที่รพ. เราจำได้ดีและทรมานมาก
เขาไปจากเรา ประมาณ ตี2 วันที่ 3 พ.ย.
มันกระทันหันสำหรับเรา เขาอายุเยอะมากก็จริง แต่เขายังไม่มีโรคประจำตัว ที่ต้องได้รับยา
เราเลยคิดว่ายังพอมีเวลาให้เตรียมใจ หากรอยโรคเขาพัฒนาขึ้น ได้รับยามากขึ้น แต่นั่นก็ทำให้
เราย้อนถามตัวเองว่า ถ้าถึงวันที่เขาป่วยจากโรคอื่นๆและรับยามากขึ้น เราก็คงทรมานเช่นก้น
แต่อาจจะไม่เกิดคำถามมากมายในหัวตัวเองแบบนี้ เราจะทำใจยอมรับความเจ็บป่วยและจากลาได้มากกว่านี้
เราทรมานทุกครั้งที่คิดว่าวันนั้นตอนอยู่ในตู้พ่นยาเขากังวล และเครียด ต้องการเรามากแค่ไหน
เราเหมือนทำร้ายเขาทางอ้อมเลย
เราแค่อยากให้ตอนจบมันไม่เกิดจากเรื่องกระตุ้นความเครียดเขาแบบนี้
ลำพังหากเขาต้องจากไปด้วยโรค ความเจ็บป่วยก็ทรมานเขามากพอแล้ว
และเราคงทำใจยอมรับได้ดีกว่านี้ ไม่ต้องโทษตัวเองแบบนี้ ทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีใครผิด
ไม่มีใครอยากให้เป็นแบบนี้ แต่ร่างกายเขาเปราะบางจนต้านไม่อยู่แล้วทุกอย่างก็เลยรวนจากปัจจัยกระตุ้น
ใครที่อ่านจนจบ เราขอบคุณมากๆนะคะ เรื่องผ่านมาเป็นเดือนแล้ว เรารวบรว
ความกล้าที่จะเอาตัวเองไปอยุ่วันนั้นอีกครั้งและพิมออกมา อยู่นานมาก
ภาพทุกอย่างยังชัดเจน ไม่มีเด็กน้อยที่อยู่กับเรามา 15 ปี
ผ่านเรื่องราวกันมามากมาย ไปหาหมอก็ดีขึ้นทุกครั้ง
และแล้วมันก็มีวันที่เราต้องปล่อยให้น้องได้พักจริงๆแล้ว
ขอโทษที่ปกป้องหนูไม่ได้ ในวันนั้น
ไม่ว่ากู้ดดี้จะอยู่ที่ไหน ขอให้หนูมีความสุขที่สุด มะมี๊รักหนูมากที่สุดเลย
สุนัขที่รักที่สุดเสียชีวิต แต่เราไม่สามารถเลิกโทษตัวเองได้เลย
สุนัขเรา พันธุ์ชิห์สุ อายุ 15 ปี
เราเลี้ยงเขาตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัย จนทำงาน
ผ่านช่วงเวลาทั้งลำลาก สบาย ร่วมทุกข์ ร่วมสุข
แต่อายุ 15 ปี ของเรา เขายังไม่มีโรคประจำตัวที่ต้องได้รับยา
หัวใจ B1 เจอก้อนที่ต่อมหมวกไต ซึ่งคุณหมอบอกว่าอาจจะทำให้เกิดภาวะคุชชิ่ง
(น้องกำลังจะตรวจแต่ก็จากไปเสียก่อน)
นอกจากนี้ภาวะตาเสื่อม ค่อยๆมองไม่เห็นเรื่อยๆ จนปีนี้น่าจะบอดสนิท
เราสังเกตุเห็นความเปลี่ยนแปลงที่มากขึ้น เราหอบเพราะกังวลบ่อย
แต่พอเราอุ้ม เขาจะดีขึ้น หรือเวลาที่จำเป็นต้องพาเขาไปข้างนอกใส่รถเข็น หรืออยู่บนรถ
