ปัญหาเชิงโครงสร้างของการเมืองไทยอย่างแท้จริง จากหลายแง่มุม ทั้งทาง จิตวิทยาการเมือง, ระบบสื่อ, และ วัฒนธรรมทางการเมือง ดังนี้ :
✅ 1. การ “ฟอกขาว” ด้วยผลงานของรัฐบาลอื่น
นักการเมืองบางคน อาศัยการ “เล่าเรื่องซ้ำ” เพื่อเชื่อมโยงตัวเองกับ ผลงานที่ประชาชนชื่นชอบ แม้ไม่ใช่ผลงานของตนโดยตรง
ตัวอย่างเช่น:
นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งในความเป็นจริงมีการวางรากฐานมาก่อนรัฐบาลประชานิยม ผ่าน
รัฐธรรมนูญประชาชน 2540 มาตรา 52
พ.ร.บ.องค์กรมหาชน 2542
ฝ่ายการเมืองที่มาในภายหลังกลับ “รีแบรนด์” ใหม่เป็นผลงานตัวเองเพียงฝ่ายเดียว แล้วสื่อสารผ่านวาทกรรมง่าย ๆ เช่น “เพราะเราจึงมี 30 บาท”
นี่คือกระบวนการ “การสร้างเครดิตทางการเมืองบนรากฐานของคนอื่น” (Credit appropriation) ซึ่งเกิดขึ้นได้เพราะปัจจัยหลายประการ
✅ 2. คนแบก เพราะ “ความจำสั้นของสังคม” + สื่อถูกครอบงำ
ประชาชนจำนวนมากจำ “ปลายทาง” ของนโยบาย แต่ไม่รู้หรือไม่เคยรับรู้โครงสร้างรองรับเบื้องหลัง
สื่อกระแสหลักถูกครอบงำหรือเลือกข้าง การนำเสนอจึงขาดความละเอียดลึกซึ้ง และกลายเป็น “เครื่องมือประชาสัมพันธ์ฝ่ายเดียว”
สื่อสังคมออนไลน์เร่งให้วาทกรรมชนะข้อเท็จจริง เพราะเนื้อหาสั้น ๆ แชร์ง่าย ยิ่งทำให้ “เรื่องเล่าแบบเดียว” ตอกย้ำหนักกว่า
✅ 3. วัฒนธรรมการเมืองแบบอุปถัมภ์และบูชาบุคคล
ประเทศไทยยังมีวัฒนธรรม “ผู้นำแบบพ่อ” ที่ต้อง “แบกความดี” ทั้งหมดไว้กับตัว
ผลงานของทีม รัฐบาลก่อนหน้า หรือภาควิชาการ มักถูกละเลย
การยกย่อง “คนเดียว” เป็นการสร้างภาพลักษณ์นำไปสู่การเลือกตั้งหรือความนิยม
✅ 4. ไม่มีวัฒนธรรม “ตรวจสอบเครดิตเชิงนโยบาย”
ต่างจากบางประเทศที่:
สื่อและนักวิชาการจะคอยตรวจสอบว่า “นโยบายนี้เกิดจากใคร เริ่มเมื่อไร ผ่านกฎหมายอะไร”
ในไทย การศึกษาเชิงนโยบายและกฎหมายไม่ถูกสื่อสารให้สาธารณชนเข้าใจอย่างง่าย
✅ สรุป:
นักการเมือง “แบกผลงานคนอื่น” จนกระทั่ง ชนะเลือกตั้ง แต่ไม่มีผลงานใหม่ๆ เพราะไร้ความสามารถ รีเบรนด์ ผลงานรัฐบากก่อนหน้ามาในอดีต ปัจจุบัน
จึง ทำไม่เป็น
ลอกข้อสอบ = ไร้ความสามารถ = ไม่เก่ง = ดูด้วยตาครับ ตามข่าวสารรายวัน
ระบบการศึกษาประชาธิปไตยไม่แข็งแรง และการเมืองไทยยังวนเวียนอยู่ในวัฒนธรรมอุปถัมภ์กับการบูชาบุคคล
ปัญหาในปัจจุบันคือ นักการเมือง ที่บูชา ไร้ความสามารถ คนแบกลำบากเองครับ
นักการเมือง ฟอกขาวคดีทุจริต ด้วยผลงานของรัฐบาลอื่น แบกกันเพราะอะไร ครับ?
