โรคลีเจียนแนร์มาจากเชื้อลีจิโอเนลลา ที่ปนเปื้อนมากับละอองน้ำ แล้วเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจของมนุษย์ มักพบในเครื่องปรับอากาศ ถังเก็บน้ำระบายความร้อน ในก๊อกน้ำ เครื่องทำน้ำร้อน และฝักบัวอาบน้ำที่ไม่มีการดูแลรักษาความสะอาด
“เครื่องปรับอากาศ” เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้ายอดฮิตอย่างหนึ่งที่มีอยู่ในแทบทุกอาคารบ้านเรือน แต่หากใช้งานกันไปโดยไม่ใส่ใจการล้างทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศ จะกลายเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคต่างๆ ซึ่งรวมถึงโรค “ลีเจียนแนร์”
เกร็ดความรู้จากกระทรวงสาธารณสุขบอกเล่าถึงโรคลีเจียนแนร์ ว่า เป็นโรคที่พบได้ทั่วโลก ทั้งเขตร้อนและเขตหนาว เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย “ลีจิโอเนลลา (Legionella)” ปนเปื้อนมากับละอองน้ำ แล้วเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจของมนุษย์ เชื้อชนิดนี้มักพบในบริเวณที่มีน้ำขังนิ่ง มีความชื้นสูง และมีอุณหภูมิค่อนข้างสูง ส่วนใหญ่มักพบในเครื่องปรับอากาศ ถังเก็บน้ำระบายความร้อนที่ใช้ในอาคารขนาดใหญ่ รวมถึงในก๊อกน้ำ เครื่องทำน้ำร้อน และฝักบัวอาบน้ำที่ไม่มีการดูแลรักษาความสะอาดอย่างถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม โรคดังกล่าวสามารถรักษาได้ และโดยปกติไม่ติดต่อจากคนสู่คน ทั้งนี้ส่วนใหญ่จะปรากฎอาการภายใน 5-6 วันหลังได้รับเชื้อ แต่อาจอยู่ในช่วง 2-10 วัน
จุดเสี่ยงพบเชื้อโรคลีเจียนแนร์
-ระบบหอพึ่งเย็น
-ถังพักน้ำ ถังเก็บน้ำ
-หัวก๊อกน้ำ ฝักบัวอาบน้ำ
-ระบบท่อน้ำปิด
-ระบบน้ำร้อนรวม
-ถาดรองน้ำเครื่องปรับอากาศ
-สระว่ายน้ำ น้ำพุประดับอาคาร
-สปา
กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อโรค “ลีเจียนแนร์”
-ผู้สูงอายุ
-ผู้ที่มีประวัติสูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์
-ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง
-ผู้ป่วยเป็นโรคปอดหรือโรคไตเรื้อรัง
อาการของโรค
@ กรณีอาการเบา คล้ายกับโรคไข้หวัดใหญ่ โดยมีทั้งอาการปวดกล้ามเนื้อ มีไข้สูง อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ไอ คลื่นไส้อาเจียน ซึ่งในทางการแพทย์เรียกว่าโรคไข้ปอนเตียก (Pontiac fever)
@ รายที่มีอาการรุนแรง เชื้อเข้าสู่ร่างกายไปที่ปอด จะเกิดภาวะปอดอักเสบ มีไข้สูง ไอ หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย และอาจเป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิต จะเรียกว่าโรคปอดอักเสบลีเจียนแนร์
ทั้งนี้ หากพบว่ามีอาการเจ็บป่วยคล้ายกับอาการที่กล่าวมาข้างต้น ขอให้ไปพบแพทย์ แจ้งประวัติให้แพทย์ทราบ เพื่อให้การวินิจฉัยโรคและรักษาอย่างถูกต้อง ซึ่งใช้เวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์ก็หายขาด
การป้องกันโรคลีเจียนแนร์
1.ตรวจสอบระดับคลอรีนตกค้างของน้ำในบ่อพักทุกวันต้องไม่น้อยกว่า 0.2 ppm.
