ทำไม​พระพุทธ​ทาสต้อง​สอน​ธรรมะ​แบบนี้​

วันล้ออายุ  ๑๑๙ ปีชาตกาล พุทธทาสภิกขุ
วันอังคาร ที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๘
.
ทำไม? จึงต้องชื่อว่า “พุทธทาส”
ทำไม? พุทธทาสภิกขุ จึงต้องสอนธรรมะอย่างนี้
.
.... “อาตมาตั้งชื่อตัวเองว่า “พุทธทาส” แปลว่า “ผู้รับใช้พระพุทธเจ้า” มันมีความหมายอย่างนั้น

ก็หมายความว่า ให้มันช่วยเตือนตัวเอง บังคับตัวเอง ผูกพันตัวเอง ให้ทำงานรับใช้พระพุทธเจ้าให้สุดชีวิตจิตใจ
นี่! เรามุ่งหมายตั้งชื่อให้มีความหมาย หรือว่าตั้งนามสกุลก็ตั้งให้มีความหมาย”
..... ที่มา : จากธรรมบรรยาย หัวข้อเรื่อง “อันตรายจากวัฒนธรรมตะวันตกแห่งยุคปัจจุบัน” บรรยายเมื่อ วันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๑๖ จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า “เมื่อธรรมครองโลก” หน้า ๑๖๑

ทำไม? “พุทธทาสภิกขุ” จึงสอนธรรมะอย่างนี้
.
…. “ ทีนี้ ก็ดูกันต่อไปอีกว่า เรื่องที่เขาหาว่าผมเป็นคอมมูนิสต์

หาว่าผมไม่ชอบพระพุทธรูป, เกลียดพระพุทธรูป นี้

มันก็ไม่ร้ายกาจมากเท่ากับว่าผมเป็นมิจฉาทิฏฐิ สอนพุทธศาสนาอย่างผิดๆ

, สอนให้มีจิตว่าง, สอนให้ไม่เอาอะไร, สอนไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใด, สอนให้ตายเสียก่อนตาย

ข้อนี้ผมก็ยอมรับเต็มที่ว่าได้มีความตั้งใจอย่างนั้น, สอนอยู่อย่างนั้น, พยายามอย่างนั้น


. ที่มันเป็นอย่างนี้ก็เพราะความหวังดี คือ สงสารคนเป็นอันมากที่เรียนพุทธศาสนาจนตายก็ไม่รู้พุทธศาสนา, เรียนพระไตรปิฎกแล้ว จนแล้วจนเล่า ก็ไม่พบพระพุทธศาสนา เรียนธรรมะอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างโน้น รู้กระทั่งอภิธรรมก็ยังไม่พบพระพุทธศาสนา, มีแต่เป็น“บ้าหอบฟาง”

มีความรู้มาก, พูดอะไรได้มาก พูดกี่วัน กี่เดือน กี่ปี

ก็ไม่รู้จักจบจักสิ้น แล้วก็ไม่จบ ไม่จํานนแก่ผู้ใด แต่เรื่องที่พูดนั้นมันเป็นฟางไม่มีเมล็ดข้าว อย่างนี้เขาเรียกว่า “บ้าหอบฟาง”

หอบเสียท่วมหัวท่วมหู ไม่เห็นตัวเลย; แต่มันไม่มีเมล็ดข้าวสักเม็ดหนึ่ง นี่คือการศึกษาพุทธศาสนาสมัยนี้

รวมทั้งการปฏิบัติด้วย, นี่เรียกว่ารวมทั้งการปฏิบัติด้วย
ศึกษาปริยัติมากมายเป็นบ้าหอบฟางนั้น เห็นได้ง่าย
แต่ว่าการปฏิบัติที่มันมากมายเป็นบ้าหอบฟางมันก็มีอยู่เหมือนกัน;

ปฏิบัติอย่างนั้น ปฏิบัติอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างโน้น

, ไม่รู้ที่สํานัก กี่ร้อยสํานักแล้ว ก็ไม่เคยพอใจ เพราะว่าทําอย่างละเมอ ๆ อย่างไม่เข้าถึงหัวใจของพุทธศาสนานั้นเอง

