JJNY : 5in1 ชะลอแจกเงิน 10,000│สศช.ผวาราคาข้าวโลกดิ่งหนัก│เอกชนกังวลจีนเที่ยวไทยวูบ│สหรัฐขู่ 18 ปท.│รัสเซียแบนแอมเนสตี้

ด่วน! รัฐบาล แถลงชะลอแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ยันไม่ได้ยกเลิก ไว้สถานการณ์ดีค่อยพิจารณาใหม่ https://www.matichon.co.th/politics/news_5190177
.
.
“พิชัย” เผย บอร์ดกระตุ้นศก. ทบทวนงบดิจิทัลวอลเล็ต 1.57 แสนล้านบาท นำไปใช้กระตุ้นศก.ภาพรวม “น้ำ – คมนาคม – ท่องเที่ยว” ยัน ไม่ยกเลิก ไม่ยื้อเวลา แค่ชะลอหากสถานการณ์ดีพร้อมดันต่อ
.
เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 19 พฤษภาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 2/2568 มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.กลาโหม นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและรมว.คลัง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯและรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
.
นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางสาวจิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายกฯ นายเผ่าภูมิ โรจสกุล รมช.คลัง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ปลัดกระทรวงการคลังปลัดกระทรวงพาณิชย์ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และผู้ที่เกี่ยว เข้าร่วมพร้อมเพรียง
.
ต่อมาเวลา 16.08 น. ภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่2/ 2568 ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง นางสาวแพทองธาร ยิ้มพร้อมกล่าว ยอมรับว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ต้องมีการทบทวน โดยรายละเอียดกระทรวงการคลัง จะเป็นผู้ชี้แจง
.
จากนั้นเวลา 16.20 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 2/2568 ว่า เราต้องทบทวนงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท โดยจะพิจารณาแก้ปัญหาเรื่องที่เราเห็นแบบชัดเจนก่อน โดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย อยากเห็นการทบทวนโครงการดิจิทัลฯ วันนี้จึงมีการประชุมเพื่อดูว่าจะทบทวนอย่างไร ซึ่งเรานำงบดังกล่าวไปแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเกี่ยวกับเรื่องน้ำอุปโภคบริโภค และการเกษตร
.
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องระบบคมนาคม รถไฟความเร็งสูง รถไฟรางคู่ ถนนต่างๆ รวมถึงการท่องเที่ยวว่าอะไรที่เป็นปัญหา ซึ่งสิ่งต่างๆอยู่ในแผน แต่อะไรเร่งด่วนจะหยิบขึ้นมาดูเลย รวมถึงปัญหาเฉพาะหน้าของเอสเอ็มอี ทบทวนโครงการที่จะสามารถสร้างงานได้ทั้งหมด โดยจะเน้นการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน การจ้างงาน โดยวันนี้ที่ประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจอนุมัติเป็นกรอบไว้ โดยมีคณะกรรมการกลั่นกรองโครงการแผนงาน รวมถึงมีคณะกรรมการติดตามการใช้จ่ายงบประมาณด้วย
.
ถามว่า ดิจิทัลวอลเล็ตเร่งด่วนหรือไม่ นายพิชัย กล่าวย้ำว่า ดิจิทัลวอลเล็ตเราขอชะลอไปก่อน จนกว่าสถานการณ์เหมาะสม
เมื่อถามว่า ปัจจัยที่ต้องชะลอ เพราะเงินไม่พอด้วยใช่หรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า ไม่ใช่ เพราะงบมีอยู่แล้ว แต่วันนี้สถานการณ์เปลี่ยนมีข้อจำกัดมากขึ้น จึงต้องปรับแผนการใช้เงิน ซึ่งไม่เกี่ยวกับไม่มีเงิน
.
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นการซื้อเวลาหรือไม่ ทำไมจึงไม่บอกว่ายกเลิกไปเลย นายพิชัย กล่าวว่า ไม่เรียกว่าซื้อเวลาดีกว่า ถ้าสถานการณ์ดีเราก็หยิบขึ้นมาพิจารณาใหม่ได้ เพราะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรง แต่วันนี้เราอยากให้เกิดการจ้างงานก่อน เราจึงดูตามเหตุการณ์ที่เหมาะสม
.

.
สศช.ผวาราคาข้าวโลกดิ่งหนักเกือบ 30% กระทบรายได้ชาวนาวูบ
.