2.ตรวจสอบน้ำในระบบน้ำร้อนรวมต้องมีอุณหภูมิสูงกว่า 60 องศาเซลเซียส และน้ำที่ส่งออกต้องมีอุณหภูมิสูงกว่า 50 องศาเซลเซียส
3.ระบบปรับอากาศให้ใช้คลอรีนเข้มข้น 10 ppm.ในท่อที่ไปหอผึ่งเย็น 3-6 ชม.ให้ทั่วถึงทั้งระบบและทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศทุก 1-2 สัปดาห์
4.ทำความสะอาดหัวก๊อกน้ำ และแช่ฝักบัวด้วยสารละลายคลอรีนเข้มข้น 10 ppm. หรือแช่น้ำร้อน 65 องศาเซลเซียส นาน 5 นาที
5.ดูแลและล้างทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศ
6.ดูแลความสะอาดของแหล่งน้ำต่างๆ ภายในอาคารอย่างสม่ำเสมอ
7.ทำความสะอาดท่อหล่อเย็นหรือถาดรองน้ำหล่อเย็นของเครื่องปรับอากาศ อย่าให้มีน้ำขัง เปียกชื้น และควรทำให้แห้ง
... สามารถติดตามต่อได้ที่ :
https://www.dailynews.co.th/news/4712338/
ประโยชน์ทั้งใจกาย ‘น้ำตาไม่ดราม่า’ ถ้าไม่คอนเทนต์..มีดี
เพราะยุคนี้ถ่ายคลิปวิดีโอกันได้ง่าย ๆ แค่ใช้ปลายนิ้ว และยุคนี้อะไร ๆ ก็โพสต์โซเชียลฯ ดังนั้น “คลิปร้องไห้” ของใครที่โพสต์โซเชียลฯ ก็อาจถูกตั้งข้อสังเกตได้ว่า “คอนเทนต์หรือเปล่า??” ซึ่งก็ว่ากันไป อย่างไรก็ตาม โฟกัสที่การ “ร้องไห้” ในทางจิตวิทยาชี้ไว้ว่า “ก็มีประโยชน์นะ”...
ทั้งนี้ ณ ที่นี้วันนี้ก็มิใช่ว่าจะมาชักชวนให้ร้องไห้เอาประโยชน์กัน เพียงแต่จากกระแสข้อสังเกตที่ถาโถมใส่คนดังบางคนที่ร้องไห้เพราะกลัวภัย…ว่า “คอนเทนต์?-ไม่คอนเทนต์?” ทาง “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” ก็ขอพลิกแฟ้มชวนดูกันในภาพรวม ๆ ในทางจิตวิทยา กับกรณี “ร้องไห้มีประโยชน์” ซึ่งการร้องไห้ก็มิใช่ว่าเพราะเสียใจเสมอไป…
“ร้องไห้” นี่ถ้า “จริง–ไม่คอนเทนต์”…
“หลั่งน้ำตา” นี่เป็น “ธรรมชาติมนุษย์”
เป็นการ “ตอบสนองอารมณ์” นี่ “มีดี”
การ “ร้องไห้” ที่เป็นตามธรรมชาติ “เป็นการตอบสนองต่ออารมณ์ต่าง ๆ เช่น ความเศร้า ความเสียใจ ไปจนถึงการมีความสุขท่วมท้น” …นี่เป็นหลักใหญ่ใจความบางส่วนจากข้อมูลที่ทาง “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” พลิกแฟ้มนำมาสะท้อนต่อ-สะท้อนย้ำให้พิจารณา ซึ่งเป็นข้อมูลที่อาจเปลี่ยนมุมมองของใครหลาย ๆ คนที่มองว่าการร้องไห้เป็นการแสดงความอ่อนแอ
ทั้งนี้ เกี่ยวกับการ “ร้องไห้” นี่วันนี้ ณ ที่นี้พลิกแฟ้มสะท้อนต่อข้อมูลที่น่าสนใจจาก 2 แหล่ง เริ่มจากข้อมูลที่เผยแพร่ไว้โดย www.alljitblog.com ซึ่งร่วมกับ วันเฉลิม คงคาหลวง นักจิตวิทยาการปรึกษา และเจ้าของเพจ Trust.นักจิตวิทยาการปรึกษา ที่เผยแพร่ข้อมูลไว้ โดยสังเขปมีว่า… ในทางจิตวิทยา น้ำตาและการร้องไห้ไม่ได้หมายถึงความอ่อนแอ เนื่องจากน้ำตาและการร้องไห้อาจจะเป็นได้มากกว่าที่หลายคนคิด อย่างไรก็ตาม การร้องไห้เป็นประเด็นสำคัญมากในสังคมไทย เนื่องจากมักมองกันว่าเป็นพฤติกรรมเชิงลบมากกว่าจะเป็นเชิงบวก จึงมักไม่ค่อยได้รับอนุญาตให้ร้องไห้กันมาตั้งแต่เด็ก ๆ…
