หนักหน่วง เพราะถ่วงเวลา
ค่ายรถญี่ปุ่นสูญเงิน 600 ล้าน/วัน! เมื่อทรัมป์ ‘ดีเลย์’ ลดภาษี มาสด้า–ซูบารุเจ็บหนัก โตโยต้าโดนหนักสุด 1.4 ล้านล้านเยน
ทรัมป์ชะลอลดภาษีนำเข้า ค่ายรถญี่ปุ่นอ่วม ‘เสียหายต่อเนื่องราว 600 ล้านบาท/วัน’ มาสด้า–ซูบารุโดนหนัก กำไรโตโยต้าถูกกระทบสูงสุด 1.4 ล้านล้านเยน หรือราว 3 แสนล้านบาท ส่วนมิตซูบิชิขาดทุนในอเมริกาเหนือ
สำนักข่าวนิกเกอิ เอเชียรายงานว่า ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่น 7 แห่ง ได้สูญเสียกำไรรวมกันราว 20 ล้านดอลลาร์หรือ “640 ล้านบาทต่อวัน” จากการที่สหรัฐชะลอการปรับลดภาษีนำเข้ารถยนต์ ตามข้อตกลงล่าสุดระหว่างสองประเทศ โดยความกังวลเรื่องยอดขาย ทำให้ผู้ผลิต “ไม่กล้าผลักภาระต้นทุนดังกล่าว” ไปให้ลูกค้า
ตามการประเมินของผู้ผลิตรถยนต์ ซึ่งรวมถึงโตโยต้า มอเตอร์ ฮอนด้า มอเตอร์ และนิสสัน มอเตอร์ ผลกระทบตลอดทั้งปีจากภาษีนำเข้าจะอยู่ที่ราว 590,000 ล้านบาท และหากไม่นับนิสสัน ซึ่งยังไม่มีการคาดการณ์ผลประกอบการ ผลกระทบนี้จะฉุดกำไรจากการดำเนินงานรวมของบริษัทเหล่านี้ให้ลดลงถึง 36%
ข้อมูลจากทาคากิ นากานิชิ นักวิเคราะห์และซีอีโอของสถาบันวิจัยนากานิชิประเมินว่า “ความล่าช้าเพียง 1 เดือน” ในการบังคับใช้อัตราภาษีใหม่ จะเพิ่มภาระให้ผู้ผลิตรถยนต์สูงถึง “640 ล้านบาทต่อวัน”
สมาคมผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นรายงานว่า ในปีที่แล้ว มีการส่งออกรถยนต์จากญี่ปุ่นไปยังสหรัฐเกือบ 1.37 ล้านคัน ซึ่งทำให้สหรัฐเป็น “ตลาดส่งออกอันดับหนึ่ง” ผู้ผลิตที่ส่งออกรถไปสหรัฐในสัดส่วนสูง เช่น มาสด้า มอเตอร์ และซูบารุ กำลังได้รับผลกระทบหนักจากการเลื่อนลดภาษีครั้งนี้
ทั้งนี้ สหรัฐคิดเป็นสัดส่วนราว 1 ใน 3 ของยอดขายทั่วโลกของมาสด้า และประมาณครึ่งหนึ่งของรถยนต์ที่ขายในสหรัฐนั้นมาจาก “การผลิตในญี่ปุ่น”
“มาสด้า” ได้ประกาศคาดการณ์ผลประกอบการครั้งแรกสำหรับปีงบประมาณ 2025 โดยประเมินว่ากำไรสุทธิจะลดลง 82% เหลือเพียง 20,000 ล้านเยน
ขณะที่ “ซูบารุ” สร้างรายได้ราว 70% จากตลาดสหรัฐ โดยประมาณครึ่งหนึ่งของรถที่ขายในสหรัฐถูกส่งออกจากญี่ปุ่น บริษัทคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้า 210,000 ล้านเยนในปีงบประมาณนี้ และมีกำไรจากการดำเนินงานลดลง 51% เหลือ 200,000 ล้านเยน
ส่วน “โตโยต้า” ประเมินว่า จะได้รับผลกระทบต่อกำไรมากที่สุด ราว 1.4 ล้านล้านเยน เนื่องจากทั้งยอดขายในสหรัฐที่สูง และภาระต้นทุนเพิ่มเติมที่ตกกับซัพพลายเออร์ของผู้ผลิตรถยนต์รายนี้
(ลิงก์อ่านต่อ)
https://www.bangkokbiznews.com/world/1193608?fbclid=IwQ0xDSwMEq1hjbGNrAwSrVmV4dG4DYWVtAjExAAEeZttjSccFblfD4gMwm3W3spEEwJ7Bimpa1IQhpr_T2qM0TUZ0ZozJcHTrVzE_aem_mWrL7aCv3dTQhWhJOpLASw