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) วิเคราะห์สถานการณ์การผลิต บริโภค และส่งออกข้าวเปลือกและข้าวสารเจ้าของไทย ระบุว่า ในปี 2567 การผลิตข้าวของไทยเผชิญปัจจัยท้าทายหลายด้าน ทั้งจากสภาพอากาศที่แปรปรวน โดยเข้าสู่ภาวะเอลนีโญในช่วงครึ่งแรกของปี ส่งผลให้ปริมาณฝนลดลงและเกิดภาวะฝนทิ้งช่วง ผลผลิตข้าวในบางพื้นที่เสียหายจากการขาดแคลนน้ำ และเข้าสู่ภาวะลานีญา ในช่วงครึ่งหลังของปี ส่งผลให้ปริมาณน้ำฝนสะสมและปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำปรับตัวเพิ่มขึ้น

สะท้อนจากข้อมูลจากคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศทั้งสิ้น 35 แห่ง ณ สิ้นปี 2567 พบว่ามีปริมาตรน้ำรวม 35,743 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 6.1 ในปีที่ผ่านมา และสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2562 - 2566) ร้อยละ 26.7 ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ผลผลิตข้าวปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันต้นทุนการเพาะปลูกข้าวของไทยยังอยู่ในระดับสูงจากราคาปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ต้นทุนพลังงาน และค่าจ้างแรงงาน
.
ประเทศไทยมีเนื้อที่เพาะปลูกข้าวในปี 2567 จำนวน 72.223 ล้านไร่ ลดลงร้อยละ 1.7 แต่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2562-2566) ซึ่งส่งผลให้มีปริมาณผลผลิตข้าวจำนวน 33.49 ล้านตันข้าวเปลือก ลดลงร้อยละ 0.4 และเมื่อผ่านกระบวนการแปรสภาพข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร (การสีข้าว) จะทำให้มีผลผลิตข้าวจำนวน 21.77 ล้านตันข้าวสาร กว่าจำนวน 21.86 ล้านตันข้าวสาร ในปีที่ผ่านมา
.
โดยความต้องการบริโภคข้าวในประเทศมีจำนวน 14.35 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 เทียบกับการเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.4 ในปีที่ผ่านมา ขณะที่ปริมาณส่งออกข้าวต่างประเทศจำนวน 8.6 ล้านตันข้าวสาร ลดลงร้อยละ 1.9 เทียบกับการเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.7 ในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้มีสต็อกข้าวในช่วงท้ายปีจำนวน 2.349 ล้านตันข้าวสาร ลดลงร้อยละ 32.7 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 15.4 ในปีที่ผ่านมา และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2562 - 2566) ร้อยละ 41.5
.
สำหรับแนวโน้มในปี 2568 สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) คาดการณ์ว่า จะมีเนื้อที่เพาะปลูกข้าวจำนวน 74.03 ล้านไร่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 1.7 ในปีที่ผ่านมา และสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2562 - 2566) ร้อยละ 1.4
ส่งผลให้มีปริมาณผลผลิตข้าวจำนวน 34.87 ล้านตันข้าวเปลือก เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 0.4 ในปีที่ผ่านมา และสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2562 - 2566) ร้อยละ 5.2 และมีผลผลิตข้าวจำนวน 22.67 ล้านตันข้าวสาร สูงกว่าจำนวน 21.77 ล้านตันข้าวสาร ในปีที่ผ่านมา และสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2562 - 2566) จำนวน 20.71 ล้านตันข้าวสาร
.
โดยคาดการณ์ว่าความต้องการบริโภคข้าวในประเทศมีจำนวน 15.21 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.0 เร่งขึ้นจากการเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 ในปีที่ผ่านมา และสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2562 - 2566) ร้อยละ 22.8
.
ส่วนปริมาณส่งออกข้าวต่างประเทศคาดว่ามีจำนวน 7.25 ล้านตันข้าวสาร ลดลงร้อยละ 15.7 เทียบกับการลดลงร้อยละ 6.1 ในปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2562 - 2566) ร้อยละ 0.5 และจะส่งผลให้มีสต็อกข้าวในช่วงท้ายปีจำนวน 2.65 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.8 เทียบกับการลดลงร้อยละ 32.7 ในปีที่ผ่านมา แต่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2562 - 2566) ร้อยละ 34.0
.
จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นได้ว่า แม้ว่าความต้องการบริโภคข้าวในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามการฟื้นตัวของธุรกิจร้านอาหาร โรงแรม และอุตสาหกรรมอาหาร อย่างไรก็ดี จากการประมาณการของ USDA Foreign Agricultural Service คาดว่าปริมาณการส่งออกข้าวสารของไทยมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลง แม้ว่าความต้องการบริโภคข้าวสารในตลาดโลกจะปรับตัวเพิ่มขึ้น
.