เราจะพากระเป๋าใส่เจลเย็น วางให้เขา เขาจะดีขึ้น หลับสบาย
เราพาเขาตรวจเลือดประจำทุกปี
ติดตามเรื่องหัวใจทุกปี ซึ่งปีนี้ตรวจล่าสุดคือ เดือนพฤภาคม คุณหมอบอกยังทรงตัว B1 ไม่ต้องรับยา
แต่ค่าตับสูง 500 ให้ยาบำรุงตับมา และให้อัลตราซาวน์หาสาเหตุที่ค่าตับสูง
จนพบว่าน้องมีก้อนเนื้อที่บริเวณต่อมหมวกไต ขนาด 2.2 และ 2.4 ซม. ซึ่งถือว่าค่อนข้างใหญ่ และบริเวณเบียดหลอดเลือด
การมีก้อนนี้ อาจเกิดภาวะคุชชิ่ง หลักๆคือเรื่องการผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือฮอร์โมนความเครียด
แต่ตอนนั้นน้องมีภาวะท้องเสีย ทำให้เราชะลอเรื่องการตรวจไว้ (และคุณหมอบอกว่าถ้าเป็นคุชชิ่ง น้องจะต้องรับยาสเตียรอยด์อาจมีผลข้างเคียง)
เราเลยอยากรอให้เขาปกติก่อนค่ะ ตอนนั้นกว่าจะฟื้นตัว ใช้เวลานานถึงเกือบ 2 สัปดาห์ สาเหตุไม่ทราบเพราะกินอาการเดิม
ที่เพิ่มมาคือวิตามินบำรุงตับ ที่เราอ่านผลข้างเคียงว่าอาจทำให้เกิดขึ้นได้
ตัดมาที่วันที่ 30 ต.ค. ช่วงเย็น เราสังเกตุว่าน้องนอน แต่หายใจครืดๆในลำคอ เป็นจังหวะตามการหายใจ (ไม่เหมือนกรน)
เราคิดว่าช่วงนั้นอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยอาจจะแพ้อากาศ ยังกินข้าว กินน้ำ ข้บถ่ายปกติ รอดูพรุ่งนี้อีกวัน
31 ต.ค. ถ้านอนคว่ำยังมีเสียงครืดๆ แต่ถ้านอนตะแคงไม่มีค่ะ แต่จะเห็นท้องหายใจเข้า ออก เร็ว กว่าปกติ(ไม่หอบ)
ตอนเย็นเราจึงตัดสินใจพาไปหาหมอ หมอให่ยาละลายเสมหะมาอย่างเดียว และแจ้งว่าหาก 2-3 วัน ไม่ดีขึ้น อาจต้องรับยาฆ่าเชื้อ
ระหว่างนั้นน้องกินน้อยลง แต่กินน้ำได้ดี ขับถ่ายปกติ มีเสียงครืดเวลานอนคว่ำเหมือนเดิม
วันที่ 2 พ.ย. เราตัดสินใจพาน้องไปรพ.ที่ 2 ซึ่งก่อนหน้าเรารักษาเรื่องกระดูก(ปีที่แล้วน้องประสบอุบัติเหตุนิดหน่อย แต่โชคดีที่ร่างกายฟื้นฟูตัวเองได้
และช่วงหลังรักษาเรื่องระบบประสาท ที่อาจเป็นอัลไซเมอร์ ความเครียด กังวลต่าฝ
งๆที่ตามองไม่เห็น ซึ่งเป็นคุณหมออีกท่าน )
คุณหมอ X-ray และพบหลอดลมเล็ก มีการปักเสบ ช่องปอดเริ่มขาว แต่ยังไม่มาก
คุณหมอแจ้งวิธีการรักษา 1 ในนั้น คือ พ่นยา
การพ่นยา ที่ไม่มีใครคิดว่าเป็นแรงกระตุ้นทำให้น้องจากเราไปตลอดกาล
ตอนที่หมอพาน้องไป X ray เรารออยู่ด้านนอก ตอนนั้นอยู่ดีๆก็รู้สึกไม่ดี แต่ก็คิดว่าตัวเองกังวลมากไป