“พ่อแม่หรือผู้ใหญ่มักห้ามไม่ให้ลูก ๆ ร้องไห้ เพราะมองเป็นเรื่องของความอ่อนแอ ซึ่งความรู้สึกแบบนี้ก็จะคงอยู่ติดตัวเรามาจนโต จึงเป็นสาเหตุที่มักจะทำให้คนเรารู้สึกผิดเวลาที่ร้องไห้ออกมา” …นี่เป็นแง่มุมทางจิตวิทยา
และก็รวมถึงประเด็นที่ว่า… ควรเปลี่ยนแปลงทัศนคติกันใหม่ เพราะ ในทางจิตวิทยานั้นน้ำตาไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความอ่อนแอ แต่เป็นภาวะหนึ่งของร่างกายที่ทำงานสัมพันธ์กับอารมณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งถ้าสังเกตจะพบว่าถ้าคนเราไม่มีความสุขมาก ๆ น้ำตาก็จะไม่ไหลออกมา หรือถ้าไม่รู้สึกเจ็บมาก ๆ ก็จะไม่ร้องไห้ สะท้อนว่า…น้ำตาไม่ได้ถูกสร้างมาจากความอ่อนแอ หากแต่น้ำตานั้นได้ถูกสร้างมาเพื่อเป็นตัวแทนความรู้สึกในใจมากกว่า …นี่ก็มุมวิชาการจิตวิทยาว่าด้วยเรื่อง“ร้องไห้–น้ำตา”ที่ทาง www.alljitblog.com ร่วมกับเจ้าของเพจ Trust.นักจิตวิทยาการปรึกษา เผยแพร่ให้ความรู้ไว้
“น้ำตา” นั้น “มิใช่แค่น้ำที่ไหลจากตา”
ถ้าไม่ดราม่า…“คือตัวแทนความรู้สึก”
ขณะที่กรณี “ร้องไห้มีประโยชน์”ก็ยังมีข้อมูลน่าสนใจในบทความทางการแพทย์ที่เผยแพร่ไว้โดย โรงพยาบาลมนารมย์ ผ่านทาง www.manarom.com ซึ่งที่ ณ ที่นี้ได้พลิกแฟ้มสะท้อนต่อข้อมูลไว้ตั้งแต่ในตอนต้นว่า… ความเศร้า-ความเสียใจ-ความสุขท่วมท้น…การร้องไห้ก็เป็นการตอบสนองตามธรรมชาติของมนุษย์ต่ออารมณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ …นี่ก็เป็นข้อมูลที่ให้ความรู้ความเข้าใจต่อประชาชนไว้โดยแหล่งข้อมูลแหล่งนี้ อีกทั้งนอกจากเรื่องอารมณ์ นอกจากเรื่องทางจิตใจแล้ว กับการ “ร้องไห้-น้ำตา” นี่ก็ยังมีข้อมูล “ประโยชน์” ในส่วนที่ “เป็นเรื่องดีทางกายด้วย” ซึ่งก็น่าพิจารณา โดยสรุปมีว่า…
นับแต่อดีตนักคิดและแพทย์ในสมัยกรีกโรมันโบราณต่างก็มอง “น้ำตา”ว่าเป็นเสมือนยาระบายที่จะช่วยชำระล้างเพื่อทำให้มนุษย์รู้สึกบริสุทธิ์ ขณะที่จิตวิทยายุคปัจจุบันก็เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าวนี้เช่นกัน โดยมอง “น้ำตา” มอง “การร้องไห้” ในฐานะที่ เป็นกลไกสำคัญช่วยให้คนได้ปลดปล่อย เช่น ปลดปล่อยความเครียด ความเจ็บปวดทางอารมณ์ ออกมา
