ธุรกิจถูก "ปัจจัยลบ" รายล้อม นักการตลาดมองไม่ใช่ปีทอง แต่ก็ไม่ใช่ปีถอย! พร้อมเปลี่ยนมุมมองผู้บริโภคเซ็กเมนต์สู่กลุ่มก้อนใหญ่ ส่อง 8 ขุมทรัพย์กำลังซื้อปี 68 ควรโฟกัส
สถานการณ์ธุรกิจปี 2568 ภาคธุรกิจประสานเสียง “เหนื่อย” เพราะผ่านไตรมาส 1 ยอดขายพลาดเป้าเพราะกำลังซื้อเปราะบาง เศรษฐกิจยังลุ้นเติบโต หลังหลายสถาบันทั้งในและต่างประเทศ “หั่นเป้าจีดีพีไทย”
ท่ามกลางปัจจัยลบรายล้อม แต่เอเยนซีสื่อโฆษณา ยังมองบวก หา “ช่องว่าง” แห่งโอกาสทางการตลาดให้เจอ เพื่อขายสินค้า สร้างการเติบโตให้ได้
ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด ฉายภาพว่า ขณะนี้ธุรกิจเผชิญปัจจัยลบ แต่ยังมีปัจจัยบวกให้เห็น จะเป็นแรงส่งต่อเศรษฐกิจ ธุรกิจไทย เช่น ยอดจองรถยนต์ในงานมอเตอร์โชว์ ที่เติบโต 41.6% ยอดทั้งสิ้น 77,379 คัน ท่องเที่ยวโดยเฉพาะ “มหาสงกรานต์” ท้องสนามหลวง เงินสะพัดกว่า 4,097.17 ล้านบาท เป็นต้น
“ปีนี้อาจไม่ใช่ปีทอง แต่ก็ไม่ใช่ปีถอย”
ปัจจุบันนักการตลาด แบรนด์มองกลุ่มเป้าหมายแยกย่อยเป็น “เซ็กเมนต์” มากขึ้น แต่อีกด้านสามารถพลิกมุมเจาะกลุ่มเป้าหมายได้ ซึ่ง ปี 2568 เอ็มไอ อยากให้โฟกัส “ขุมทรัพย์ผู้คนและกำลังซื้อ” ที่แปรเป็นโอกาสทางการตลาด สำหรับ “ยิงโฆษณา” ที่ไม่ใช่แค่หว่านกว้างหรือจำกัดวงแคบ แต่ควร “เล็งแหลม” แม่นยำ นำไปกำหนดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์แต่กลุ่มที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและการจับจ่ายสินค้าและบริการในหมวดที่แตกต่างกัน 8 กลุ่ม ดังนี้
1.แรงงานเกษตร “ผู้ปั้นอนาคตจากผืนดิน” จำนวน 12 ล้านคน กลุ่มแรงงานฐานรากที่ยังคงขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจไทยอย่างมั่นคง แม้จะไม่อยู่ในเมือง แต่เข้าถึงเทคโนโลยีและโซเชียลมากขึ้นผ่านมือถือ ถือเป็นกำลังซื้อสำคัญในตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคหรือ FMCG และสินค้าจำเป็นที่ตอบสนองต่อความต้องการและวิถีชีวิต รวมถึงเปิดรับนวัตกรรมเกษตรมากขึ้นเรื่อยๆสำหรับช่องทางแนะนำ คือ เฟซบุ๊ก(Facebook) ติ๊กต็อก(TikTok) สื่อท้องถิ่น (ป้ายโฆษณา และวิทยุ) รวมทั้งอีเวนต์ชุมชน งานประเพณีต่างๆ
2.แรงงานบริการ “คนจริงหลังฉากเศรษฐกิจ” กลุ่มนี้ไม่น้อย เพราะมีถึง 5 ล้านคน กลุ่มสำคัญที่สร้างประสบการณ์บริการในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ร้านอาหาร คาเฟ่ โรงแรมไปจนถึงภาคบริการสุขภาพและท่องเที่ยว คือฟันเฟืองที่มักถูกมองข้าม แต่มีพลังการจับจ่าย และเป็นกลุ่มที่เข้าถึงสื่อผ่านมือถือสูงมาก โดยช่องทางแนะนำ ได้แก่ Facebook, YouTube, สื่อนอกบ้าน (ป้าย ตลาดเช้า ห้างค้าปลีก)รวมถึงบูธกิจกรรมในบริเวณแหล่งชุมชนและที่ทำงาน
3.Gen Z (13–29 ปี) “เสียงใหม่แห่งอนาคต” มีจำนวนถึง 13 ล้านคน เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่นิยามโลกในแบบของตัวเอง ทั้งพฤติกรรม การซื้อสินค้า และการเสพสื่อ เพราะกลุ่มนี้คือผู้กำหนดเทรนด์หรือ Trend Setter ตัวจริง แรงขับเคลื่อนของทุกแพลตฟอร์ม พฤติกรรมไวต่อกระแส ต้องการการสื่อสารที่สร้างการมีส่วนร่วมและให้คุณค่าความเป็นตัวเอง
กลุ่มนี้สำคัญมาก เพราะจะเป็น “ขุมทรัพย์แห่งกำลังซื้อในอนาคต” สำหรับช่องทางแนะนำ ได้แก่ TikTok, IG, YouTube, X, Gaming-Discord, สื่อนอกบ้าน (Transit, ใกล้สถานศึกษา/ห้างฯ)
