เป็นครั้งที่สองที่ผมนั้นได้ไปที่ญี่ปุ่น แน่ละว่าผมเตือนเพื่อนร่วมงานบางเรื่องเช่นการพกกระเป๋าเล็กสำหรับใส่เหรียญก่อนเพราะเหรียญเยอะมากระดับที่ต้องแยกเลยทีเดียว(แต่หม่อมแม่ที่ดันไม่พกด้วย)
สิ่งที่ประทับใจ
1เท็คโนโลยี แน่ละว่าญี่ปุ่นมีเท็คโนโลยีที่ทันสมัยกว่าแต่มีสองสิ่งที่ทำให้ผมทึ่งอีกครั้งคืออย่างแรกเลยคือเครื่องคิดเงินของร้านLawsonและ7-11รวมถึงDaisoที่ตอนนี้ใช้ระบบเดียวกับที่เคยนั่งรถไฟฟ้าคือเขาจะมีช่องใส่เหรียญแบบกรอกลงไปเลยแบบเทกระจาดยังไหวแล้วมันจะนับเงินให้เลยแบบอัตโนมัติ มีครั้งหนึ่งที่เผลอใส่เหรียญเกินมันจะขึ้นป้ายสีเขียวบอกว่าจ่ยครบพอกดออกมามันก็ทอนเหรียญให้แบบสบายๆ ตอนแม่ผมมีปัญหาเหรียญเต็มกระเป๋า เขาจัดการโดยเทเหรียญฝั่งเขา(ร้านLawson)แล้วทอนเป็นธนบัตรพันเยนพร้อมเศษเหรียญให้เลย
ส่วนอันนี้จะมีบางที่คือเครื่องแปลภาษาเพราะอันนี้ความซวยของผมที่ดันซื้อร่มทรงดาบซามุไร ไกต์กับพนักงานโรงแรมเลยแนะไปที่ร้านสะดวกซื้อ และพอไปร้านBig camera ตอนแรกก็ซื้อกันพลาไปสองตัวเลยถามเขาและพนักงานกลับมาพร้อมเครื่องแปลภาษาที่สามารถแปลจากอังกฤษเป็นญี่ปุ่นได้ แต่ภาษาไทยไม่มีเพราะภาษาไทยดันมีวรรณยุกต์เลยไม่มีแต่ภาษาอังกฤษผมยังแข็งผิดคนทั่วไปนิดหน่อยเลยรอดไปได้
2.วัฒนธรรมและชาตินิยมที่เปลี่ยนเล็กน้อย
ตอนสมัยเรียนคือรุ่นพี่เคยเตือนว่าไปญี่ปุ่นนั้นต้องพูดได้เพราะเขาไม่พูดภาษาอังกฤษในบ้านเขาซึ่งจริงส่วนหนึ่งเพราะหากร้านเล็กๆหรือผู้เฒ่าผู้แก่นี้พูดไม่ได้แต่คนวัยรุ่นหน่อยหากเขาพบว่าเป็นต่างชาติเขาจะพูดภาษาอังกฤษด้วย
ส่วนวัฒนธรรมยังคงดั้งเดิมอย่างตอนแวะเกียวโตเขาให้นักท่องเที่ยวลองพิธีชงชาด้วยและแน่นอนความนอบน้อมยังมีอย่างเมื่อก่อนตอนเผลอถอยไปชนพนักงานเงินเดือนเขายังขอโทษก่อนผมอีก และแน่นอนว่าครั้งนี้ผมหาร้านที่รับห่อร่มสำเร็จ(เขาห้ามไม่ให้ขึ้นเครื่องต้องโหลดใต้ท้องเครื่องอย่างเดียว)พอผ่านตำรวจผมผ่านตำรวจที่มีอายุปุ๊บคือเขาทักทันทีว่าดาบและเดินเข้าหาผมรีบบอก โคเรวะคาสะ คาตานะจะไน้(มีคลิปตอนห่อแก้ต่างด้วย)ตำรวจก็ก้มขอโทษซะงั้น
ความระเบียบจัดคือแน่ละว่าคนขับรถคงแอบเคืองที่บรรดาคนที่ขึ้นรถมาสายแต่ที่เพื่อนร่วมงานเผลอปล่อยไก่คือเขาเห็นว่าถนนกว้างเลยเดินดุ่มๆทั้งๆไฟแดงผมและตำรวจฝั่งตรงข้ามเลยห้ามทันควัน(เขาบอกNoสามรอบ)
ช่วงปล่อยไก่