ในทางวิทยาศาสตร์แบ่ง “น้ำตา” เป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ทั้งที่เกิดจากการร้องไห้-ไม่ได้ร้องไห้ กล่าวคือ… น้ำตาที่ถูกผลิตขึ้นเมื่อมีอารมณ์สุขหรือเศร้า (Emotional tears) น้ำตาประเภทนี้ ช่วยชะล้างฮอร์โมนความเครียด และสารพิษอื่น ๆ ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพนอกจากนี้ก็มี น้ำตาที่ถูกผลิตขึ้นเมื่อมีสิ่งกระตุ้นทำให้เกิดการระคายเคือง (Reflex tears) และอีกประเภทคือ น้ำตาที่ถูกผลิตขึ้นเพื่อหล่อเลี้ยงดวงตาให้มีความชุ่มชื้น (Basal tears) โดยน้ำตา 2 ประเภทหลังนี้ ช่วยขจัดสิ่งสกปรก เช่น ควัน ฝุ่น ออกจากดวงตา และช่วยหล่อลื่นดวงตาเอาไว้เพื่อช่วยป้องกันการติดเชื้อ
ทั้งนี้ ข้อมูลที่เผยแพร่ไว้ทาง www.manarom.com โดยโรงพยาบาลมนารมย์ที่ “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” พลิกแฟ้มสะท้อนต่อ-สะท้อนย้ำวันนี้ ก็ยังมีส่วนที่อธิบายถึง “ประโยชน์การร้องไห้” ไว้ด้วยว่า… “การร้องไห้เป็นเหมือนวาล์วนิรภัยสำคัญ ที่จะปลดปล่อยออกมาหลังไม่สามารถเก็บความรู้สึกยาก ๆ ไว้ข้างในได้แล้ว โดยที่การฝืนไม่ให้ร้องไห้บ่อย ๆ อาจไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพ โดยงานวิจัยบางชิ้นพบความเชื่อมโยงระหว่างการรับมือกับปัญหาแบบเก็บกด (Repression) กับโรคหัวใจ หลอดเลือด ความดันโลหิตสูง ความเครียด ความวิตกกังวล และซึมเศร้าด้วย” …นี่ก็ข้อมูลอีกส่วนที่น่าสนใจ
“ร้องไห้–หลั่งน้ำตา” ที่ไม่คอนเทนต์…
ที่ไม่ดราม่า “มีดีต่อใจ–มีดีต่อกาย”…
ย้ำไว้…ถ้า “ไม่เฟค…มีประโยชน์”....
สามารถติดตามต่อได้ที่ :
https://www.dailynews.co.th/articles/4706177/
ระวัง! แอร์เย็นฉ่ำแฝงเชื้อโรค ‘ลีเจียนแนร์’ และ ประโยชน์ทั้งใจกาย ‘น้ำตาไม่ดราม่า’ ถ้าไม่คอนเทนต์..มีดี
“เครื่องปรับอากาศ” เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้ายอดฮิตอย่างหนึ่งที่มีอยู่ในแทบทุกอาคารบ้านเรือน แต่หากใช้งานกันไปโดยไม่ใส่ใจการล้างทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศ จะกลายเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคต่างๆ ซึ่งรวมถึงโรค “ลีเจียนแนร์”
เกร็ดความรู้จากกระทรวงสาธารณสุขบอกเล่าถึงโรคลีเจียนแนร์ ว่า เป็นโรคที่พบได้ทั่วโลก ทั้งเขตร้อนและเขตหนาว เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย “ลีจิโอเนลลา (Legionella)” ปนเปื้อนมากับละอองน้ำ แล้วเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจของมนุษย์ เชื้อชนิดนี้มักพบในบริเวณที่มีน้ำขังนิ่ง มีความชื้นสูง และมีอุณหภูมิค่อนข้างสูง ส่วนใหญ่มักพบในเครื่องปรับอากาศ ถังเก็บน้ำระบายความร้อนที่ใช้ในอาคารขนาดใหญ่ รวมถึงในก๊อกน้ำ เครื่องทำน้ำร้อน และฝักบัวอาบน้ำที่ไม่มีการดูแลรักษาความสะอาดอย่างถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม โรคดังกล่าวสามารถรักษาได้ และโดยปกติไม่ติดต่อจากคนสู่คน ทั้งนี้ส่วนใหญ่จะปรากฎอาการภายใน 5-6 วันหลังได้รับเชื้อ แต่อาจอยู่ในช่วง 2-10 วัน
