คือผมพึ่งค้นพบว่าตัวเอง น่าจะ เป็นคนที่หลายๆคนเรียกว่าอัจริยะ (แต่ไม่ได้มากขนาดนั้น)
ผมมีโอกาสได้ไปเห็นกระทู้นึงเกี่ยวกับ
"จะแข่งกับพวกอัจฉริยะยังไง...?" อารมณ์ประมาณอยากเอาชนะ อะไรแบบนั้น
ผมเลยอยากลองแชร์ประสบการณ์ส่วนตัว ว่าทำไม เพื่อนผมหลายคนถึงเรียกผมว่าอัจริยะ และ ทำไมบางคน ถึงเกลียดผม (
อาจจะยาวนิดนึงนะครับ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านเรื่องราวนี้มากๆครับ)
เริ่มเลยครับ ...
PART-1 : Background
คือ ครอบครัวผมเป็นครอบครัวที่ ผ่านเหตุการณ์โหดร้ายมากๆมา (
สงครามกลางเมือง: Khmer Rouge Civil War) ตั้งแต่เขาเด็กมากๆ ~ 10 ขวบ ทั้งพ่อ และ แม่เลย. ตอนนั้นพ่อผมประมาณ 12 ส่วนแม่ผม 10 ขวบ. ครอบครัวฝั่งแม่เป็นคนจีนครับ อาม่าเป็นคนฮ่องกง อากงเป็นคนไหหลำ, ส่วนฝั่งพ่อ ปู่เป็นชาวมาเล ยายเป็นคนไทยเกาะกงครับ. (ปล. คนรุ่นพ่อผม เขาย้ายกันอยู่แบบง่ายมาก ครอบครัวพ่อผมอาศัยอยู่ในส่วนของกัมพูชาในตอนนั้น)
อากงเขาเคยไปเรียนที่ฝรั่งเศษ เขาเลยย้ายมาทำงานเป็นพ่อครัวกับลูกเรือฝรั่งเศษที่
เวียดนาม ครับ อาม่า กับ แม่ผม ก็เลยได้ไปอยู่แถวนั้นครับ. เขาก็ใช้ชีวิตกันไป ก็ชนชั้นกลางล่างครับ (ครอบครัวฝั่งกงเขามีเงินนะครับ แต่กงแกไม่เอาไหนครับ ลูกๆครอบครัวเลยลำบาก).
แล้วมันมีช่วงสงคราม อันนี้ผมไม่รู้ประวัติศาสตร์มากครับผม แต่สุดท้าย แม่ผม น้าสาว อาม่า หนีมาด้วยกันครับ (ส่วนพี่น้องของแม่ผมที่โตๆกับแล้วเขาเอาตัวรอดหนีไปก่อน ทีหลังค่อยมารวมตัวกัน ส่วนกงตุยไปแล้วครับ กินเหล้าเยอะเกิน). แล้วก็สุดท้ายไปติดเขมรแดง ตอนที่แม่ผม 10ขวบ ส่วนน้าสาว 7ขวบ
พ่อผม ผมไม่มีข้อมูลอะไรมากครับ แต่พ่อผมรอดมาคนเดียว พี่น้อง ย่า ปู่ อันนี้ผมไม่เคยถาม แต่น่าจะไม่รอด (ครอบครัวฝั่งพ่อผมรวยมากครับ ปู่เป็นพ่อค้า น่าจะโดนทหาร ... ทั้งครอบครัว)
สุดท้าย พ่อกับแม่ก็มาเจอกันที่ไทย แล้วก็แต่งงานกัน
ตอนผมเกิดมา ผมเป็นลูกหลงครับ ครอบครัวผมก็ผ่านช่วงยากลำบากมาแล้ว ไม่รวย แต่ไม่อดอยาก
ซึ่ง เรื่องที่ผมเล่ามา มันจะไปมีผลกระทบต่อผมในอนาคต แล้วก็เหตุผลว่าทำไม สมองผมถึงทำงานแบบนี้
PART-2 : ผมโตมายังไง
ที่เล่ามาทั้งหมดก่อนหน้านี้ มันมีผลทำให้
คนทั้งครอบครัวผม มีปัญหาสุขภาพจิตหมดเลย (ซึ่งถ้าจะให้ผมในตอนนี้เรียก มันก็คือ PTSD ครับ)
ผมมีพี่สาว หนึ่งคน (ห่างกัน 19ปี) พี่ชายหนึ่งคน(ห่างกัน 12ปี) มีปัญหาสุขภาพจิตทั้งหมด (C-PTSD, Generational Traumas).