แน่นอนว่าผมนั้นพอพูดได้เป็นคำๆอย่างนับเลข(แม่พยายามใช้ภาษาอังกฤษแทรกทุกที)กับคำขอโทษที่มีสองแบบของเขาจนเกือบกลืนไปกับคนญี่ปุ่นไปแล้วหากแม่ผมไม่ทักผมละนะ แต่มีครั้งหนึ่งที่ดวงซวยคือเขายื่นทิชชู่ให้แล้วเขาพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นว่าอาริกาโตะ ทีนี้ละเขาพูดรัวๆใส่จนผมเกิดอาการเอ๋อจนพูดว่าตอบไงดีเนี่ยเขาเลยใช้ภาษาอังกฤษจนพอคุยได้และเขาตบท้ายว่าhave a nice trip และแน่นอนโดนแม่บ่นว่าทำไมไม่ใช้ภาษาอังกฤษผมเลยบอกว่าไหนๆพูดญี่ปุ่นได้ก็พูดสักหน่อยสิ อนึ่งตอนที่อยู่โรงแรมแม่บอกให้เปิดทีวีแล้วดูการ์ตูน มีบางครั้งที่ผมพูดแปลภาษาให้แล้วแม่บอกไหงทีนี้แปลได้ผมเลยบอกว่าถ้าประโยคง่ายๆพอแปลได้และการ์ตูน(สป๊องค์)อันนี้พูดช้าเลยแปลทัน ส่วนตอนที่โดนทักคือพูดเร็วจนแปลไม่ทัน
ที่ที่ผมไปส่วนมากนักท่องเที่ยวเยอะมีทั้งยุโรปและเอเชีย แน่นอนเวลาผาจะพูดขอทางหน่อยครับจะใช้คำว่า สึนิมาเซ(ขอโทษแบบขอความช่วยเหลือ) กับexcuse me แต่มีครั้งหนึ่งอยู่ๆผมพูดภาษาไทยเฉยจนแม่บอก อ่าว ไหงพูดไทยละปกติพูดญี่ปุ่นไม่ใช่หรือ ผมบอกว่า กลุ่งที่อยู่ข้างหน้าทัวร์ไทยจ้าแม่จนแม่งง(ดีที่ไม่ใช่พ่องง)
อีกตอนคือตอนที่แวะนาราคือซื้อเซมเบ้กวางและให้แม่ไปสองชุดส่วนผมกำลังจะถ่ายรูปเสื้อโค๊ทของผมโดนกระตุกพอหันมาคือกวางมันดึงเสื้อผมและมีตัวที่สองตามมาจนทำเสื้อขาดนิดหน่อย ส่วนแม่ผมโดนกัดก้นจนต้องยอมเอาให้กวางทันที แน่นอนตอนเจออีกทีหลังทานข้าวกลางวันแม่ค้าถามจะซื้อให้กวางไหม(เป็นภาษาญี่ปุ่น) ผมชูเสื้อที่มีรอยขาดแม่ค้าถึงกับยิ้มเล็กยิ้มน้อยเลย
ด้านที่ทำให้แปลกใจ
อย่างแรกเลยก็คือเรื่องเหรียญโดยเหรียญ1เยนนั้นเป็นเหรียญสังกะสีที่เบาสุดกู่กับเหรียญ5เยนที่ไม่มีเลขแต่เหรียญ10เยนดันใหญ่กว่า50และ100เยนอีก คือมันต้องเล็กกว่าไม่ใช่หรือถึงโลหะน่าจะทองแดงก็ตาม
อย่างที่สองคือตอนกลับจากสนามบินตอนแรกคณะทัวร์นั้นเขาแจกกระป๋องน้ำผลไม้แต่เขาไม่ให้เข้าผมเลยดื่มจนหมดและวางบนกระเป๋ากันพลากับฟิกเกอร์และนำไปขึ้นเครื่อง พอเขาเห็นว่าเป็นกระป๋องเปล่าเลบหิ้วทั้งถุงผ่านโดยไม่แสกนก่อนหรือเปล่าไม่แน่ใจแต่เกิดข้อสงสัยว่าไม่เข้าเครื่องก่อนหรือ(กระเป๋าเป้กับเสื้อยังแสกน)
(เพิ่มเติม)
อย่างที่สาม ถ้าเคยไปชลบุรีหรือมีมภาพที่เวเว่นสองสาขาติดกันแต่ครั้งนี้คือเจอร้านสะดวกซื้อสองสาขาใกล้กันเลยคือLawson และ 7-11จนแบบว่าพี่จะเปิดใกล้กันเพื่อ?