…. เขาทําอย่างเหมือนกะหุ่นอะไรอันหนึ่ง ที่แล้วแต่ว่าผู้เชิดจะเชิดไป คือตามระเบียบที่วางไว้อย่างไร กําหนดไว้อย่างไร ได้บัญญัติไว้อย่างไร ไปปฏิบัติที่สํานักไหนก็ล้วนแต่ได้รับการแต่งตั้งให้บรรลุมรรคผลทั้งนั้น แต่แล้วก็ยังไม่พอใจ

…. ฉะนั้น ผมจึงเสนอความคิดเห็นขึ้นบ้าง ว่าไม่มากถึงอย่างนั้น เรื่องการศึกษาก็ดี เรื่องการปฏิบัติก็ดี

มันควรจะสรุปลงสั้นๆ เหลือแต่เพียงประโยคเดียว เป็นคําพูดประโยคเดียว, กระทั่งว่ามันเหลือเพียงคําเดียว, ประโยคหนึ่งมีหลายคําพูด
คุณก็รู้อยู่แล้ว คําคําเดียวก็ยังได้

คําว่าประโยคเดียว แล้วกระทั่งว่ามันเป็นคำคำเดียวก็ยังได้

…. ถ้าไปทําให้มันมากมายเป็นภูเขาเลากา, เป็นมหาสมุทรอย่างนั้น มันก็ ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ ในการที่จะประสบผลที่พึงปรารถนา เพราะไม่รู้ว่า อยู่ที่ไหน

มันเหมือนกับงมเข็มในทะเล ก็อวดได้แต่ว่า
ได้ทําไปมากแล้ว การเรียนที่เรียนมากแล้ว, การปฏิบัติก็ปฏิบัติมากแล้ว ยังไม่ได้ผลเป็นที่พอใจ
แต่บางทีก็ไม่กล้าบอกใคร เก็บไว้ข้างใน ก็เรียกว่า อมภูมิ,

คนทั่วไปก็สมมติว่า คนนี้ แหม เรียนมาก รู้มาก อะไรมาก ปฏิบัติได้มาก วิเศษกว่าคนอื่น

…. นี้คําว่า ผมพูดให้เหลือแต่ประโยคเดียว คําเดียว เขาก็ไม่เชื่อ

; เขาก็ยังจะเอาข้างที่มันมากไว้ มากไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งมากเท่าไรก็ยิ่งดี

แล้วที่น่าสงสารมากไปกว่านี้ ก็คือ เขาถือกันว่ายิ่งเข้าใจยากนั่นแหละยิ่งดี, ซึ่งเข้าใจไม่ได้เลยยิ่งดีที่สุด

เพราะถ้าเข้าใจเสียแล้ว มันก็เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ : เขาว่ามันไม่ดี, ไม่ใช่พุทธศาสนา ที่เข้าใจยากที่สุด แล้วเข้าใจไม่ได้เลย นั่นแหละคือพุทธศาสนา,

เพราะฉะนั้น มันก็ค้างเติ่งกันอยู่ที่นั่น จนกระทั่งตายไป ในการศึกษาก็ดี ในการปฏิบัติก็ดี
.
เรื่องตายเสียก่อนตาย
…. ทีนี้ ผมก็ยังมีความคิดที่มันไม่หยุด ก็อยากจะทําให้มันดีกว่านี้ หาคําพูดที่ให้กระทัดรัดกว่านี้ อะไรทํานองนี้ ก็เลยลดคําพูดลงมาเหลือว่า “ตายเสียก่อนตาย”;

แต่ความหมายมันกลับจะลึกลงไปเสียอีก.
จงเป็นอยู่เหมือนอย่างตายแล้ว; นี้ตายเสียก่อนตาย, คืออย่าได้เกิดความคิด “ว่าตัวกู ว่าของกู”, มีแต่สติปัญญา ทําอะไรไปตามสติปัญญา ที่รู้ว่าจะต้องทําอย่างไร

…. สติปัญญานั้นมันก็มีอยู่ในจิตในใจ ตามที่เราได้รับอบรมมา มันก็รู้ว่าจะต้องทําอะไร,
แล้วก็ทําแต่พอเหมาะพอควร, ไม่มากเกินไป ไม่เป็นเรื่องบ้าหอบฟาง.