จุดเสี่ยงพบเชื้อโรคลีเจียนแนร์
-ระบบหอพึ่งเย็น
-ถังพักน้ำ ถังเก็บน้ำ
-หัวก๊อกน้ำ ฝักบัวอาบน้ำ
-ระบบท่อน้ำปิด
-ระบบน้ำร้อนรวม
-ถาดรองน้ำเครื่องปรับอากาศ
-สระว่ายน้ำ น้ำพุประดับอาคาร
-สปา
กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อโรค “ลีเจียนแนร์”
-ผู้สูงอายุ
-ผู้ที่มีประวัติสูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์
-ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง
-ผู้ป่วยเป็นโรคปอดหรือโรคไตเรื้อรัง
อาการของโรค
@ กรณีอาการเบา คล้ายกับโรคไข้หวัดใหญ่ โดยมีทั้งอาการปวดกล้ามเนื้อ มีไข้สูง อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ไอ คลื่นไส้อาเจียน ซึ่งในทางการแพทย์เรียกว่าโรคไข้ปอนเตียก (Pontiac fever)
@ รายที่มีอาการรุนแรง เชื้อเข้าสู่ร่างกายไปที่ปอด จะเกิดภาวะปอดอักเสบ มีไข้สูง ไอ หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย และอาจเป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิต จะเรียกว่าโรคปอดอักเสบลีเจียนแนร์
ทั้งนี้ หากพบว่ามีอาการเจ็บป่วยคล้ายกับอาการที่กล่าวมาข้างต้น ขอให้ไปพบแพทย์ แจ้งประวัติให้แพทย์ทราบ เพื่อให้การวินิจฉัยโรคและรักษาอย่างถูกต้อง ซึ่งใช้เวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์ก็หายขาด
การป้องกันโรคลีเจียนแนร์
1.ตรวจสอบระดับคลอรีนตกค้างของน้ำในบ่อพักทุกวันต้องไม่น้อยกว่า 0.2 ppm.
2.ตรวจสอบน้ำในระบบน้ำร้อนรวมต้องมีอุณหภูมิสูงกว่า 60 องศาเซลเซียส และน้ำที่ส่งออกต้องมีอุณหภูมิสูงกว่า 50 องศาเซลเซียส
3.ระบบปรับอากาศให้ใช้คลอรีนเข้มข้น 10 ppm.ในท่อที่ไปหอผึ่งเย็น 3-6 ชม.ให้ทั่วถึงทั้งระบบและทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศทุก 1-2 สัปดาห์
4.ทำความสะอาดหัวก๊อกน้ำ และแช่ฝักบัวด้วยสารละลายคลอรีนเข้มข้น 10 ppm. หรือแช่น้ำร้อน 65 องศาเซลเซียส นาน 5 นาที
5.ดูแลและล้างทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศ
6.ดูแลความสะอาดของแหล่งน้ำต่างๆ ภายในอาคารอย่างสม่ำเสมอ
7.ทำความสะอาดท่อหล่อเย็นหรือถาดรองน้ำหล่อเย็นของเครื่องปรับอากาศ อย่าให้มีน้ำขัง เปียกชื้น และควรทำให้แห้ง
... สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4712338/
ประโยชน์ทั้งใจกาย ‘น้ำตาไม่ดราม่า’ ถ้าไม่คอนเทนต์..มีดี
เพราะยุคนี้ถ่ายคลิปวิดีโอกันได้ง่าย ๆ แค่ใช้ปลายนิ้ว และยุคนี้อะไร ๆ ก็โพสต์โซเชียลฯ ดังนั้น “คลิปร้องไห้” ของใครที่โพสต์โซเชียลฯ ก็อาจถูกตั้งข้อสังเกตได้ว่า “คอนเทนต์หรือเปล่า??” ซึ่งก็ว่ากันไป อย่างไรก็ตาม โฟกัสที่การ “ร้องไห้” ในทางจิตวิทยาชี้ไว้ว่า “ก็มีประโยชน์นะ”...
