ผมเองเป็นผู้จัดการแผนกวัยใกล้ 50 ปี ดูแลงานด้านระบบคลังลูกน้องประมาณ 80คน อายุเฉลี่ยพนักงานประมาณ 30ปี ระดับการศึกษาอยู่ประมาณ ม6ย้อนกลับไปประมาณ25ปีก่อน สมัยผมเป็นหัวหน้างานใหม่ๆช่วงอายุยังไม่ห่างกันมากสไตล์ผมกับลูกน้องก็เหมือน รุ่นพี่กับรุ่นน้องนอกจากเรื่องงานแล้วก็ต้องมีหน้าที่คอยดูแลปัญหาส่วนตัวที่จะกระทบกับงานหลักๆ ก็ปัญหาชู้สาวที่เด็กคลังมันเป็นหนุ่มเนื้อหอมเหลือเกินจนจะพาลโดนดักระทืบหน้าโรงงานอยู่หลายคน ปัญหาการเงินที่ชอบใช้จ่ายเกินตัวบ้างชอบเล่นพนันบ้างจนเจ้าหนี้มันบุกมาถึงโรงงาน ไอ้เราก็ต้องไปช่วยคุยให้
ลามไปยันเรื่องสุขอนามัยเพราะคลังเป็นแผนกที่ต้องประสานงานกับแทบทุกฝ่าย ปัญหาประหลาดๆอย่างเด็กมันใส่ยีนส์ซ้ำๆ เป็นเดือนๆ ไม่ยอมซักจนบัญชีมาทักว่า"แกบอกเด็กแกบ้างนะว่าให้ซักกางเกงบ้าง ฉันไปนับสต๊อกกับมันแล้วเหม็นอับจนทนไม่ไหว ยิ่งมันปืนไปนับของข้างบนนี่ฉันจะเป็นลม" ผมก็ต้องมานั่งสอนมันว่า ถ้ากลัวยีนส์สีซีด อย่างน้อยเอ็งแช่ไว้เฉยๆก็ยังดีหรือก็เอาไปผึ่งแแดดแล้วฉีดสเปรย์รีดผ้าใส่ไปบ้างมันจะได้ลดกลิ่น
หรือเรื่องสุดสยองอย่าง ลูกน้องบางคนไม่ใส่กางเกงในมาทำงาน จนเด็กธุรการคลังมันมาฟ้องให้ผมจัดการ เพราะน้องมันต้องเข้าคลังไปเคลียร์เรื่องการเบิกจ่ายสินค้าประจำวัน แล้วคุณน้องมันต้องก้มๆเงยๆ จนธุรการมันทนมองตูดดำๆไม่ไหว ไอ้ผมก็ต้องมานั่งเจรจาว่าถ้าเอ็งไม่เคยใส่มาก่อน มันบาด รึมันอึดอัดเอ็งใส่เป็นกางเกงขาสั้นไว้ข้างในได้มั้ย(ยุคนั้นบ๊อกเซ่อร์ยังแทบไม่มีใครรู้จัก)
ที่เกริ่นมายาวก็เพราะอยากให้เข้าใจวัฒนธรรมองค์กร ซึ่งผมเองก็แก่ตัวลงไปเรื่อยๆส่วนน้องๆอายุก็ยังแทบไม่ต่างจากเดิมเพราะจะหมุนเวียนเข้าออกตลอด ทำให้ทุกวันนี้ผมจากพี่เต้ ก็กลายเป็นลุงเต้แต่ปัญหาเดิมๆที่เล่ามามันก็ยังเป็นเรื่องเดิม ขนาดทุกวันนี้เด็กที่ไม่ใส่กางเกงในมาทำงานก็ยังมีอยู่คนนึงคนยังต้องใช้วิธีเอาตังค์ให้หัวหน้างานมันซื้อบ๊อกเซ่อร์เป็นของขวัญวันเกิดแล้วบังคับให้มันใส่ คือกลุ่มเด็กที่การศึกษาไม่สูงนักแม้จะเข้าเจน z ผมก็มองว่ามันก็แทบไม่เปลี่ยนไปจาก 25ปีก่อน แต่ที่มีปัญหาหลักจนทำให้ผมต้องโดยฝ่ายบุคคลเรียกไปคุยถึง 2 ครั้งในเวลาไม่ถึงปีคือ กลุ่มเจน Zในระดับปริญญาตรี