โดยสัดส่วนของปริมาณการส่งออกข้าวสารปรับตัวลดลงจากร้อยละ 16.31 ของปริมาณการส่งออกข้าวสารโลกในปีการผลิต 2566/67 เหลือเพียงสัดส่วนร้อยละ 13.11 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ประเทศอินเดียซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก ได้มีการประกาศยกเลิกราคาขั้นต่ำในการส่งออก (Minimum Export Price : MEP) และยกเลิกภาษีการส่งออกร้อยละ 10.0 สำหรับข้าวขาวนอกกลุ่มบาสมาติ (HS Code 10063090) ประกอบด้วย ข้าวนึ่ง (Parboiled Rice) ข้าวกล้อง (Brown Rice) และข้าวเปลือก (Husked Rice) ตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2567 เป็นต้นมา
.
นอกจากนี้ ประเทศเวียดนามซึ่งถือเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวอันดับสามของโลก รองจากอินเดียและไทย ยังคงเร่งขยายตลาดส่งออกข้าวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการทำข้อตกลงการค้าระยะยาวกับประเทศผู้นำเข้าหลัก อาทิ The EU -Vietnam Free Trade Agreement (EVFTA) เป็นต้น
.
จากปัจจัยที่กล่าวมานี้ ส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกเจ้าปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องทั้งในตลาดโลกและตลาดภายในประเทศ โดยจากข้อมูลของ Federal Reserve Economic Data ราคาข้าวสาร ณ เดือนเมษายน 2568 อยู่ที่ 402.68 ดอลลาร์ สรอ. ต่อตัน ลดลงร้อยละ 29.4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สอดคล้องกับสถานการณ์ราคาข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% ที่เกษตรกรขายได้ ณ ไร่นา ณ เดือนมีนาคม 2568 ภายในประเทศ อยู่ที่ 8,176.29 บาทต่อตัน ลดลงร้อยละ 27.6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งคาดว่าแนวโน้มดังกล่าวจะเป็นข้อจำกัดต่อการขยายตัวของรายได้เกษตรผู้ปลูกข้าวเปลือกในระยะต่อไป.
.

.
เอกชนกังวลจีนเที่ยวไทยวูบ จี้ถกระดับรัฐบาล ส่งออกจ่อทรุดตาม จับตาหดเป้าจีดีพีลงอีก
.
สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช. / สภาพัฒน์) ได้ปรับลดคาดการณ์ขยายตัวของจีดีพีไทยล่าสุด (19 พ.ค. 2568) ลงเหลือ 1.3 ถึง 2.3% หรือค่ากลางที่ 1.8% จากเดิมคาดจะขยายตัว 2.3 ถึง 3.3%  หรือค่ากลาง ที่ 2.8% หลังไตรมาสแรกปี 2568 จีดีพีไทย ขยายตัว 3.1% ซึ่งเป็นผลจากปริมาณการส่งออกสินค้าขยายตัว 13.8% การลงทุนภาครัฐขยายตัว 26.3% และการส่งออกบริการขยายตัว 12.3%
.
อย่างไรก็ดีการที่สภาพัฒน์ ได้ปรับลดคาดการขยายตัวเศรษฐกิจไทยทั้งปีลงเหลือ 1.8% ดังกล่าว  เป็นผลจากคาดการณ์ว่า การอุปโภคบริโภคทั้งปีจะขยายตัว 2.4% การลงทุนภาคเอกชนลดลง 0.7% การส่งออกในรูปดอลลาร์สหรัฐทั้งปี จะขยายตัวเพียง 1.8% รวมถึงมีข้อจำกัดจากภาระหนี้ครัวเรือนและหนี้ภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง
.
แหล่งข่าวระดับสูงจากภาคเอกชน ให้ความเห็นกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า การปรับลดคาดการณ์จีดีพีปี 2568 ลงเหลือเฉลี่ยทั้งปีที่ 1.8% ของสภาพัฒน์ล่าสุด มองว่ามีความสอดคล้องกับสถานการณ์และข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ทั้งเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอตัว และภาคการส่งออกของไทยมีแนวโน้มชะลอตัวจากนโยบายภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ที่เวลานี้ไทยเตรียมเปิดเจรจกับสหรัฐอย่างเร่งด่วน ก่อนเส้นตายการชะลอการเก็บภาษีตอบโต้ไทย(Reciprocal Tariffs)ในอัตรา 36 % ของสหรัฐจะสิ้นสุดในต้นเดือนกรกฎาคมนี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่