✅ 1. การ “ฟอกขาว” ด้วยผลงานของรัฐบาลอื่น
นักการเมืองบางคน อาศัยการ “เล่าเรื่องซ้ำ” เพื่อเชื่อมโยงตัวเองกับ ผลงานที่ประชาชนชื่นชอบ แม้ไม่ใช่ผลงานของตนโดยตรง
ตัวอย่างเช่น:
นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งในความเป็นจริงมีการวางรากฐานมาก่อนรัฐบาลประชานิยม ผ่าน
รัฐธรรมนูญประชาชน 2540 มาตรา 52
พ.ร.บ.องค์กรมหาชน 2542
ฝ่ายการเมืองที่มาในภายหลังกลับ “รีแบรนด์” ใหม่เป็นผลงานตัวเองเพียงฝ่ายเดียว แล้วสื่อสารผ่านวาทกรรมง่าย ๆ เช่น “เพราะเราจึงมี 30 บาท”
นี่คือกระบวนการ “การสร้างเครดิตทางการเมืองบนรากฐานของคนอื่น” (Credit appropriation) ซึ่งเกิดขึ้นได้เพราะปัจจัยหลายประการ
✅ 2. คนแบก เพราะ “ความจำสั้นของสังคม” + สื่อถูกครอบงำ
ประชาชนจำนวนมากจำ “ปลายทาง” ของนโยบาย แต่ไม่รู้หรือไม่เคยรับรู้โครงสร้างรองรับเบื้องหลัง
สื่อกระแสหลักถูกครอบงำหรือเลือกข้าง การนำเสนอจึงขาดความละเอียดลึกซึ้ง และกลายเป็น “เครื่องมือประชาสัมพันธ์ฝ่ายเดียว”
สื่อสังคมออนไลน์เร่งให้วาทกรรมชนะข้อเท็จจริง เพราะเนื้อหาสั้น ๆ แชร์ง่าย ยิ่งทำให้ “เรื่องเล่าแบบเดียว” ตอกย้ำหนักกว่า
✅ 3. วัฒนธรรมการเมืองแบบอุปถัมภ์และบูชาบุคคล
ประเทศไทยยังมีวัฒนธรรม “ผู้นำแบบพ่อ” ที่ต้อง “แบกความดี” ทั้งหมดไว้กับตัว
ผลงานของทีม รัฐบาลก่อนหน้า หรือภาควิชาการ มักถูกละเลย
การยกย่อง “คนเดียว” เป็นการสร้างภาพลักษณ์นำไปสู่การเลือกตั้งหรือความนิยม
✅ 4. ไม่มีวัฒนธรรม “ตรวจสอบเครดิตเชิงนโยบาย”
ต่างจากบางประเทศที่:
สื่อและนักวิชาการจะคอยตรวจสอบว่า “นโยบายนี้เกิดจากใคร เริ่มเมื่อไร ผ่านกฎหมายอะไร”
ในไทย การศึกษาเชิงนโยบายและกฎหมายไม่ถูกสื่อสารให้สาธารณชนเข้าใจอย่างง่าย
✅ สรุป:
นักการเมือง “แบกผลงานคนอื่น” จนกระทั่ง ชนะเลือกตั้ง แต่ไม่มีผลงานใหม่ๆ เพราะไร้ความสามารถ รีเบรนด์ ผลงานรัฐบากก่อนหน้ามาในอดีต ปัจจุบัน
จึง ทำไม่เป็น
ลอกข้อสอบ = ไร้ความสามารถ = ไม่เก่ง = ดูด้วยตาครับ ตามข่าวสารรายวัน
ระบบการศึกษาประชาธิปไตยไม่แข็งแรง และการเมืองไทยยังวนเวียนอยู่ในวัฒนธรรมอุปถัมภ์กับการบูชาบุคคล
ปัญหาในปัจจุบันคือ นักการเมือง ที่บูชา ไร้ความสามารถ คนแบกลำบากเองครับ