โอ้​โ​หฆราวาส​ต้อง​อ่าน​ หลวง​พ่อ​ชาวสอนธรรม​คนให้เข้าใจ​ให้​รุ้​เรื่อง​ธรมะ

กระทู้คำถาม
คำตอบของหลวงพ่อชา สุภทฺโท
  
"ถาม :

ถ้าเรายังมีชีวิตเป็นฆราวาสอยู่
และต้องผูกพันอยู่กับการงาน ซึ่งทำให้ต้องบังเกิดความพัวพันกับการงาน

การหวังผลประโยชน์แบบนี้นะคะ แต่ว่าใจของเรารู้อยู่

ว่า อันเหตุเหล่านี้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว
แต่โดยหน้าที่แล้วจำเป็นจะต้องปฏิบัติต่อไป อย่างนี้ เราควรจะทำอย่างไรดีคะ ?
  


ตอบ :

เราจะต้องรู้จักภาษาคำพูดอันนี้
คำที่ว่า “ยึด” นี้ ยึดเพื่อไม่ยึด

ถ้าคนไม่ยึดแล้วก็พูดไม่รู้เรื่องกัน

ไม่รู้จักการทำงานอะไรทั้งนั้น เหมือนกับมีสมมติ…

มันก็มีวิมุตติ ถ้าไม่มีเรื่องทั้งหลายเหล่านี้
  ก็
ไม่มีอะไรที่จะทำกัน จึงให้รู้จัก “สมมติ”
และ “วิมุตติ” คำที่ว่า“ยึดมั่น” หรือ“ถือมั่น”นี้น่ะ เราถอนตัวออก อันนี้ เป็นภาษาที่พูดกัน  เป็นคำที่พูดกัน

แต่ตัวอุปาทาน คือสิ่งทั้งหลาย
เช่นเรามีแก้วอยู่ใบหนึ่ง เราก็รู้อยู่แล้วว่าเราจำเป็นจะต้องใช้แก้วใบนี้อยู่ตลอดชีวิต
ให้เรามาเรียนรู้เรื่องแก้วใบนี้ให้มันชัดเจนจนจบเรื่องของแก้ว...

จบอย่างไร ก็คือ เห็นว่าแก้วใบนี้มันแตกแล้ว ถึงแก้วที่ไม่แตกเดี๋ยวนี้

เราก็เห็นว่ามันแตกแล้ว เราก็ใช้แก้วใบนี้ไปใส่น้ำร้อนน้ำเย็น เมื่อแก้วใบนี้มันแตกเมื่อไร ทุกข์เกิดขึ้นไม่ได้ทำไม

เพราะว่าเราเห็นความแตกของแก้วใบนี้เป็นของแตก

ทีหลัง เราเห็นแตกก่อนแตกเสียแล้ว
แก้วใบนี้มันก็แตกไป ปัญหาอะไรก็ไม่มีเกิด
ขึ้นเลย ทั้งๆ เราใช้แก้วใบนี้อยู่อย่างนี้...
เข้าใจอย่างนั้นไหม ?
  
นี่มันเป็นอย่างนี้ มันหลบกันใกล้ๆ เลย

ทุกอย่างที่เราใช้ของอยู่ก็ให้มีความรู้อย่างนี้ไว้ มันก็เป็นประโยชน์ เรามีไว้มันก็สบาย

ที่มันจะหายไปมันก็ไม่เป็นทุกข์  คือไม่ลืมตัวของเรา

เพราะรู้เท่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้
นี่เรียกว่า ความรู้ที่มันเกิดขึ้นในที่นี้ มันคุมสิ่งทั้งหลายเหล่านี้อยู่ในกำมือของมัน เราก็ทำไปอย่างนี้แหละ

ถ้าว่าความดีใจ หรือเสียใจมากระทบอยู่เป็นธรรมดาอย่างนี้

เราก็รู้อารมณ์ว่า...ความดีใจมันไปถึงแค่ไหน มันก็ไปถึงเรื่องอนิจจังเท่านั้นแหละ เรื่องไม่แน่นอน

ถ้าเราเห็นเรื่องไม่แน่นอนอันนี้  เรื่องสุข เรื่องทุกข์นี้  มันก็เป็นเพียงเศษ เป็นกากอันหนึ่งเท่านั้นในความรู้สึกนึกคิดของเราเป็นธรรมดาของมันเสียแล้ว...