เรื่องคือเราจะขี้นระบบ SAP ในคลังสินค้า เรื่องคุยกับเจ้านายว่า งานธุรการคลังถ้ามีตำแหน่งว่างจะรับเป็นเด็กที่จบ ปริญญาตรีมาแต่จะเน้นที่เด็กจบใหม่เพราะ ถึงแม้คนเก่าจะวุฒิไม่สูงแต่มีประสบการณ์เขาก็จะสอนงานได้อย่างสบายใจ ปรากฎว่า 2 คนแรกที่รับมาก็มีปํญหาทันที เมื่อผมประชุมแล้วสั่งงานไปว่า "ให้พี่แมว เป็นคนสอนงานพวกหนูสองคนนะครับ" จำได้ว่าตกเย็นวันนั้นผมเรียกมาสอบถามก่อนกลับประมาณว่า "เป็นไงน้อง วันแรกติดปัญหาอะไรมั้ย ค่อยๆเรียนรู้ไปนะ"
ไม่เกิน สองวันฝ่ายบุคคลโทรมาบอกว่าถ้าบ่ายนี้ว่าง แวะมาห้องบุคคลหน่อยนะพี่มีปัญหาพนักงานเค้ามาร้องเรียนพี่ วันนั้นผมรีบไปรอตั้งแต่ยังไม่บ่ายสรุปคือ พนักงานหนึ่งในสองคนนั้นมาร้องเรียนว่าไม่พอใจที่ผมไปเรียกเค้าว่า หนูบ้าง น้องบ้างทั้งที่ผมเองก็อายุมากแล้ว(เจ็บตรงนี้) เหมือนจะทำตัวเจ้าชู้ใส่เดชะบุญนะครับที่ผมอยู่มานานมาก ทางเจ้านายเค้าเข้าใจก็เลยแค่มาเคลียร์ทีหลังก็เรียกเค้าด้วยชื่อไปเลยจะได้ไม่เกิดปัญหา สรุปคือสองคนนี้อยู่ได้ไม่ถึงเดือนก็ออก แล้วพรรณาในใบลาว่า หัวหน้างานแย่ เพื่อนร่วมงานไม่ดี บลาๆๆๆ
อีกเดือนนึงรับเข้ามาอีกคน เป็นทอม ฝ่ายบุคคลบอกทะมัดทะแมงดีพี่น่าจะไม่มีปัญหาจุกจิก อยู่ได้อาทิตย์นึงเย็นงวันนั้นผมฝากให้เอาเอกสารไปให้เด็กจัดของโดยบอกว่า"พ่อหนุ่ม ฝากให้เจ้าโยมันหน่อยบอกจัดบิลนี้ให้ด้วย" เช้ามาก็เรียบร้อย บุคคลบอกพี่ น้องมันมาฟ้องว่าพี่ไปเหยียดเพศเค้านะ กว่าจะเคลียร์กันได้ ผมนี่ขนาดต้องพาน้องที่เป็นทอมในแผนกซึ่งอยู่ในส่วนงานจัดสินค้า 4-5 คน พาไปให้บุคคลสอบสวนเลยว่าผมมีพฤติกรรมแบบนั้นมั้ย ซึ่งคงพอเดาได้ว่า พอเกิดเรื่องแบบนี้เด็กๆพวกนี้มันก็รับไม่ได้จะพาลไปเอาเรื่อง สุดท้ายก็ออกไปอีก สรุปคือตอนนี้จากที่จะรับ ปริญาตรี ก็ต้องลดมาแค่ ปวช ซึ่งก็เหมือนเรื่องตลกที่ น้องๆพวกนี้ไม่ได้อ่อนไหวกับคำต้องห้ามพวกนี้เลย
ผมเลยอยากจะขอคำชึ้แนะว่า นี่มันเป็นปัญหาเรื่องเจน หรือแค่ตัวบุคคล เพราะบังเอิญไปเห็นบทสัมภาษณ์ของคุณช่อ เรื่องประเด็น สส ในพรรคประชาชนจะขอย้ายพรรค ที่อ้างว่าเค้าเจอปัญหาเรื่องการเหยียดเพศด้วย คุณช่อเคยบอกว่าพรรคเค้า คำว่า คนสวย ก็ถือเป็นการคุกคามทางเพศรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเอาจริงเวลาน้องผู้หญิงมีปัญหาชีวิต มาขอคำแนะนำบางครั้งผมก็๋มีพูดแต่บริบทมันคือการให้กำลังใจ เช่น "เป็นไงคนสวย อาการคุณแม่เป็นยังไงบ้าง อย่าท้อนะขอให้มีความหวัง"