ค่ายรถญี่ปุ่น สูญเงิน 600 ล้าน/วัน! เมื่อทรัมป์ ‘ดีเลย์’ ลดภาษี มาสด้า–ซูบารุเจ็บหนัก โตโยต้าโดนหนักสุด 1.4 ล้านล้านเยน
ค่ายรถญี่ปุ่นสูญเงิน 600 ล้าน/วัน! เมื่อทรัมป์ ‘ดีเลย์’ ลดภาษี มาสด้า–ซูบารุเจ็บหนัก โตโยต้าโดนหนักสุด 1.4 ล้านล้านเยน
ทรัมป์ชะลอลดภาษีนำเข้า ค่ายรถญี่ปุ่นอ่วม ‘เสียหายต่อเนื่องราว 600 ล้านบาท/วัน’ มาสด้า–ซูบารุโดนหนัก กำไรโตโยต้าถูกกระทบสูงสุด 1.4 ล้านล้านเยน หรือราว 3 แสนล้านบาท ส่วนมิตซูบิชิขาดทุนในอเมริกาเหนือ
สำนักข่าวนิกเกอิ เอเชียรายงานว่า ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่น 7 แห่ง ได้สูญเสียกำไรรวมกันราว 20 ล้านดอลลาร์หรือ “640 ล้านบาทต่อวัน” จากการที่สหรัฐชะลอการปรับลดภาษีนำเข้ารถยนต์ ตามข้อตกลงล่าสุดระหว่างสองประเทศ โดยความกังวลเรื่องยอดขาย ทำให้ผู้ผลิต “ไม่กล้าผลักภาระต้นทุนดังกล่าว” ไปให้ลูกค้า
ตามการประเมินของผู้ผลิตรถยนต์ ซึ่งรวมถึงโตโยต้า มอเตอร์ ฮอนด้า มอเตอร์ และนิสสัน มอเตอร์ ผลกระทบตลอดทั้งปีจากภาษีนำเข้าจะอยู่ที่ราว 590,000 ล้านบาท และหากไม่นับนิสสัน ซึ่งยังไม่มีการคาดการณ์ผลประกอบการ ผลกระทบนี้จะฉุดกำไรจากการดำเนินงานรวมของบริษัทเหล่านี้ให้ลดลงถึง 36%
ข้อมูลจากทาคากิ นากานิชิ นักวิเคราะห์และซีอีโอของสถาบันวิจัยนากานิชิประเมินว่า “ความล่าช้าเพียง 1 เดือน” ในการบังคับใช้อัตราภาษีใหม่ จะเพิ่มภาระให้ผู้ผลิตรถยนต์สูงถึง “640 ล้านบาทต่อวัน”
สมาคมผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นรายงานว่า ในปีที่แล้ว มีการส่งออกรถยนต์จากญี่ปุ่นไปยังสหรัฐเกือบ 1.37 ล้านคัน ซึ่งทำให้สหรัฐเป็น “ตลาดส่งออกอันดับหนึ่ง” ผู้ผลิตที่ส่งออกรถไปสหรัฐในสัดส่วนสูง เช่น มาสด้า มอเตอร์ และซูบารุ กำลังได้รับผลกระทบหนักจากการเลื่อนลดภาษีครั้งนี้
ทั้งนี้ สหรัฐคิดเป็นสัดส่วนราว 1 ใน 3 ของยอดขายทั่วโลกของมาสด้า และประมาณครึ่งหนึ่งของรถยนต์ที่ขายในสหรัฐนั้นมาจาก “การผลิตในญี่ปุ่น”
“มาสด้า” ได้ประกาศคาดการณ์ผลประกอบการครั้งแรกสำหรับปีงบประมาณ 2025 โดยประเมินว่ากำไรสุทธิจะลดลง 82% เหลือเพียง 20,000 ล้านเยน
ขณะที่ “ซูบารุ” สร้างรายได้ราว 70% จากตลาดสหรัฐ โดยประมาณครึ่งหนึ่งของรถที่ขายในสหรัฐถูกส่งออกจากญี่ปุ่น บริษัทคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้า 210,000 ล้านเยนในปีงบประมาณนี้ และมีกำไรจากการดำเนินงานลดลง 51% เหลือ 200,000 ล้านเยน
ส่วน “โตโยต้า” ประเมินว่า จะได้รับผลกระทบต่อกำไรมากที่สุด ราว 1.4 ล้านล้านเยน เนื่องจากทั้งยอดขายในสหรัฐที่สูง และภาระต้นทุนเพิ่มเติมที่ตกกับซัพพลายเออร์ของผู้ผลิตรถยนต์รายนี้
(ลิงก์อ่านต่อ)
https://www.bangkokbiznews.com/world/1193608?fbclid=IwQ0xDSwMEq1hjbGNrAwSrVmV4dG4DYWVtAjExAAEeZttjSccFblfD4gMwm3W3spEEwJ7Bimpa1IQhpr_T2qM0TUZ0ZozJcHTrVzE_aem_mWrL7aCv3dTQhWhJOpLASw