แม่ผมหลังจากที่อพยพมาที่ไทย เขาก็ต้องรับจ้างทำงานเลี้ยงม่า น้อง แกะกุ้ง ทำสารพัดครับ แม่ผมก็จะมี
trauma, อาการวิตกกังวล,
หวาดระแวง - "
ขั้นรุนแรงมากๆ" (ปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่ 60+ แล้ว)
พี่น้องผม รวมถึงผมด้วย ก็จะถูกเลี้ยงดูมาด้วยแม่ที่มีอาการวิตกกังวล ซึ่งมันมีผลกระทบมากๆ เพราะ อาการวิตกกังวล มันสามารถส่งต่อผ่าน DNA ได้ + การถูกเลี้ยงดูมาด้วยแม่ที่มีสภาวะวิตกกังวล พี่น้อง และ ผมเอง ก็มีอาการหวาดระแวง และ วิตกกังวลกันทั้งครอบครัว ถึงแม้อายุจะห่างกันมากๆก็ตาม
PART-3: ชีวิตวัยเด็ก
ผมเติบโตมาในต่างจังหวัดครับ ที่ๆผมเติบโตมา มันไม่มีอะไรเลยครับ มันไม่เหมือนในกรุงเทพที่มีที่เรียนพิเศษ ที่พ่อแม่หลายๆคนสามารถพัฒนาส่งเสริมเด็กได้
ของเล่นผมก็ไม่ค่อยมีครับ ผมต้องไปแงะพวก มอเตอร์ของเล่นพังๆมาทำเรือ หุ่นยนต์ เอง ทำปืนหน้าไม้ เอง
คอมพิวเตอร์บ้านผมมีครับ Pentium ของพี่ชาย แต่ผมใช้ไม่เป็น ไม่มีใครสอนผมใช้ ทำเป็นแค่เปิด เล่นเกม แล้วก็พอโตหน่อยก็ หาวิธีโกงเกมออนไลน์จาก Youtube ซึ่งผมก็ไม่มีความรู้เรื่องการเขียนโปรแกรม แค่ทำตาม Youtube เฉยๆ
(ถ้าผมรู้ว่าคอมพิวเตอร์มันสามารถเขียนโปรแกรมได้ แล้วมีหนังสือสอนเขียนโปรแกรมสักเล่มโยนให้ผม ป่านนี้ผมรวยไปแล้ว 55555)
โรงเรียนประถมที่ผมเรียนก็ โรงเรียนบ้านนอกทั่วไปครับมีนักเรียน ~ 300-400 คนทั้งโรงเรียน อนุบาล ถึง ป.6
ผมเด็กทั่วไปครับ ครูสอนไร ให้ทำไรก็ทำตาม แต่ คุณครูผมเขาชอบเอาผมไปแข่งหลายๆอย่างครับ ภาษาอังกฤษ คณิตศาตร์ ซึ่งเขาให้ทำไร ผมก็ทำตาม
PART-4: ชีวิตมัธยม ที่ๆดึงศักยภาพผมออกมาได้สูงสุด
พอผมจบ ป.6 น้าสาวผมก็อยากให้ผมไปอยู่ด้วย ไปเรียนด้วยที่จังหวัดหนึ่ง ซึ่งที่นั่นเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดครับ ห่างจากบ้านผมคนละฟากของประเทศ 55555
ที่ๆนั่นเป็นโรงเรียนวิทยาศาตร์ แล้วผมก็สอบเข้าไป ได้ห้องคิงครับ
(วันที่ไปสอบผมดันซวยไม่สบาย ผมก็ทำเท่าที่ทำไหวครับ. ผมได้ที่ 15/2000+)
ผมก็ เหมือนเดิมครับ เขาให้ทำไรก็ทำตาม และ ที่นี่แหละที่ผมได้เรียนพิเศษครั้งแรกในชีวิต
ผมก็เรียนปกติครับ สอบได้คะแนนท็อปๆตลอด
วิทยาศาสตร์, คณิตศาตร์ สอบได้จนเพื่อนเรียนผมว่า เอเลี่ยน
ภาษาอังกฤษ เอ่อๆๆๆ ผมจำไม่ได้ว่าเคยสอบ ไม่รู้เรื่องเลย ภาษาอิหยัง
ผมสอบได้ท็อปๆตลอด แต่เกรดออกก็จะกลางๆครับ ~ 3.5x เพราะ งานไม่ส่ง การบ้านไม่ทำ ครูสั่งอะไร ไม่รู้เรื่อง เน้นลอกเพื่อนก่อนวันส่ง
ชีวิต ม.1 ผมก็ ตื่นมา ไปเรียน เลิกเรียน เรียนพิเศษ แค่นั้นครับ
ตอนนั้นผมยังไม่มีมอเตอร์ไซค์ ผมเลยให้อาไปรับส่งครับ ชีวิตมีแค่นั้น
กลับบ้านมาก็ไม่มีอะไรทำ เพื่อนแถวบ้านก็ไม่มี เพื่อนสนิทบ้านก็อยู่ไกล มอเตอร์ไซค์ก็ไม่มี
ผมเลยดู Youtube ครับ หาไรทำ จนกระทั่งผมไปเจอพวกสารคดีวิทยาศาสตร์ แล้ววันนึงผมดันไปดู
สารคดีระเบิดปรมณู แล้ว นึกครึ้มอยากสร้างระเบิดขึ้นมา
ตอนนั้นผมจำได้ว่า ผมอยากสร้างดินปืน ผมจำเป็นต้องมี กำมะถัน ถ่าน แล้วก็พวก ขี้ค้างคาวอะไรประมาณนั้น