4.พนักงานบริษัท “มนุษย์เงินเดือนหัวใจนักสู้” จำนวน 18 ล้านคน กลุ่มชนชั้นกลางที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเมือง มีกำลังซื้อ มองหาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งในเรื่องการใช้จ่าย สุขภาพ และความมั่นคง เป็นกลุ่มที่เปิดรับข้อมูลเยอะ แต่เลือกเชื่อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ และให้คุณค่ากับ แบรนด์ที่เข้าใจชีวิตจริง โดยช่องทางแนะนำ: Facebook, TikTok, YouTube, LinkedIn, สื่อนอกบ้าน (ป้าย สื่อเคลื่อนที่(Transit) ออฟฟิศ), Roadshow ทดลองใช้ สมัครบริการ
5.กลุ่มใกล้เกษียณ ผู้สูงวัย “พลังเงียบที่ยังเปล่งเสียง” ที่มีมากสุดถึง 18.6 ล้านคน กลุ่มใหญ่มากที่มีทั้งเวลาและกำลังซื้อ พร้อมดูแลตัวเองและคนรอบข้าง ต้องการความมั่นใจในแบรนด์และความคุ้มค่า เป็นกลุ่มที่อาจไม่ได้ไวกับเทคโนโลยี แต่ซื่อสัตย์ต่อแบรนด์ที่เชื่อถือได้ โดยช่องทางแนะนำ ได้แก่ ไลน์(Line), ทีวี(TV),ยูทูป( YouTube), เฟซบุ๊ก(Facebook), สื่อนอกบ้าน (ป้าย สื่อเคลื่อนที่หรือ Transit ห้างค้าปลีก และโรงพยาบาล),บูธกิจกรรม (ตรวจสุขภาพ และแจกสินค้าตัวอย่าง)
“กลุ่มใหญ่ที่น่าสนใจ คือผู้สูงวัยหรือ Silver age เพราะมีจำนวนมาก อนาคตจะเป็น ซูเปอร์ซิลเวอร์เอจด้วย ด้านการลงทุนสื่อสารการตลาดใช้งบไม่มาก หากแบรนด์ติดและเข้าไปอยู่ในใจ และอยู่กับยี่ห้อนั้นนาน ส่วนเจนซี เจนแห่งอนาคต เอาใจยาก พร้อมเปลี่ยนแบรนด์เปลี่ยนใจตลอด อีกทั้งลงทุนมาก แต่ต้องปูรากฐานไว้เพื่อให้รักและชอบสินค้าในระยะยาว”
6.พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ออฟไลน์หรือ Micro Sellers ถูกยกเป็น “เสาหลักเศรษฐกิจฐานราก” มีจำนวนกว่า 4 ล้านคนขึ้นไป เจ้าของร้านเล็กๆ ที่ไม่เล็กในพลัง พวกเขาใช้ทุกเครื่องมือเพื่อสร้างรายได้ ทั้งไลฟ์สด ขายหน้าร้าน และโซเชียล แบรนด์ที่เข้าถึงและสนับสนุนพวกเขาได้ จะได้พลังจากปากต่อปากที่มหาศาล ซึ่งช่องทางแนะนำ กลุ่มเฟซบุ๊ก(Facebook Group) ติ๊กต็อก(TikTok) ป้ายตลาด หน้าร้านขายส่ง อีเวนต์ฝึกอาชีพ การแจกแพ็กเกจเริ่มต้น
7.แรงงานต่างด้าว “นักสู้แดนไกล” มีมากกว่า 10 ล้านคน ผู้ที่เดินทางมาทำงานและกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจไทย พวกเขาไม่ได้แค่ทำงาน แต่ใช้จ่าย กิน เที่ยว และสร้างชุมชน ต้องการสื่อสารผ่านภาษาของเขา และช่องทางที่พวกเขาใช้จริง โดยช่องทางแนะนำ ได้แก่ เฟซบุ๊ก(Facebook) ภาษาถิ่น,ยูทูป(YouTube) สื่อนอกบ้าน (ป้าย สื่อเคลื่อนที่ ร้านโชห่วย ร้านสะดวกซื้อ) ป้ายที่พัก ย่านนิคมฯ ในโรงงาน บูธแจกซิม ลองสินค้าตัวอย่าง
“กลุ่มแรงงานต่างด้าว เมียนมา เป็นกลุ่มใหญ่สุด มีประชากรราว 50% ตามด้วย กัมพูชา ลาว เดิมกลุ่มเมียนมาทำงานมีรายได้ จะแบ่ง 40%ออมหรือส่งกลับบ้านประเทศที่เกิด และใช้จ่าย 60% เพื่อกินอยู่ค่าที่พัก แต่ปัจจุบันมองการตั้งหลักปักฐานในประเทศไทย จึงนำเงินออมนั้นใช้จ่ายในประเทศไทยมากขึ้น”
8.นักท่องเที่ยวต่างชาติ “สายเที่ยวสายเปย์” รัฐวางเป้าหมาย 36–39 ล้านคน กลุ่มที่เดินทางเพื่อหาประสบการณ์ใหม่ พร้อมใช้จ่ายกับสิ่งที่แตกต่าง คุ้มค่า และสร้างความประทับใจ ให้ความสำคัญกับความสะดวก ความต่างเฉพาะถิ่น และประสบการณ์ที่มีเอกลักษณ์ ช่องทางแนะนำ ได้แก่ ป้ายสนามบินแลนด์มาร์ก แหล่งท่องเที่ยว แพลตฟอร์มท่องเที่ยว และการรีวิว
“หากมองกลุ่มที่มีรายได้สูงสุด อำนาจซื้อสูงและใช้จ่าย ยกให้ Silver Age และวัยทำงาน ส่วนกลุ่มแรงงานต่างด้าว มองการตั้งรกรากในประเทศไทยมากขึ้น มีผลต่อการใช้จ่ายในประเทศไทย”
เปิด 8 กลุ่มขุมทรัพย์ตลาด สูงวัย-เจนซี-แรงงานต่างด้าว ต้องโฟกัส