อย่างที่4ไม่เกี่ยวกันกับญี่ปุ่นแต่ทำไมหญิงแฟริกาต้องถังเดรธล๊อคทุกคนด้วย
เพิ่มเติม สำหรับนักท่องเที่ยวเมื่อก่อนเขามีการคืนภาษีโดยแนบใบเสร็จและไปคืนที่สนามบินแต่ตอนนี้เขาใช้การแสกนและลดราคาให้ทันทีแต่มีเงื่อนไขคือต้องเป็นร้านที่รองรับโดยจะแปะป้ายว่าTex freeแต่คุณจะซื้อของในราคา5,500ขึ้นไป(เมื่อก่อนต้อง10,000เยน)
อนึ่งเพื่อนบอกว่าซื้อตุ๊กตายางไหมผมบอกไม่เอาเพราะต้องแพ็คของแถมจะผ่านตม.ได้ไหมก็ไม่รู้และน้ำหนักเกินด้วยเลยไม่ซื้อ
ญี่ปุ่นในมุมมองที่ทำให้ทึ่งและแปลกสำหรับผม
สิ่งที่ประทับใจ
1เท็คโนโลยี แน่ละว่าญี่ปุ่นมีเท็คโนโลยีที่ทันสมัยกว่าแต่มีสองสิ่งที่ทำให้ผมทึ่งอีกครั้งคืออย่างแรกเลยคือเครื่องคิดเงินของร้านLawsonและ7-11รวมถึงDaisoที่ตอนนี้ใช้ระบบเดียวกับที่เคยนั่งรถไฟฟ้าคือเขาจะมีช่องใส่เหรียญแบบกรอกลงไปเลยแบบเทกระจาดยังไหวแล้วมันจะนับเงินให้เลยแบบอัตโนมัติ มีครั้งหนึ่งที่เผลอใส่เหรียญเกินมันจะขึ้นป้ายสีเขียวบอกว่าจ่ยครบพอกดออกมามันก็ทอนเหรียญให้แบบสบายๆ ตอนแม่ผมมีปัญหาเหรียญเต็มกระเป๋า เขาจัดการโดยเทเหรียญฝั่งเขา(ร้านLawson)แล้วทอนเป็นธนบัตรพันเยนพร้อมเศษเหรียญให้เลย
ส่วนอันนี้จะมีบางที่คือเครื่องแปลภาษาเพราะอันนี้ความซวยของผมที่ดันซื้อร่มทรงดาบซามุไร ไกต์กับพนักงานโรงแรมเลยแนะไปที่ร้านสะดวกซื้อ และพอไปร้านBig camera ตอนแรกก็ซื้อกันพลาไปสองตัวเลยถามเขาและพนักงานกลับมาพร้อมเครื่องแปลภาษาที่สามารถแปลจากอังกฤษเป็นญี่ปุ่นได้ แต่ภาษาไทยไม่มีเพราะภาษาไทยดันมีวรรณยุกต์เลยไม่มีแต่ภาษาอังกฤษผมยังแข็งผิดคนทั่วไปนิดหน่อยเลยรอดไปได้
2.วัฒนธรรมและชาตินิยมที่เปลี่ยนเล็กน้อย
ตอนสมัยเรียนคือรุ่นพี่เคยเตือนว่าไปญี่ปุ่นนั้นต้องพูดได้เพราะเขาไม่พูดภาษาอังกฤษในบ้านเขาซึ่งจริงส่วนหนึ่งเพราะหากร้านเล็กๆหรือผู้เฒ่าผู้แก่นี้พูดไม่ได้แต่คนวัยรุ่นหน่อยหากเขาพบว่าเป็นต่างชาติเขาจะพูดภาษาอังกฤษด้วย