จะไปหอบให้มันเหนื่อยทําไม;

เอาแต่เท่าที่จะเป็นประโยชน์ หรือเท่าที่มันจําเป็น นี้คือเป็นหน้าที่

ก็อย่าทําด้วยจิตใจที่ยึดมั่นถือมั่นว่า ตัวกู-ของกู, กูทํา กูได้ กูอะไรมาเป็นของกู

…. นี้มันเป็นคนตายที่เดินได้, ทําการงานได้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นอย่างมหาศาล.

นี่ฟังดูน่าหัวเราะหรือน่าล้ออีกเหมือนกัน ว่าคนตายนี้เดินได้ ทําอะไรได้, ทําประโยชน์อะไรให้แก่ใครก็ได้

…. พระอรหันต์ก็เป็นบุคคลที่ตายแล้วก่อนตาย ;

แต่ท่านเป็นพระอรหันต์, ท่านหมดกิเลสที่เป็นเหตุให้ยึดมั่นถือมั่น ว่าเรา ว่าของเรา นี่นะ ไม่มีตัวเรา เราเรียกว่าตายแห่งกิเลส ตายแห่งอวิชชา ตายแห่งตัณหา ตายแห่งอุปาทาน;

เรียกสั้น ๆ ว่า ตายแล้วแห่งตัวกู ของกู,
ตัวกู-ของกู มิได้มีอยู่ : เรียกว่า ตายแล้วก่อนแต่ร่างกายตาย,

ร่างกายยังอยู่ จิตใจยังอยู่ สติปัญญาของจิตใจยังอยู่

ฉะนั้น ท่านกระทําหน้าที่ ที่ควรจะกระทํา เท่าที่จําเป็นจะต้องทําหรือ ควรจะทํา;
บริหารร่างกายพอสักว่าอยู่ได้, มีทางที่จะช่วยเหลือผู้อื่นอย่างไร ก็ช่วยไปมันก็มีเท่านี้
เรื่องมันก็มีเท่านี้ นี่

อยู่อย่างตายเสียก่อนตาย กลับมีประโยชน์: เพราะว่าไม่มีตัวกูที่จะเห็นแก่ตัวกู

เดี๋ยวนี้คนมีตัวกูกันมากนัก แล้วก็เห็นแก่ตัวนั้นมากที่สุด มากเกินไป,
กระทั่งมาบวชมาเรียนมาอะไรอย่างนี้ ก็กลายเป็นเรื่องเห็นแก่ตัวกู: จะดีจะเด่น จะอย่างนั้นจะอย่างนี้ มันกลายเป็นเรื่อง ตัวกู-ของกู ไปเสียอีก ทั้งที่เป็นเรื่องของการบวช,
แล้วการบวชนี้ เขาต้องการจะทําลาย ตัวกู ของกู

นี้มันมากลายเป็นเรื่องเพิ่มให้มี ตัวกู ของกู มากขึ้นไปเสียอีก;
มันก็น่าล้อ ผมก็เคยล้อตัวเองอยู่เสมอในข้อนี้ มันก็ค่อย ๆ ดีขึ้น
.
เรื่องความว่าง, จิตว่าง
…. นี่ประโยคยาว ๆ ที่ว่า "ธรรมทั้งหลายทั้งปวงอันใคร ๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น" ของพระพุทธเจ้านี่

ผมเอาไปย่นให้มันสั้นว่า
"ไม่มีอะไรที่น่าเอาน่าเป็น",
เห็นว่ายังยาวนักก็ย่นเสียว่า "ตายเสียก่อนตาย";

ก็ยังตั้ง ๔ คําพูด เอ้า เอาเหลือคําพูดคําเดียวดีกว่า ว่า “ว่าง”

ก็เลยพูดเรื่องว่างกัน,
ได้คําว่า “ว่าง” คําเดียวเท่านั้น
แม้จะพูดว่า “ความว่าง” มันก็ภาษาบาลีก็คําเดียว เรียกว่า ว่าง ก็แล้วกัน

นี้มันก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก คือเข้าใจยากขึ้นไปอีก นี้คุณก็พอจะเข้าใจได้ หรือจับเคล็ดมันได้ว่า เรายิ่งพูดให้คําพูดมันน้อยเข้าเท่าไร ความหมายก็ยิ่งลึกซึ้งเข้าเท่านั้น เราจะรวบรัดคําพูดให้น้อยคําเข้าเท่าไร ความหมายจะยิ่งลึกซึ้งเข้าไปเท่านั้น