ทั้งนี้ ณ ที่นี้วันนี้ก็มิใช่ว่าจะมาชักชวนให้ร้องไห้เอาประโยชน์กัน เพียงแต่จากกระแสข้อสังเกตที่ถาโถมใส่คนดังบางคนที่ร้องไห้เพราะกลัวภัย…ว่า “คอนเทนต์?-ไม่คอนเทนต์?” ทาง “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” ก็ขอพลิกแฟ้มชวนดูกันในภาพรวม ๆ ในทางจิตวิทยา กับกรณี “ร้องไห้มีประโยชน์” ซึ่งการร้องไห้ก็มิใช่ว่าเพราะเสียใจเสมอไป…
“ร้องไห้” นี่ถ้า “จริง–ไม่คอนเทนต์”…
“หลั่งน้ำตา” นี่เป็น “ธรรมชาติมนุษย์”
เป็นการ “ตอบสนองอารมณ์” นี่ “มีดี”
การ “ร้องไห้” ที่เป็นตามธรรมชาติ “เป็นการตอบสนองต่ออารมณ์ต่าง ๆ เช่น ความเศร้า ความเสียใจ ไปจนถึงการมีความสุขท่วมท้น” …นี่เป็นหลักใหญ่ใจความบางส่วนจากข้อมูลที่ทาง “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” พลิกแฟ้มนำมาสะท้อนต่อ-สะท้อนย้ำให้พิจารณา ซึ่งเป็นข้อมูลที่อาจเปลี่ยนมุมมองของใครหลาย ๆ คนที่มองว่าการร้องไห้เป็นการแสดงความอ่อนแอ
ทั้งนี้ เกี่ยวกับการ “ร้องไห้” นี่วันนี้ ณ ที่นี้พลิกแฟ้มสะท้อนต่อข้อมูลที่น่าสนใจจาก 2 แหล่ง เริ่มจากข้อมูลที่เผยแพร่ไว้โดย www.alljitblog.com ซึ่งร่วมกับ วันเฉลิม คงคาหลวง นักจิตวิทยาการปรึกษา และเจ้าของเพจ Trust.นักจิตวิทยาการปรึกษา ที่เผยแพร่ข้อมูลไว้ โดยสังเขปมีว่า… ในทางจิตวิทยา น้ำตาและการร้องไห้ไม่ได้หมายถึงความอ่อนแอ เนื่องจากน้ำตาและการร้องไห้อาจจะเป็นได้มากกว่าที่หลายคนคิด อย่างไรก็ตาม การร้องไห้เป็นประเด็นสำคัญมากในสังคมไทย เนื่องจากมักมองกันว่าเป็นพฤติกรรมเชิงลบมากกว่าจะเป็นเชิงบวก จึงมักไม่ค่อยได้รับอนุญาตให้ร้องไห้กันมาตั้งแต่เด็ก ๆ…
“พ่อแม่หรือผู้ใหญ่มักห้ามไม่ให้ลูก ๆ ร้องไห้ เพราะมองเป็นเรื่องของความอ่อนแอ ซึ่งความรู้สึกแบบนี้ก็จะคงอยู่ติดตัวเรามาจนโต จึงเป็นสาเหตุที่มักจะทำให้คนเรารู้สึกผิดเวลาที่ร้องไห้ออกมา” …นี่เป็นแง่มุมทางจิตวิทยา
และก็รวมถึงประเด็นที่ว่า… ควรเปลี่ยนแปลงทัศนคติกันใหม่ เพราะ ในทางจิตวิทยานั้นน้ำตาไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความอ่อนแอ แต่เป็นภาวะหนึ่งของร่างกายที่ทำงานสัมพันธ์กับอารมณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งถ้าสังเกตจะพบว่าถ้าคนเราไม่มีความสุขมาก ๆ น้ำตาก็จะไม่ไหลออกมา หรือถ้าไม่รู้สึกเจ็บมาก ๆ ก็จะไม่ร้องไห้ สะท้อนว่า…น้ำตาไม่ได้ถูกสร้างมาจากความอ่อนแอ หากแต่น้ำตานั้นได้ถูกสร้างมาเพื่อเป็นตัวแทนความรู้สึกในใจมากกว่า …นี่ก็มุมวิชาการจิตวิทยาว่าด้วยเรื่อง“ร้องไห้–น้ำตา”ที่ทาง www.alljitblog.com ร่วมกับเจ้าของเพจ Trust.นักจิตวิทยาการปรึกษา เผยแพร่ให้ความรู้ไว้
“น้ำตา” นั้น “มิใช่แค่น้ำที่ไหลจากตา”
ถ้าไม่ดราม่า…“คือตัวแทนความรู้สึก”