ส่วนวัฒนธรรมยังคงดั้งเดิมอย่างตอนแวะเกียวโตเขาให้นักท่องเที่ยวลองพิธีชงชาด้วยและแน่นอนความนอบน้อมยังมีอย่างเมื่อก่อนตอนเผลอถอยไปชนพนักงานเงินเดือนเขายังขอโทษก่อนผมอีก และแน่นอนว่าครั้งนี้ผมหาร้านที่รับห่อร่มสำเร็จ(เขาห้ามไม่ให้ขึ้นเครื่องต้องโหลดใต้ท้องเครื่องอย่างเดียว)พอผ่านตำรวจผมผ่านตำรวจที่มีอายุปุ๊บคือเขาทักทันทีว่าดาบและเดินเข้าหาผมรีบบอก โคเรวะคาสะ คาตานะจะไน้(มีคลิปตอนห่อแก้ต่างด้วย)ตำรวจก็ก้มขอโทษซะงั้น
ความระเบียบจัดคือแน่ละว่าคนขับรถคงแอบเคืองที่บรรดาคนที่ขึ้นรถมาสายแต่ที่เพื่อนร่วมงานเผลอปล่อยไก่คือเขาเห็นว่าถนนกว้างเลยเดินดุ่มๆทั้งๆไฟแดงผมและตำรวจฝั่งตรงข้ามเลยห้ามทันควัน(เขาบอกNoสามรอบ)
ช่วงปล่อยไก่
แน่นอนว่าผมนั้นพอพูดได้เป็นคำๆอย่างนับเลข(แม่พยายามใช้ภาษาอังกฤษแทรกทุกที)กับคำขอโทษที่มีสองแบบของเขาจนเกือบกลืนไปกับคนญี่ปุ่นไปแล้วหากแม่ผมไม่ทักผมละนะ แต่มีครั้งหนึ่งที่ดวงซวยคือเขายื่นทิชชู่ให้แล้วเขาพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นว่าอาริกาโตะ ทีนี้ละเขาพูดรัวๆใส่จนผมเกิดอาการเอ๋อจนพูดว่าตอบไงดีเนี่ยเขาเลยใช้ภาษาอังกฤษจนพอคุยได้และเขาตบท้ายว่าhave a nice trip และแน่นอนโดนแม่บ่นว่าทำไมไม่ใช้ภาษาอังกฤษผมเลยบอกว่าไหนๆพูดญี่ปุ่นได้ก็พูดสักหน่อยสิ อนึ่งตอนที่อยู่โรงแรมแม่บอกให้เปิดทีวีแล้วดูการ์ตูน มีบางครั้งที่ผมพูดแปลภาษาให้แล้วแม่บอกไหงทีนี้แปลได้ผมเลยบอกว่าถ้าประโยคง่ายๆพอแปลได้และการ์ตูน(สป๊องค์)อันนี้พูดช้าเลยแปลทัน ส่วนตอนที่โดนทักคือพูดเร็วจนแปลไม่ทัน
ที่ที่ผมไปส่วนมากนักท่องเที่ยวเยอะมีทั้งยุโรปและเอเชีย แน่นอนเวลาผาจะพูดขอทางหน่อยครับจะใช้คำว่า สึนิมาเซ(ขอโทษแบบขอความช่วยเหลือ) กับexcuse me แต่มีครั้งหนึ่งอยู่ๆผมพูดภาษาไทยเฉยจนแม่บอก อ่าว ไหงพูดไทยละปกติพูดญี่ปุ่นไม่ใช่หรือ ผมบอกว่า กลุ่งที่อยู่ข้างหน้าทัวร์ไทยจ้าแม่จนแม่งง(ดีที่ไม่ใช่พ่องง)
