คนสหรัฐ-ญี่ปุ่น แห่ซื้อ ‘โตโยต้า’ ก่อนภาษีทรัมป์บังคับใช้ ดันยอดขายเดือนเม.ย.พุ่ง 12% แตะ 936,718 คัน สูงสุดเป็นประวัติการณ์เป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน
.
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ยอดขายรถยนต์ของบริษัท “โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป” (Toyota Motor Corp) ในเดือนเม.ย. พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน เนื่องจากยอดขายที่แข็งแกร่งในสหรัฐและญี่ปุ่นที่คนตัดสินใจซื้อรถในวินาทีสุดท้ายก่อนนโยบายภาษีนำเข้าของ “โดนัล ทรัมป์” จะมีผลบังคับใช้
.
โตโยต้าเปิดเผยว่ายอดขายทั่วโลกในเดือนเม.ย.ซึ่งรวมถึงยอดขายของบริษัทในเครือทั้งไดฮัทสุมอเตอร์ และฮีโน่มอเตอร์พุ่งสูงถึง 936,718 คันภายในเดือนเดียว ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 12% และมียอดผลิตทั่วโลกแตะ 902,425 คัน
.
นอกจากนี้ โตโยต้าและเลกซัส รวมถึงบริษัทในเครือมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 10%ในเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น หลังจากเริ่มมีการขึ้นภาษีนำเข้าสำหรับรถยนต์และชิ้นส่วน
.
แม้ว่าขณะนี้ศาลการค้าสหรัฐได้ตัดสินให้ระงับภาษีนำเข้ารถยนต์แล้ว แต่ในเดือนเมษายนที่ผ่านมามีการเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ถึง 25% โดยรัฐบาลทรัมป์ออกมากล่าวว่าจะยื่นอุทธรณ์คำตัดสินนี้ อย่างไรก็ดี หากนโยบายภาษีทรัมป์กลับมามีผลบังคับใช้จริงอีกครั้ง ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นซึ่งพึ่งพาตลาดรถยนต์สหรัฐอาจได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าสูงถึง 19,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 6.2 แสนล้านบาท
.
โตโยต้าคาดการณ์ว่ายอดขายจะลดลงถึง 1,200 ล้านดอลลาร์ หรือราว 3.9 หมื่นล้านบาท เฉพาะในเดือนเมษายนและพฤษภาคมเท่านั้น ทั้งนี้บริษัทจะหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เกินไปจนกว่าสถานการณ์จะมั่นคงกว่านี้ โดยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โคจิ ซาโตะ กล่าวในช่วงต้นเดือนว่าบริษัทจะพิจารณาขยายฐานการผลิตในสหรัฐในช่วงระยะกลางถึงระยะยาว
.
นอกจากโตโยต้าแล้ว ค่ายรถญี่ปุ่นรายอื่นก็ได้รับอานิสงส์จากภาษีทรัมป์เช่นกัน โดยยอดขายในสหรัฐของฮอนด้าในเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้น 18% ซึ่งขัดกับยอดขายทั่วโลกที่ลดลง 5% เหลือ 287,955 คัน
.
ทั้งนี้ บริษัทมาสด้ากล่าวว่าจะหยุดการผลิตรถยนต์รุ่นหนึ่งในสหรัฐอเมริกาที่ส่งออกไปยังแคนาดา ในขณะที่ฮอนด้ามีแผนย้ายการผลิตรถรุ่น Civic จากญี่ปุ่นไปที่สหรัฐ และนิสสันได้สั่งระงับการส่งออกรถประเภท SUV ที่ผลิตในเม็กซิโกไปยังสหรัฐเช่นกัน
.
.
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ
คนแห่ซื้อ ‘โตโยต้า’ ก่อนภาษีทรัมป์บังคับใช้ ดันยอดขายนิวไฮ 2 เดือนติด (ต่างประเทศ)
.
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ยอดขายรถยนต์ของบริษัท “โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป” (Toyota Motor Corp) ในเดือนเม.ย. พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน เนื่องจากยอดขายที่แข็งแกร่งในสหรัฐและญี่ปุ่นที่คนตัดสินใจซื้อรถในวินาทีสุดท้ายก่อนนโยบายภาษีนำเข้าของ “โดนัล ทรัมป์” จะมีผลบังคับใช้
.
โตโยต้าเปิดเผยว่ายอดขายทั่วโลกในเดือนเม.ย.ซึ่งรวมถึงยอดขายของบริษัทในเครือทั้งไดฮัทสุมอเตอร์ และฮีโน่มอเตอร์พุ่งสูงถึง 936,718 คันภายในเดือนเดียว ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 12% และมียอดผลิตทั่วโลกแตะ 902,425 คัน
.
นอกจากนี้ โตโยต้าและเลกซัส รวมถึงบริษัทในเครือมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 10%ในเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น หลังจากเริ่มมีการขึ้นภาษีนำเข้าสำหรับรถยนต์และชิ้นส่วน
.
แม้ว่าขณะนี้ศาลการค้าสหรัฐได้ตัดสินให้ระงับภาษีนำเข้ารถยนต์แล้ว แต่ในเดือนเมษายนที่ผ่านมามีการเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ถึง 25% โดยรัฐบาลทรัมป์ออกมากล่าวว่าจะยื่นอุทธรณ์คำตัดสินนี้ อย่างไรก็ดี หากนโยบายภาษีทรัมป์กลับมามีผลบังคับใช้จริงอีกครั้ง ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นซึ่งพึ่งพาตลาดรถยนต์สหรัฐอาจได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าสูงถึง 19,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 6.2 แสนล้านบาท
.
โตโยต้าคาดการณ์ว่ายอดขายจะลดลงถึง 1,200 ล้านดอลลาร์ หรือราว 3.9 หมื่นล้านบาท เฉพาะในเดือนเมษายนและพฤษภาคมเท่านั้น ทั้งนี้บริษัทจะหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เกินไปจนกว่าสถานการณ์จะมั่นคงกว่านี้ โดยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โคจิ ซาโตะ กล่าวในช่วงต้นเดือนว่าบริษัทจะพิจารณาขยายฐานการผลิตในสหรัฐในช่วงระยะกลางถึงระยะยาว
.
นอกจากโตโยต้าแล้ว ค่ายรถญี่ปุ่นรายอื่นก็ได้รับอานิสงส์จากภาษีทรัมป์เช่นกัน โดยยอดขายในสหรัฐของฮอนด้าในเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้น 18% ซึ่งขัดกับยอดขายทั่วโลกที่ลดลง 5% เหลือ 287,955 คัน
.
ทั้งนี้ บริษัทมาสด้ากล่าวว่าจะหยุดการผลิตรถยนต์รุ่นหนึ่งในสหรัฐอเมริกาที่ส่งออกไปยังแคนาดา ในขณะที่ฮอนด้ามีแผนย้ายการผลิตรถรุ่น Civic จากญี่ปุ่นไปที่สหรัฐ และนิสสันได้สั่งระงับการส่งออกรถประเภท SUV ที่ผลิตในเม็กซิโกไปยังสหรัฐเช่นกัน
.
.
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