รอแปปเดียวเท่านั้น หมอเรียกให้เข้าไปดูฟิล์ม X-ray ตอนนั้นเราตั้งใจฟัง ถึงอาการ การรักษาทร่หมออธิบาย และเราไม่ได้ฉุกคิดอะไรเลย
หมอบอกพ่นยาแก้อักเสบ และขยายหลอดลม ให้เรารอด้านนอก ตอนนั้นที่เราคุยกับคุณหมอน่าจะใช้เวลาไม่นานค่ะ ประมาณ ไม่เกิน 10 นาที
เราเปิดประตูออกมา ได้ยินเสียงเขาเห่า 2 ที เขามั่นใจว่าคือเสียงเขา
แต่เราเคารพการรักษา เพราะน้องอยู่โซนการรักษาที่เราไม่สามทรถเข้าไปได้ พอสักพักเราได้ยินดี คราวนี้เห่าเยอะขึ้น
เราเดินไปถามข้างหน้าเคาน์เตอร์ว่าใช่เสียงน้องไหม ทุกคนบอกว่าใช่
เราถามว่าเข้าไปไม่ได้ใช่ไหมคะ เขายิ้มและบอกใช่ค่ะ คือตอนนั้นเราไม่เอะใจเลยว่าถ้าพ่นยา
(ภาพในหัวเราคือ ใข้หน้ากากพ่นยา เหมือนของเด็กอ่เค่ะ และเราก็ไม่ได้ถามคุณหมอเรื่องพ่นแบบไหน
เป็นอีกสิ่งที่เราพลาด เราเสียใจที่สุด
ซักพักเสียงน้องเงียบไป คุณหมอออกมาอธิบายยาต่างๆ เราคิดว่าคงเสร็จแล้ว ได้กลับบ้านแล้ว
แต่ไม่ถึง 5 นาที คุณหมอบอกว่าตอนนี้ให้น้องอยู่ตู้ออกซิเจนก่อนนะคะ เพราะลิ้นน้องเปลี่ยนสี
เรารีบเข้าไปดู ภาพที่เห็นคือน้องนอนอ่อนแรงหอบเบาๆ ลิ้นม่วง เราใจจะสลายตรงนั้น
เอาตัวน้องออกมา พร้อมถามว่าเมื่อกี้น้องอยู่ในนี้หรอคะ หมอบอกใช่ค่ะ
คือเรารู้นะว่ามันเป็นการรักษาตามปกติที่สุนัขมีอาการแบบนี้
แต่ลูกเรา
1. ตามองไม่เห็น กังวล เครียดง่าย
หลังๆพาไปหาหมอตรวจตา หรือตรวจหัวใจ เราต้องอุ้มขึ้นจากโต๊ะตรวจเขาถึงสงบ
2. ภาวะที่เขาอาจเป็นคุชชิ่ง ที่เมื่อร่างกายเครียด มันจะยิ่งปล่อยสารอักเสบ
3. หัวใจ b1
แต่น้องดีขึ้นตอนใส่คอลลาร์ออกซิเจน (ไม่ต้องอยู่ในตู้)
มีหอบที่เกิดจากการกังวลอยู่ เราป้อนน้ำ ลิ้นเขากลับมาชมพู เรากับหมอดีใจมาก
เรารีบไปเอาที่นอนประจำของน้องในรถ ซักพักเขาหลับ
เราคิดว่าถ้าเขาตื่นแล้วทุกอย่างปกติ จะรีบพาเขากลับบ้าน เพราะถ้าอยู่รพ. เขาจะยิ่งเครียด
แต่ปัญหาคือระยะทางใช้เวลา 30 นาที ต้องมั่นใจว่าน้องจะไม่ทรุดระหว่างทาง
เราเลยคุยกับหมอว่า จอรอดูว่าเจาตื่นแล้วสามารถอยู่นอกออกซิเจนคอลลาร์นี้ซักพักได้ไหม
เขาหลับเหมือนปกติเลย ภาพนั้นเราจำได้ดี
แต่หลังจากนอนเกือบ 20 นาที เขาตื่น และหอบ(เป็นปกติที่อยุ่ที่ไม่คุ้น กลิ่นรพ.)
