เครดิตแหล่งข่าว/เจ้าของบทความโดย
https://www.dailynews.co.th/news/4680306/

มาดูกันว่า 6 อาหารรสเผ็ดซ่า-เปรี้ยวจี๊ดที่ว่ามีอะไรบ้าง? และทำไมถึงช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้

พริก: ความเผ็ดร้อนของพริกมาจากสารแคปไซซิน (Capsaicin) ซึ่งงานวิจัยสมัยใหม่พบว่า สามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินจากเซลล์ตับอ่อน ปรับปรุงการเผาผลาญน้ำตาล และลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งเป็นผลดีต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

กระเทียม: กระเทียมมีกลิ่นเฉพาะตัวที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหาร มีงานวิจัยชี้ว่า สารอัลลิซิน (Allicin) ในกระเทียมมีคุณสมบัติช่วยต้านไวรัส ลดไขมันในเลือด ลดความดันโลหิต และลดระดับน้ำตาลในเลือดได้

หอมใหญ่: หอมใหญ่มีรสเผ็ดซ่าที่เป็นเอกลักษณ์และระเหยง่าย สารสำคัญที่ทำให้หอมใหญ่มีรสเผ็ดก็คืออัลลิซินเช่นเดียวกับกระเทียม การทานหอมใหญ่ในปริมาณที่พอเหมาะ จึงเป็นประโยชน์ต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

ขิง: สารสำคัญที่ให้รสเผ็ดร้อนแก่ขิง คือ จินเจอรอล (Gingerol) ขิงยังอุดมไปด้วยสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพต่างๆ เช่น จินเจอรอล เคอร์คูมิน จิงเจอโรน และโพลีแซ็กคาไรด์ ซึ่งมีส่วนช่วยต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ ลดระดับน้ำตาลในเลือด ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย และบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน

น้ำส้มสายชู: น้ำส้มสายชูสามารถช่วยชะลอการบีบตัวของกระเพาะอาหาร และเพิ่มความไวต่ออินซูลิน งานวิจัยพบว่า การเติมน้ำส้มสายชูลงในอาหารจำพวกข้าวและเส้น สามารถลดค่าดัชนีน้ำตาลในเลือด (Glycemic Index หรือ GI) ของอาหารนั้นๆ ได้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการควบคุมระดับน้ำตาลหลังมื้ออาหาร

น้ำมะนาว: เช่นเดียวกับน้ำส้มสายชู งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า การเติมน้ำส้มสายชูหรือน้ำมะนาวซึ่งเป็นเครื่องปรุงรสที่มีความเป็นกรดลงในอาหารจำพวกแป้ง สามารถช่วยลดค่า GI ของอาหารได้ เนื่องจากกรดอะซิติก (ในน้ำส้มสายชู) และกรดซิตริก (ในน้ำมะนาว) จะช่วยเพิ่มความเป็นกรดในกระเพาะอาหารและชะลอการบีบตัวของกระเพาะอาหาร

อาหารรสเผ็ดซ่าทั้ง 6 ชนิดนี้ หากทานในปริมาณที่เหมาะสม ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มกลิ่นและรสชาติให้อาหาร ทำให้สามารถลดปริมาณการใช้เกลือลงได้อีกด้วย

ข้อควรระวัง: ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับหัวใจและไต ระบบทางเดินอาหารไม่ดี หรือมีแผลในช่องปาก ควรหลีกเลี่ยงการทานอาหารรสจัด