ดีหรือไม่ดี สำคัญหม้อข้าวหม้อแกงคนไทยทั้งประเทศ ก็ต้องช่วยชาวนาก่อน ชาวนาเป็นสันหลังของชาติ ทำนาตลอดทั้งปี
อดีตนั้นยาก ปัจุบันยากกว่าคะ
มาดูมาตการดีๆ กันจ้า
สินเชื่อดูแลเกษตรกรผู้ปลูกข้าว 2 โครงการ รายละเอียดดังนี้
ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกหอมมะลิ ฤดูกาลผลิตปี 2566/67
เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 และมติคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2566 เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. จัดสินเชื่อดูแลเกษตรกรผู้ปลูกข้าว 2 โครงการ
1.สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2566/67 วงเงิน 34,437 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องในการใช้จ่ายให้เกษตรกรมีเงินทุนหมุนเวียนระหว่างชะลอการขายข้าว โดยไม่ต้องเร่งขายข้าวเปลือกในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมากและราคาตกต่ำ เป้าหมายเกษตรกรที่ได้รับประโยชน์จำนวน 4.68 ล้านครัวเรือน และดูดซับปริมาณข้าวเปลือกจากท้องตลาด 3 ล้านตัน โดยมีชนิดข้าวเปลือกที่เข้าร่วมโครงการ ดังนี้ ข้าวเปลือกหอมมะลิในเขต 23 จังหวัด ได้แก่
📌ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด และภาคเหนือ 3 จังหวัด (เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกเขต 23 จังหวัด ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกปทุมธานี และข้าวเปลือกเหนียว
เงื่อนไขเข้าร่วมโครงการ - ต้องเป็นข้าวเปลือกที่มีความชื้นไม่เกินร้อยละ 15 - สิ่งเจือปนไม่เกินร้อยละ 2 - สีได้ต้นข้าวไม่ต่ำกว่า 20 กรัม -
ข้าวหอมมะลิจะมีเมล็ดข้าวแดงได้ไม่เกินร้อยละ 0.5 (ไม่เกิน 22 เมล็ดใน 100 กรัม) กำหนดวงเงินสินเชื่อต่อตัน ดังนี้
- ข้าวเปลือกหอมมะลิในเขต 23 จังหวัด 11,400–12,000 บาท/ตัน
- ข้าวหอมมะลินอกเขต 23 จังหวัด 9,900-10,500 บาท/ตัน
- ข้าวเจ้า 9,000 บาท/ตัน - ข้าวหอมปทุมธานี 10,000 บาท/ตัน
- ข้าวเหนียว 10,000 บาท/ตัน
สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2566/67 เกษตรกรกู้ได้รายละไม่เกิน 300,000 บาท สหกรณ์การเกษตรและชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งละไม่เกิน 300 ล้านบาท
กลุ่มเกษตรกรแห่งละไม่เกิน 20 ล้านบาท และวิสาหกิจชุมชนแห่งละไม่เกิน 5 ล้านบาท กรณีชำระคืนภายใน 5 เดือน โดยรัฐบาลรับภาระในการชำระดอกเบี้ยแทนเกษตรกร
นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังพร้อมสนับสนุนค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกให้เกษตรกรอีก 1,500 บาทต่อตัน กรณีเกษตรกรเก็บข้าวเอง ได้รับ 1,500 บาทต่อตัน
กรณีเกษตรกรฝากข้าวกับสถาบันเกษตรกร เกษตรกรจะได้รับ 500 บาทต่อตัน และสถาบันฯ จะได้รับ 1,000 บาทต่อตัน
ระยะเวลาจัดทำสัญญาตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 กรณีภาคใต้ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 จนถึง 31 กรกฎาคม 2567
สำหรับเกษตรกรที่เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ลูกค้ารายย่อย สามารถแจ้งความประสงค์เข้าร่วมสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีได้ โดยเงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด
2.สินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2566/67 วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท เป้าหมายรวบรวมปริมาณข้าวเปลือก 1 ล้านตัน โดยสหกรณ์การเกษตร ชุมนุมสหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชนและศูนย์ข้าวชุมชนที่ประกอบธุรกิจรวบรวมข้าวจากเกษตรกรสมาชิก และเกษตรกรทั่วไป ซึ่งสถาบันฯ ชำระดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 1 ต่อปี ส่วนที่เหลือรัฐบาลรับภาระชำระแทน ระยะเวลาจ่าย
สินเชื่อตั้งแต่บัดนี้จนถึง 30 กันยายน 2567 คุณสมบัติตามที่กำหนดสามารถขอสนับสนุนสินเชื่อ ดังนี้ - สหกรณ์การเกษตร/ชุมนุมสหกรณ์การเกษตร แห่งละไม่เกิน 300 ล้านบาท - กลุ่มเกษตรกรแห่งละไม่เกิน 20 ล้านบาท - วิสาหกิจชุมชนและศูนย์ข้าวชุมชน แห่งละไม่เกิน 5 ล้านบาท
ที่มาข้อมูล NNT กรมประชาสัมพันธ์