เราลองพาเขาเดินฉี่เผื่อจะผ่อนคลาย แต่เขาไม่มีแรงแล้ว สีลิ้นเริ่มเปลี่ยนกลับเป็นแย่ลง
โอกาสที่จะพาน้องกลับ น่าจะแย่ เราต้องหารถที่มีออกซิเจน เราไม่มีประสบการณ์
และอยู่คนเดียว เราลนไปหมด เราอยากพาเขากลับบ้านโดยเร็ว แต่ระหว่างทางต้องปลอดภัย
เราหาที่เช่าตู้อ็อก หารถพยาบาลที่จะมีตู้ออกซิเจน ระหว่างนั้น น้องนอนสลับตื่น แต่ยังไม่หอบมาก
สักพักลุกออกมา เราเลี้ยงเขามา เรารู้ว่าเขาจะกระวนกระวายเวลาปวดฉี่ แต่เขาไม่ชินกับการฉี่ในห้องที่ไม่คุ้ร
เราจึงขอพาน้องออกไป ลิ้นน้องยังไม่แย่ แต่น้องไม่ฉี่ คุณหมอเลยช่วงบีบฉี่น้องให้
แต่ทุกอย่างมันดำเนินไปในทางแย่ลง คุณหมอบอกปอดน้องมีเสียงที่มีภาวะน้ำท่วมปอดแล้ว
ตอนนี้กลับบ้านไม่ได้แล้ว น้องต้องอยุ่รพ. แต่ของหมอปิด เที่ยงคืน จะไม่มีหมออยู่ เราต้องประสานรพ. สัตว์ 24 ชม. และรถสำหรับเคลื่อนย้ายที่มีออกซิเจน
ซักพักอาการน้องทรุดจนน็อค หมอรีบใส่ท่อ และทำทุกอย่างเราไม่ได้เข้าไป เราเห็นแต่ทุกคนวิ่งวุ่น เรายืนรอห่างๆ ใจจะขาดตรงนั้น
แต่แล้วโชคก็ยังพอมี คุณหมอบอกว่าชีพจรกลับมา ท่อออกซิเจนตรงต่อปอด เขาหายใจเองได้ แต่อาการวิกฤต 50:50
ผล X ray ปอดล่าสุดขาวเต็ม ค่าเม็ดเลือดขาว 35,000 สูงมาก
และยังต้องย้ายเขาไปรพ. 24 ชม. ที่ใกล้ที่สุด ใช้เวลา 15 นาที
คุณหมอแจ้งว่าหากเขาตื่นมาแล้วหอบ(เพราะยาสลบคุณหมอให้ปริมาณน้อย เพราะ เขาอายุเยอะ ต้องคอยฉีดเรื่อยๆ
ๆไม่ให้เขาตื่นระหว่างนี้ อาการสามารถกลับไปแย่ได้ทุกเมื่อ
พอสามทุ่มได้คิวรถที่จะมาย้ายน้อง พร้อมออกซิเจน รพ.ใหม่ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาที
ก่อนจะถึงแค่ 2 นาที น้องตื่นจนต้องเอาท่อออก แต่ก็สามารถส่งต่อถึงมือหมอรพ.ต่อไปได้ทัน
สภาพตอ นนั้นไม่มีท่อที่ต่อลงปอดแล้ว น้องยังหายใจได้คุณหมอให้ออกซิเจน แต่ก็บอกเราว่าอาการน้องวิกฤต
จุดอ่อนของลูกเราที่มีต่อการรักษาคือ เขาเครียดถ้าต้องอยู่ในตู้ออกซิเจน และทุกหัตถการจากหมอเพราะมองไม่เห็น
ต้องใช้เป็นคอลลาร์ออกซิเจนแทน เราพยายามขออยู่กับเขา คุณหมอเห็นใจเรา ให้เราเข้าไปห้อง ICU คุณหมอปูผ้าให้น้องนอนนอกตู้