อีกตอนคือตอนที่แวะนาราคือซื้อเซมเบ้กวางและให้แม่ไปสองชุดส่วนผมกำลังจะถ่ายรูปเสื้อโค๊ทของผมโดนกระตุกพอหันมาคือกวางมันดึงเสื้อผมและมีตัวที่สองตามมาจนทำเสื้อขาดนิดหน่อย ส่วนแม่ผมโดนกัดก้นจนต้องยอมเอาให้กวางทันที แน่นอนตอนเจออีกทีหลังทานข้าวกลางวันแม่ค้าถามจะซื้อให้กวางไหม(เป็นภาษาญี่ปุ่น) ผมชูเสื้อที่มีรอยขาดแม่ค้าถึงกับยิ้มเล็กยิ้มน้อยเลย
ด้านที่ทำให้แปลกใจ
อย่างแรกเลยก็คือเรื่องเหรียญโดยเหรียญ1เยนนั้นเป็นเหรียญสังกะสีที่เบาสุดกู่กับเหรียญ5เยนที่ไม่มีเลขแต่เหรียญ10เยนดันใหญ่กว่า50และ100เยนอีก คือมันต้องเล็กกว่าไม่ใช่หรือถึงโลหะน่าจะทองแดงก็ตาม
อย่างที่สองคือตอนกลับจากสนามบินตอนแรกคณะทัวร์นั้นเขาแจกกระป๋องน้ำผลไม้แต่เขาไม่ให้เข้าผมเลยดื่มจนหมดและวางบนกระเป๋ากันพลากับฟิกเกอร์และนำไปขึ้นเครื่อง พอเขาเห็นว่าเป็นกระป๋องเปล่าเลบหิ้วทั้งถุงผ่านโดยไม่แสกนก่อนหรือเปล่าไม่แน่ใจแต่เกิดข้อสงสัยว่าไม่เข้าเครื่องก่อนหรือ(กระเป๋าเป้กับเสื้อยังแสกน)
(เพิ่มเติม)
อย่างที่สาม ถ้าเคยไปชลบุรีหรือมีมภาพที่เวเว่นสองสาขาติดกันแต่ครั้งนี้คือเจอร้านสะดวกซื้อสองสาขาใกล้กันเลยคือLawson และ 7-11จนแบบว่าพี่จะเปิดใกล้กันเพื่อ?
อย่างที่4ไม่เกี่ยวกันกับญี่ปุ่นแต่ทำไมหญิงแฟริกาต้องถังเดรธล๊อคทุกคนด้วย
เพิ่มเติม สำหรับนักท่องเที่ยวเมื่อก่อนเขามีการคืนภาษีโดยแนบใบเสร็จและไปคืนที่สนามบินแต่ตอนนี้เขาใช้การแสกนและลดราคาให้ทันทีแต่มีเงื่อนไขคือต้องเป็นร้านที่รองรับโดยจะแปะป้ายว่าTex freeแต่คุณจะซื้อของในราคา5,500ขึ้นไป(เมื่อก่อนต้อง10,000เยน)
อนึ่งเพื่อนบอกว่าซื้อตุ๊กตายางไหมผมบอกไม่เอาเพราะต้องแพ็คของแถมจะผ่านตม.ได้ไหมก็ไม่รู้และน้ำหนักเกินด้วยเลยไม่ซื้อ