เมื่อความทุกข์เกิดขึ้นมา มันก็รู้จักว่า...
มันก็อย่างนั้นเอง
เมื่อทุกข์เกิดขึ้นมา หรือสุขเกิดขึ้นมา
มันก็อย่างนั้นเอง

ความที่ว่า...อย่างนั้นเอง มันกันตัวเราอยู่...
อย่างนี้ ไม่ใช่คนไม่รู้นะ ไม่ใช่คนเผลอนะ เพราะว่าเรามีสติรอบคอบ อยู่...เสมอ

ในการงานทุกประเภททุกอย่าง บางแห่งเคยเข้าใจว่าฉันเป็นฆราวาสอยู่ ฉันได้ทำงานอยู่ประกอบกิจการงาน เป็นพ่อบ้านแม่บ้านอยู่อย่างนี้  ฉันไม่มีโอกาส ที่จะปฏิบัติอย่างนี้เป็นต้น

อันนี้ เป็นคำที่เข้าใจผิด ของบุคคลที่ยังไม่รู้ชัดความเป็นจริงนั้น...ถ้าหากว่าเราปฏิบัติหน้าที่การงานอยู่ มีสติอยู่ มีสัมปชัญญะอยู่
มีความรู้ตัวอยู่อย่างนี้ การงานมันยิ่งจะเลิศ
ยิ่งจะประเสริฐ ทำการงานจะไม่ขัดข้อง จะมีความสงบ มีความเจริญงอกงามในการงานนั้นดีขึ้น
  
เพราะว่าการปฏิบัตินี้...

อาตมาเคยเทียบให้ฟังว่า เหมือนกับลมหายใจ ทีนี้เราทำงานทุกแขนงอยู่...

เราเคยบ่นไหมว่าเราไม่ได้หายใจ มันจะยุ่งยากสักเท่าไรก็ต้องพยายามหายใจอยู่เสมอ เพราะมันเป็นของจำเป็นอยู่อย่างนี้
การประพฤติปฏิบัตินี่ก็เหมือนกัน เมื่อเรามีโอกาสหายใจอยู่ในเวลาที่เราทำงาน เราก็มีโอกาสที่จะประพฤติปฏิบัติอยู่อย่างนั้น
ทั้งในชีวิตฆราวาสของเรา

ก็เพราะว่าการประพฤติปฏิบัตินั้น คือความรู้สึกในใจของเรา ความรู้ในใจของเรา ไม่ต้องไปแยกที่ไหน

ทำอยู่เดี๋ยวนี้...ก็รู้เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ไปทำอย่างอื่น

มันก็เหมือนกัน ฉันนั้น  ลมหายใจ กับชีวิตกับคุณค่าการปฏิบัติมันเท่ากัน

ถ้าเราไปคิดว่า...
เราทำงานอยู่ เราไม่ได้ปฏิบัติ ก็เรียกว่า...เราขาดไป

ก็เพราะว่าการปฏิบัตินั้น...อยู่ที่จิต ไม่ใช่ อยู่ที่การงาน ไม่ใช่ อยู่ที่อื่น เราลองทำความรู้สึกเข้าใจแล้ว เป็นต้น

มันก็มีไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางจิตทั้งหมด เป็นฆราวาสอยู่ ก็ได้ แต่ว่าทำปัญญาให้รู้เรื่องของมัน รู้เหตุทุกข์จะเกิด
  
ดูเหมือนว่าในครั้งพุทธกาลนั้น...

ฆราวาสที่ประพฤติธรรม ก็ไม่ใช่น้อย เยอะเหมือนกันนะ

อย่างนางวิสาขา ประวัติของ
ท่านน่ะ เป็นโสดาบันบุคคล มีครอบครัวอยู่นะ นี่เป็นต้น มันคนละตอนกันอย่างนี้
อันนี้ ก็ไม่ต้องสงสัย แต่ว่ากิจการงานของเรานั้นต้องเป็นสัมมาอาชีวะ

นางวิสาขานั้น...อยู่ในบ้าน ก็ไม่เหมือนเพื่อน ความรู้สึกนึกคิดไม่เหมือนเพื่อน มันเป็นสัมมาอาชีวะ มีความเห็นที่ถูกต้องอยู่ การงานมัน ก็ถูกต้องเท่านั้น
  
ถ้าจะเอาแต่พระจะได้หรือ พระมีอยู่กี่องค์
ในเมืองไทยนี้ ถ้าโยมไม่เห็นบุญ.ไม่เห็นกุศล
ไม่เห็นเหตุ ไม่เห็นปัจจัยแล้วมันก็ไปไม่ได้ ฉะนั้น การประพฤติปฏิบัติของพระ และฆราวาสนั้น...มันจึงรวมกันได้ แต่ว่ามันยาก
สักนิดหนึ่ง กับบุคคลที่ยังไม่เข้าใจ
เป็นฆราวาส ก็คือมันไม่เป็นทางที่จะปฏิบัติโดยตรง แต่ว่าพระออกมาบวชแล้วน่ะ มุ่งโดยตรง ไม่มีอะไรมาขัดข้องหลายอย่าง แต่ถ้าปัญญาไม่มีแล้ว...ก็เท่ากันนั่นแหละ

ถึงไปอยู่ในที่สงบ...
มันก็ทำตัวเราให้สงบไม่ได้ ถึงอยู่ในที่คนหมู่มากหากว่า...มันไม่สงบ ผู้มีปัญญาก็ทำความสงบได้ มันเป็นอย่างนี้."
  


จากมรดกธรรมเล่มที่ ๓๔
คำตอบ : หลวงพ่อชา  สุภัทโท หน้า ๖๑-๖๔
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่