น้องหลับข้างๆเรา โดยใส่คอลลาร์ออกซิเจน เราสงสารเขามากตอนนั้น และเรารู้ว่าปัจจัยอื่นๆที่จะทำให้เขาทรุดทั้งร่างกายเขา ทั้งปัจจัยภายนอก มันเ็นการต่อสู้ทุกทาง เรานั่งมองเขานอน เราภาวนาให้มันผ่านไปด้วยดี แต่ห้องนั้นเรานั่งนานไม่ได้ พยาบาลให้เราออกไปรอข้างนอก เราก็บอกว่าปกติเขาจะตื่นมาฉี่เที่ยงคืนตีหนึ่ง เดี๋ยวตื่นมาต้องหอบแน่ ช่วยให้เขาฉี่หน่อยนะคะ เดี๋ยวเขายิ่งกังวล ระหว่างนั้นเราลงไปขอข้างล่าง ไม่เกินชม. เราได้ยินเขาเรียกหมอไปICU
เราถามว่าเคสน้องหรอคะ เขาตอบใช่ แต่เราไม่สามารถขึ้นไปได้ เราได้แต่บอกเจ้าหน้าที่ด้านล่างว่าถ้าน้องแย่บอกหน่อยนะคะ จะขอขึ้นไป แต่ยังดีที่ไม่มีใครแจ้งอะไร คือน้องยังอยู่ แต่เราทรมานอ่ะ เราเลือกอะไรไม่ได้ เขาไม่ได้กลิ่นเรา ไม่ได้ยินเสียงเรา เขายิ่งกลัวแน่ๆ แต่แล้วเราก็ได้ขึ้นไปเพราะที่นี่มีห้องพักสำหรับเจ้าของ ซึ่งอยู่ห้องถัดไปจากห้องเขาเลย เราเลยเห็นว่าเขาหอบ พยาบาลบอกว่าเขาฉี่แล้วฉี่เอง อาจจะเพราะยาขับน้ำ ตอนนั้นเหมือนคอลลาออกซิเจนไม่ค่อยช่วยแล้ว ผมอบอกเขายังหายใจเองได้ แต่อาการออกซิเจนไม่พอ เราเลยรีบบอกสอดท่อค่ะ พอสอดท่อกับใช้ยาสลบ เขาก็นอนหลับไป เรามองท้องเขา ที่เคลื่อนขึ้นลงตามจังหวะของออกซิเจนที่ต่อเข้าปอด เขาเหมือนเด็กที่นอนหลับ แต่อยู่ได้เพราะสอดท่อ แต่ยังหายใจเองได้ เรานั่งมองเขาแบบนั้นอยุ่นาน จนตี 2 เราถามพยาบาลว่าเขาจะตื่นเมื่อไหร่ เขาบอกจนกว่าคุณหมอจะถอนยา ตอนนั้นคุณหมอไปดูอีกเคส
เรากะว่าจะไปอาบน้ำ เข้าไปที่ห้องพักซักพัก เหมือนอยากกินน้ำ แต่ไม่มี แล้วเหมือนมีอะไรดลใจให้เราอยากลงไปเอาน้ำ แต่เราต้องเดินผ่านห้องเขา
มองเข้าไป เขาตื่นและกำลังเคี้ยวท่อออก เขารีบเรียกพยาบาล พยาบาลรีบเอาท่อออก ตามหมอ น้องหอบ พยายามหายใจ พยาบาลจ่อออกซิเจนที่จมูกน้อง
เราได้แต่ลูบน้อง หมอกำลังมา ซักพักเขาไม่หอบ เขานอนลง ท้องขยับเหมือนเวลาหายใจปกติ เรานึกว่าเขาดีขึ้น
เราพูดใกล้ๆเขาว่าวันนี้เขาเก่งมาก วันนี้หนูเก่งมากแล้วนะลูก แล้วลูบเขาอย่างที่เคย ซักพักเขาฟุบไป
หมอเร่งปั๊มหัวใจ ฉีดยา ทำทุกอย่าง
แต่ความรู้สึกเราตอนนั้น เรารู้ว่าเขาสู้มามากแล้ว สอดท่อตั้ง 3 ครั้ง แต่ยังหายใจเอง
เราช็อค เราจะแตกสลายตรงนั้นเลย เราไม่คิดว่าจากที่เขาเหมือนแค่เริ่มไม่สบาย น้องยังไม่ไอเลยด้วยซ้ำ
เราต้องพาร่างน้องกลับบ้านตอนตี 3 ว้นเป็นวันที่แย่ที่สุดในชีวิตเราเลย
เรารู้ว่าคิดวนไปก็แก้ไขอะไรไม่ได้
แต่ทุกครั้งที่ตื่นสมองมันก็พาเราไป