เมื่อพูดเป็น ๑๐ คําพูด, ประโยคยาวๆ ความหมายกระจายอยู่ที่ ๑๐ คํา มันก็ไม่ค่อยลึก.
พอย่นให้เหลือเพียง ๔ - ๕ คํา; คําหนึ่งอมความหมายไว้มาก, มันก็ค่อยๆ ลึกเข้า,
ยิ่งรวมความหมายทั้ง ๔ คํา เข้าเป็นคําเดียวว่า “ว่าง” อย่างนี้ ก็เลยยิ่งลึกใหญ่, ลึกจนตามไม่ถึง
…. คนไม่เข้าใจ เขาก็ว่าเราบ้าแล้ว,
ว่าง นี้มันจะมีอะไร?
มันจะมีดีอะไร?
จะมีประโยชน์อะไร? มันใช้อะไรไม่ได้
มันไม่ได้
มันอะไรไม่ได้ไปหมด
เขาก็เลยหาว่าเป็นคําพูดของ “มิจฉาทิฏฐิ”
ไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร สูญเปล่าไปเลย
…. ธรรมดาคําว่า "ว่าง" นี้
มันก็เป็นคําที่น่าสงสารอยู่แล้ว คือ พระบาลีมีคําว่า "สุญฺญ",
สุญฺญ แปลว่า ว่าง
ผู้อ้างตัวเองเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต อะไรก็มีมาก ไปแปลว่า สูญเปล่า, แปลคําว่า สุญฺญ นี้ว่า สูญเปล่า ไม่ได้ อะไรเลย, ไม่มีประโยชน์อะไรเลย.
นี้มันผิดเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์,
ไม่แปล สฺุญฺญ ว่า ว่าง ; ไปแปลว่าสูญเปล่ามันก็ผิดไปเสียตั้งแต่ที่แรกแล้ว
ก็ควรจะแปล ตามตัวว่า ว่าง,
ถ้าแปลว่า ว่าง ไม่เข้าใจก็ได้ มันก็ยังกํากวมกันอยู่ ยังทําให้ค้นหาต่อไป ว่ามันว่างอย่างไร ?
หรือมันจะมีประโยชน์อะไร?
ก็มีทางให้ค้นพบว่า ว่าง ในที่นี้ หมายความว่า มันว่างจากความหมายแห่ง ตัวกู-ของกู,
ว่างจากส่วนที่จะไปยึดมั่นถือมั่น
นี่จูงไปในทางที่ว่า จะได้มีจิตใจที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใด ๆ เรียกว่ามี “จิตว่าง”,
…. จิตว่าง คือว่างจากความยึดมั่นถือมั่น,
ยึดมั่นถือมั่นก็คือความรู้สึกว่า ตัวกู ว่า ของกู,
ที่นี้มันว่างจากความรู้สึกว่า ตัวกู-ของกู นั่นแหละคือ ว่าง;
ฉะนั้น คําว่า ว่าง คําเดียว มันก็พอแล้ว
ฉะนั้น ถ้าสอนกันอย่างที่เรียกว่า เป็นอะไร เป็นคล็ด หรือว่าเป็นอรรถ ก็พูดว่า ว่าง คำเดียวเท่านั้น ไม่ยอมพูดคําอื่นเลย.
เขาสอนอย่างไร?
ก็บอกว่า ว่าง.
ได้ผลอย่างไร? ก็บอกว่า ว่าง.
ปฏิบัติอย่างไร ก็ว่าง.
ใช้คําว่า ว่าง คําเดียวเป็นคําตอบคําถามทุกๆคําถามเลย.
นี่คือ เราสรุปการศึกษา และการปฏิบัติทั้งหมด มันเหลือเพียงคํา คําเดียวว่า “ว่าง”
.


พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายชุดชุมนุมล้ออายุ หัวข้อเรื่อง “ล้ออายุว่าได้รับผลสมน้ำหน้า” เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๑๓ บนเขาพุทธทอง กัณฑ์บ่าย จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า “ชุมนุมล้ออายุ เล่ม ๑” หน้า ๔๗๔ – ๔๗๖, ๔๗๙ - ๔๘๓
#  ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ - รวบรวม. #
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่