มาตรการดีดี❗ช่วยเหลือชาวนาผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2566/2567
ดีหรือไม่ดี สำคัญหม้อข้าวหม้อแกงคนไทยทั้งประเทศ ก็ต้องช่วยชาวนาก่อน ชาวนาเป็นสันหลังของชาติ ทำนาตลอดทั้งปี
อดีตนั้นยาก ปัจุบันยากกว่าคะ
มาดูมาตการดีๆ กันจ้า
สินเชื่อดูแลเกษตรกรผู้ปลูกข้าว 2 โครงการ รายละเอียดดังนี้
ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกหอมมะลิ ฤดูกาลผลิตปี 2566/67
เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 และมติคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2566 เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. จัดสินเชื่อดูแลเกษตรกรผู้ปลูกข้าว 2 โครงการ
1.สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2566/67 วงเงิน 34,437 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องในการใช้จ่ายให้เกษตรกรมีเงินทุนหมุนเวียนระหว่างชะลอการขายข้าว โดยไม่ต้องเร่งขายข้าวเปลือกในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมากและราคาตกต่ำ เป้าหมายเกษตรกรที่ได้รับประโยชน์จำนวน 4.68 ล้านครัวเรือน และดูดซับปริมาณข้าวเปลือกจากท้องตลาด 3 ล้านตัน โดยมีชนิดข้าวเปลือกที่เข้าร่วมโครงการ ดังนี้ ข้าวเปลือกหอมมะลิในเขต 23 จังหวัด ได้แก่
📌ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด และภาคเหนือ 3 จังหวัด (เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกเขต 23 จังหวัด ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกปทุมธานี และข้าวเปลือกเหนียว
เงื่อนไขเข้าร่วมโครงการ - ต้องเป็นข้าวเปลือกที่มีความชื้นไม่เกินร้อยละ 15 - สิ่งเจือปนไม่เกินร้อยละ 2 - สีได้ต้นข้าวไม่ต่ำกว่า 20 กรัม -
ข้าวหอมมะลิจะมีเมล็ดข้าวแดงได้ไม่เกินร้อยละ 0.5 (ไม่เกิน 22 เมล็ดใน 100 กรัม) กำหนดวงเงินสินเชื่อต่อตัน ดังนี้
- ข้าวเปลือกหอมมะลิในเขต 23 จังหวัด 11,400–12,000 บาท/ตัน
- ข้าวหอมมะลินอกเขต 23 จังหวัด 9,900-10,500 บาท/ตัน
- ข้าวเจ้า 9,000 บาท/ตัน - ข้าวหอมปทุมธานี 10,000 บาท/ตัน
- ข้าวเหนียว 10,000 บาท/ตัน
สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2566/67 เกษตรกรกู้ได้รายละไม่เกิน 300,000 บาท สหกรณ์การเกษตรและชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งละไม่เกิน 300 ล้านบาท
กลุ่มเกษตรกรแห่งละไม่เกิน 20 ล้านบาท และวิสาหกิจชุมชนแห่งละไม่เกิน 5 ล้านบาท กรณีชำระคืนภายใน 5 เดือน โดยรัฐบาลรับภาระในการชำระดอกเบี้ยแทนเกษตรกร
นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังพร้อมสนับสนุนค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกให้เกษตรกรอีก 1,500 บาทต่อตัน กรณีเกษตรกรเก็บข้าวเอง ได้รับ 1,500 บาทต่อตัน
กรณีเกษตรกรฝากข้าวกับสถาบันเกษตรกร เกษตรกรจะได้รับ 500 บาทต่อตัน และสถาบันฯ จะได้รับ 1,000 บาทต่อตัน
ระยะเวลาจัดทำสัญญาตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 กรณีภาคใต้ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 จนถึง 31 กรกฎาคม 2567
สำหรับเกษตรกรที่เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ลูกค้ารายย่อย สามารถแจ้งความประสงค์เข้าร่วมสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีได้ โดยเงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด
2.สินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2566/67 วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท เป้าหมายรวบรวมปริมาณข้าวเปลือก 1 ล้านตัน โดยสหกรณ์การเกษตร ชุมนุมสหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชนและศูนย์ข้าวชุมชนที่ประกอบธุรกิจรวบรวมข้าวจากเกษตรกรสมาชิก และเกษตรกรทั่วไป ซึ่งสถาบันฯ ชำระดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 1 ต่อปี ส่วนที่เหลือรัฐบาลรับภาระชำระแทน ระยะเวลาจ่าย
สินเชื่อตั้งแต่บัดนี้จนถึง 30 กันยายน 2567 คุณสมบัติตามที่กำหนดสามารถขอสนับสนุนสินเชื่อ ดังนี้ - สหกรณ์การเกษตร/ชุมนุมสหกรณ์การเกษตร แห่งละไม่เกิน 300 ล้านบาท - กลุ่มเกษตรกรแห่งละไม่เกิน 20 ล้านบาท - วิสาหกิจชุมชนและศูนย์ข้าวชุมชน แห่งละไม่เกิน 5 ล้านบาท
ที่มาข้อมูล NNT กรมประชาสัมพันธ์