1. วันนั้นน่าจะถามหมอว่าพ่นยาคือทำยังไง ขอเป็นคนพ่นให้น้องได้ไหม
เพราะหลังๆไปหาหมอพอหมอแตะตัวเขาหอบกังวลหนักเลย เราต้องคอยอุ้มเขาถึงสงบ
2. ถ้าเราไปคลินิคเดิมแถวบ้าน ที่เขาบอกถ้า2-3 ไม่ดีขึ้น จะต้องรับยาฆ่าเชื้อ เราก็คงได้ยามาให้น้อง
โดยไม่ต้องให้เขาเจอความเครียดในตู้พ่นยา
ในทางการรักษา เราเคารพการรักษาของหมอ เพราะการพ่นยาก็เป็นการรักษาที่ช่วยเขาได้เร็วที่สุด
แต่เราโทษตัวเองว่าในมุมของคนเลี้ยง เราจะรู้จักนิสัยเขาดีที่สุด ทำไมเราไม่เอะใจตอนน้องเห่า
ปกติถ้าอยู่บ้าน ในห้อง เวลาน้องตื่นมาแล้วเห่า จะรีบเข้าไปหาเขา ไม่อยากให้เขาหอบ เครียด
แต่วันนั้น ไม่คิดว่าจะทำให้ทุกอย่างแย่ลง จนเสียงเห่าวันนั้นของเราที่รพ. เราจำได้ดีและทรมานมาก
เขาไปจากเรา ประมาณ ตี2 วันที่ 3 พ.ย.
มันกระทันหันสำหรับเรา เขาอายุเยอะมากก็จริง แต่เขายังไม่มีโรคประจำตัว ที่ต้องได้รับยา
เราเลยคิดว่ายังพอมีเวลาให้เตรียมใจ หากรอยโรคเขาพัฒนาขึ้น ได้รับยามากขึ้น แต่นั่นก็ทำให้
เราย้อนถามตัวเองว่า ถ้าถึงวันที่เขาป่วยจากโรคอื่นๆและรับยามากขึ้น เราก็คงทรมานเช่นก้น
แต่อาจจะไม่เกิดคำถามมากมายในหัวตัวเองแบบนี้ เราจะทำใจยอมรับความเจ็บป่วยและจากลาได้มากกว่านี้
เราทรมานทุกครั้งที่คิดว่าวันนั้นตอนอยู่ในตู้พ่นยาเขากังวล และเครียด ต้องการเรามากแค่ไหน
เราเหมือนทำร้ายเขาทางอ้อมเลย
เราแค่อยากให้ตอนจบมันไม่เกิดจากเรื่องกระตุ้นความเครียดเขาแบบนี้
ลำพังหากเขาต้องจากไปด้วยโรค ความเจ็บป่วยก็ทรมานเขามากพอแล้ว
และเราคงทำใจยอมรับได้ดีกว่านี้ ไม่ต้องโทษตัวเองแบบนี้ ทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีใครผิด
ไม่มีใครอยากให้เป็นแบบนี้ แต่ร่างกายเขาเปราะบางจนต้านไม่อยู่แล้วทุกอย่างก็เลยรวนจากปัจจัยกระตุ้น
ใครที่อ่านจนจบ เราขอบคุณมากๆนะคะ เรื่องผ่านมาเป็นเดือนแล้ว เรารวบรว
ความกล้าที่จะเอาตัวเองไปอยุ่วันนั้นอีกครั้งและพิมออกมา อยู่นานมาก
ภาพทุกอย่างยังชัดเจน ไม่มีเด็กน้อยที่อยู่กับเรามา 15 ปี
ผ่านเรื่องราวกันมามากมาย ไปหาหมอก็ดีขึ้นทุกครั้ง
และแล้วมันก็มีวันที่เราต้องปล่อยให้น้องได้พักจริงๆแล้ว
ขอโทษที่ปกป้องหนูไม่ได้ ในวันนั้น
ไม่ว่ากู้ดดี้จะอยู่ที่ไหน ขอให้หนูมีความสุขที่สุด มะมี๊รักหนูมากที่สุดเลย