เมื่อคำว่า "หนู" "สุดหล่อ" "พ่อหนุ่ม" "น้อง" กลายเป็นคำต้องห้ามของคนเจน Z (ถึงขนาดทำให้หัวหน้างานต้องถูกเตือน)
ลามไปยันเรื่องสุขอนามัยเพราะคลังเป็นแผนกที่ต้องประสานงานกับแทบทุกฝ่าย ปัญหาประหลาดๆอย่างเด็กมันใส่ยีนส์ซ้ำๆ เป็นเดือนๆ ไม่ยอมซักจนบัญชีมาทักว่า"แกบอกเด็กแกบ้างนะว่าให้ซักกางเกงบ้าง ฉันไปนับสต๊อกกับมันแล้วเหม็นอับจนทนไม่ไหว ยิ่งมันปืนไปนับของข้างบนนี่ฉันจะเป็นลม" ผมก็ต้องมานั่งสอนมันว่า ถ้ากลัวยีนส์สีซีด อย่างน้อยเอ็งแช่ไว้เฉยๆก็ยังดีหรือก็เอาไปผึ่งแแดดแล้วฉีดสเปรย์รีดผ้าใส่ไปบ้างมันจะได้ลดกลิ่น
หรือเรื่องสุดสยองอย่าง ลูกน้องบางคนไม่ใส่กางเกงในมาทำงาน จนเด็กธุรการคลังมันมาฟ้องให้ผมจัดการ เพราะน้องมันต้องเข้าคลังไปเคลียร์เรื่องการเบิกจ่ายสินค้าประจำวัน แล้วคุณน้องมันต้องก้มๆเงยๆ จนธุรการมันทนมองตูดดำๆไม่ไหว ไอ้ผมก็ต้องมานั่งเจรจาว่าถ้าเอ็งไม่เคยใส่มาก่อน มันบาด รึมันอึดอัดเอ็งใส่เป็นกางเกงขาสั้นไว้ข้างในได้มั้ย(ยุคนั้นบ๊อกเซ่อร์ยังแทบไม่มีใครรู้จัก)
ที่เกริ่นมายาวก็เพราะอยากให้เข้าใจวัฒนธรรมองค์กร ซึ่งผมเองก็แก่ตัวลงไปเรื่อยๆส่วนน้องๆอายุก็ยังแทบไม่ต่างจากเดิมเพราะจะหมุนเวียนเข้าออกตลอด ทำให้ทุกวันนี้ผมจากพี่เต้ ก็กลายเป็นลุงเต้แต่ปัญหาเดิมๆที่เล่ามามันก็ยังเป็นเรื่องเดิม ขนาดทุกวันนี้เด็กที่ไม่ใส่กางเกงในมาทำงานก็ยังมีอยู่คนนึงคนยังต้องใช้วิธีเอาตังค์ให้หัวหน้างานมันซื้อบ๊อกเซ่อร์เป็นของขวัญวันเกิดแล้วบังคับให้มันใส่ คือกลุ่มเด็กที่การศึกษาไม่สูงนักแม้จะเข้าเจน z ผมก็มองว่ามันก็แทบไม่เปลี่ยนไปจาก 25ปีก่อน แต่ที่มีปัญหาหลักจนทำให้ผมต้องโดยฝ่ายบุคคลเรียกไปคุยถึง 2 ครั้งในเวลาไม่ถึงปีคือ กลุ่มเจน Zในระดับปริญญาตรี