ขณะที่กรณี “ร้องไห้มีประโยชน์”ก็ยังมีข้อมูลน่าสนใจในบทความทางการแพทย์ที่เผยแพร่ไว้โดย โรงพยาบาลมนารมย์ ผ่านทาง www.manarom.com ซึ่งที่ ณ ที่นี้ได้พลิกแฟ้มสะท้อนต่อข้อมูลไว้ตั้งแต่ในตอนต้นว่า… ความเศร้า-ความเสียใจ-ความสุขท่วมท้น…การร้องไห้ก็เป็นการตอบสนองตามธรรมชาติของมนุษย์ต่ออารมณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ …นี่ก็เป็นข้อมูลที่ให้ความรู้ความเข้าใจต่อประชาชนไว้โดยแหล่งข้อมูลแหล่งนี้ อีกทั้งนอกจากเรื่องอารมณ์ นอกจากเรื่องทางจิตใจแล้ว กับการ “ร้องไห้-น้ำตา” นี่ก็ยังมีข้อมูล “ประโยชน์” ในส่วนที่ “เป็นเรื่องดีทางกายด้วย” ซึ่งก็น่าพิจารณา โดยสรุปมีว่า…
นับแต่อดีตนักคิดและแพทย์ในสมัยกรีกโรมันโบราณต่างก็มอง “น้ำตา”ว่าเป็นเสมือนยาระบายที่จะช่วยชำระล้างเพื่อทำให้มนุษย์รู้สึกบริสุทธิ์ ขณะที่จิตวิทยายุคปัจจุบันก็เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าวนี้เช่นกัน โดยมอง “น้ำตา” มอง “การร้องไห้” ในฐานะที่ เป็นกลไกสำคัญช่วยให้คนได้ปลดปล่อย เช่น ปลดปล่อยความเครียด ความเจ็บปวดทางอารมณ์ ออกมา
ในทางวิทยาศาสตร์แบ่ง “น้ำตา” เป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ทั้งที่เกิดจากการร้องไห้-ไม่ได้ร้องไห้ กล่าวคือ… น้ำตาที่ถูกผลิตขึ้นเมื่อมีอารมณ์สุขหรือเศร้า (Emotional tears) น้ำตาประเภทนี้ ช่วยชะล้างฮอร์โมนความเครียด และสารพิษอื่น ๆ ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพนอกจากนี้ก็มี น้ำตาที่ถูกผลิตขึ้นเมื่อมีสิ่งกระตุ้นทำให้เกิดการระคายเคือง (Reflex tears) และอีกประเภทคือ น้ำตาที่ถูกผลิตขึ้นเพื่อหล่อเลี้ยงดวงตาให้มีความชุ่มชื้น (Basal tears) โดยน้ำตา 2 ประเภทหลังนี้ ช่วยขจัดสิ่งสกปรก เช่น ควัน ฝุ่น ออกจากดวงตา และช่วยหล่อลื่นดวงตาเอาไว้เพื่อช่วยป้องกันการติดเชื้อ
ทั้งนี้ ข้อมูลที่เผยแพร่ไว้ทาง www.manarom.com โดยโรงพยาบาลมนารมย์ที่ “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” พลิกแฟ้มสะท้อนต่อ-สะท้อนย้ำวันนี้ ก็ยังมีส่วนที่อธิบายถึง “ประโยชน์การร้องไห้” ไว้ด้วยว่า… “การร้องไห้เป็นเหมือนวาล์วนิรภัยสำคัญ ที่จะปลดปล่อยออกมาหลังไม่สามารถเก็บความรู้สึกยาก ๆ ไว้ข้างในได้แล้ว โดยที่การฝืนไม่ให้ร้องไห้บ่อย ๆ อาจไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพ โดยงานวิจัยบางชิ้นพบความเชื่อมโยงระหว่างการรับมือกับปัญหาแบบเก็บกด (Repression) กับโรคหัวใจ หลอดเลือด ความดันโลหิตสูง ความเครียด ความวิตกกังวล และซึมเศร้าด้วย” …นี่ก็ข้อมูลอีกส่วนที่น่าสนใจ
“ร้องไห้–หลั่งน้ำตา” ที่ไม่คอนเทนต์…
ที่ไม่ดราม่า “มีดีต่อใจ–มีดีต่อกาย”…
ย้ำไว้…ถ้า “ไม่เฟค…มีประโยชน์”....
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/articles/4706177/