เรื่องคือเราจะขี้นระบบ SAP ในคลังสินค้า เรื่องคุยกับเจ้านายว่า งานธุรการคลังถ้ามีตำแหน่งว่างจะรับเป็นเด็กที่จบ ปริญญาตรีมาแต่จะเน้นที่เด็กจบใหม่เพราะ ถึงแม้คนเก่าจะวุฒิไม่สูงแต่มีประสบการณ์เขาก็จะสอนงานได้อย่างสบายใจ ปรากฎว่า 2 คนแรกที่รับมาก็มีปํญหาทันที เมื่อผมประชุมแล้วสั่งงานไปว่า "ให้พี่แมว เป็นคนสอนงานพวกหนูสองคนนะครับ" จำได้ว่าตกเย็นวันนั้นผมเรียกมาสอบถามก่อนกลับประมาณว่า "เป็นไงน้อง วันแรกติดปัญหาอะไรมั้ย ค่อยๆเรียนรู้ไปนะ"
ไม่เกิน สองวันฝ่ายบุคคลโทรมาบอกว่าถ้าบ่ายนี้ว่าง แวะมาห้องบุคคลหน่อยนะพี่มีปัญหาพนักงานเค้ามาร้องเรียนพี่ วันนั้นผมรีบไปรอตั้งแต่ยังไม่บ่ายสรุปคือ พนักงานหนึ่งในสองคนนั้นมาร้องเรียนว่าไม่พอใจที่ผมไปเรียกเค้าว่า หนูบ้าง น้องบ้างทั้งที่ผมเองก็อายุมากแล้ว(เจ็บตรงนี้) เหมือนจะทำตัวเจ้าชู้ใส่เดชะบุญนะครับที่ผมอยู่มานานมาก ทางเจ้านายเค้าเข้าใจก็เลยแค่มาเคลียร์ทีหลังก็เรียกเค้าด้วยชื่อไปเลยจะได้ไม่เกิดปัญหา สรุปคือสองคนนี้อยู่ได้ไม่ถึงเดือนก็ออก แล้วพรรณาในใบลาว่า หัวหน้างานแย่ เพื่อนร่วมงานไม่ดี บลาๆๆๆ
อีกเดือนนึงรับเข้ามาอีกคน เป็นทอม ฝ่ายบุคคลบอกทะมัดทะแมงดีพี่น่าจะไม่มีปัญหาจุกจิก อยู่ได้อาทิตย์นึงเย็นงวันนั้นผมฝากให้เอาเอกสารไปให้เด็กจัดของโดยบอกว่า"พ่อหนุ่ม ฝากให้เจ้าโยมันหน่อยบอกจัดบิลนี้ให้ด้วย" เช้ามาก็เรียบร้อย บุคคลบอกพี่ น้องมันมาฟ้องว่าพี่ไปเหยียดเพศเค้านะ กว่าจะเคลียร์กันได้ ผมนี่ขนาดต้องพาน้องที่เป็นทอมในแผนกซึ่งอยู่ในส่วนงานจัดสินค้า 4-5 คน พาไปให้บุคคลสอบสวนเลยว่าผมมีพฤติกรรมแบบนั้นมั้ย ซึ่งคงพอเดาได้ว่า พอเกิดเรื่องแบบนี้เด็กๆพวกนี้มันก็รับไม่ได้จะพาลไปเอาเรื่อง สุดท้ายก็ออกไปอีก สรุปคือตอนนี้จากที่จะรับ ปริญาตรี ก็ต้องลดมาแค่ ปวช ซึ่งก็เหมือนเรื่องตลกที่ น้องๆพวกนี้ไม่ได้อ่อนไหวกับคำต้องห้ามพวกนี้เลย
ผมเลยอยากจะขอคำชึ้แนะว่า นี่มันเป็นปัญหาเรื่องเจน หรือแค่ตัวบุคคล เพราะบังเอิญไปเห็นบทสัมภาษณ์ของคุณช่อ เรื่องประเด็น สส ในพรรคประชาชนจะขอย้ายพรรค ที่อ้างว่าเค้าเจอปัญหาเรื่องการเหยียดเพศด้วย คุณช่อเคยบอกว่าพรรคเค้า คำว่า คนสวย ก็ถือเป็นการคุกคามทางเพศรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเอาจริงเวลาน้องผู้หญิงมีปัญหาชีวิต มาขอคำแนะนำบางครั้งผมก็๋มีพูดแต่บริบทมันคือการให้กำลังใจ เช่น "เป็นไงคนสวย อาการคุณแม่เป็นยังไงบ้าง อย่าท้อนะขอให้มีความหวัง"