แล้ว แถวโรงเรียนผมมันมีภูเขาในกลางเมือง (จังหวัดแห่งหนึ่ง ติดทะเล) ที่ตรงข้างล่างมันมีถ้ำที่มีค้างคาวอยู่แล้ว ผมเลยไปคุยกับเพื่อนสนิท ที่มันเป็นเด็กในเมือง มีรถเครื่อง ว่า
"เพื่อน ทำระเบิดกันป่าว?" แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าทำครับ กลัวเข้าถ้ำแล้วโดนงูกัด มันน่ากลัวมากๆๆๆๆ
ผมเลยไปหาอย่างอื่นทำแทน
ตอน ม.1 ที่เรียนพิเศษผม ฝั่งตรงข้ามมันเป็นร้านขายของชำ แล้วมันมีไม้ขีดขาย แบบ กล่องใหญ่ๆ ขางเป็นแพค แพคละ 20บาท
ผมที่ได้เงินไปวันละ 100 แล้วเหลือเงินฉ่ำๆก็จัดมาครับ วันละสองกล่อง
ผมเอาครีมหนีบตรงหัวไม้ขีดแดงๆ แล้วสะสมจนมันเยอะมากๆครับ (ผมใส่ในลูกกลมๆที่มันเป็นไข่ หยอดเหรียญ 10บาท กดในห้างอะครับ)
ผมเอาเทบแปะที่ก้น แล้วใส่ดินปืนผมจนมันเต็มประมาณ 1/4
ผมทำจนวันนึงครูสอนพิเศษผมจับได้ เพราะ ป้าร้านฝั่งตรงข้ามเขามาบ่นให้ครูฟังว่า
"เนี่ย นักเรียนของอาจารณ์ ไอหนูคนนั้นมันซื้อไม้ขีดร้านป้าทุกวันเลย เขาซื้อไปทำอะไรคะอาจารณ์?"
เท่านั้นแหละครับ ครูผมก็มาถามผมและผองเพื่อนที่สุ้มทำระเบิดกัน สุดท้ายผมยอมรับ พร้อมของกลางในกระเป๋านักเรียน
ครูผมก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ เขาแค่บอกว่าอย่าทำอีก แล้วเขาก็บอกว่า
"พวกเอ็งมันเก่งนะ น่าจะเอาความสามารถไปทำอะไรที่มีประโยชน์มากกว่านี้ ไม่ใช่มาทำระเบิดในบ้านครู"
สุดท้ายครูที่สอนพิเศษผมก็เอาผมและเพื่อนที่ทำระเบิด ไปฝากไว้กับชมรมหุ่นยนต์ แล้วก็ได้แข่งหุ่นยนต์แทน
PART-5: จุดสูงสุด และ ต่ำสุด
ช่วง ม.2 ผมก็แข่งหุ่นยนต์ไปครับ บวกกับ ช่วงนั้นติดสาว อยากเท่ อยากรวย อยากมีบิ้กไบค์ไปอวดสาว
(ตามประสาเด็กโง่ครับขออภัย และ อย่าหาทำตามขอร้อง)
แต่ได้เงินวันละร้อย เอาไรไปซื้อบิ้กไบค์ ผมเลยคุยกับเพื่อนสนิทผม ที่ทำระเบิดและแข่งหุ่นยนต์ด้วยกัน 3คน ชวนกันสั่งท่อ
(ท่อเด็กแว้นที่พวกคุณด่านั่นแหละครับ) มาจากจีน Alibaba แล้วเอามาขายบ้าง
(ตอนนั้นเปิดบัญชียังไม่ได้เลย ใช้ true money wallet master card แทน) ขายของเล่น บ้าง ทำหลายอย่างครับ แต่ก็ต้องล้มโปรเจคไป เพราะ ที่บ้านจับได้ครับ แล้วเขาไม่ให้ของ เขากลัวเสียการเรียน เลยต้องกลับไปเรียน แล้วก็ แข่งหุ่นยนต์ต่อไป
ผมก็เรียนๆไป เลิกเรียนก็ ซ้อมแข่งหุ่นยนต์ จนชนะได้ที่หนึ่งของประเทศ แล้วก็ได้ไปแข่งที่จีน
ตอนนั้นผมอยากทำธุรกิจมาก แล้ว มีปัญหากับน้า เลยขอย้ายไปเรียนกับที่ชายแทน
ผมไปเรียนที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง แถวกรุงเทพตอน ม.ปลาย แต่ๆๆๆๆ โรงเรียนนี้มันเป็นโรงเรียนกีฬาจ้าๆๆ ไม่สนับสนุนความสามารถของผม บวกกับ ตอนนั้นผมมีปัญหาเรื่องเงินด้วย เครียดเรื่องเรียน ชีวิตในกรุงเทพ + พี่ชายผมก็ Toxic มากๆ จนสุขภาพจิตผมค่อยๆพังในที่สุด
ในที่สุดสุขภาพจิตผมก็ไปต่อไม่ไหว สติผมตอนนั้นคือ 50% ผมแทบจำอะไรไม่ได้เลย ผมแทบไม่ได้นอนเลยเพราะมีปัญหาด้านการนอน
อาการวิตกกังวล ของผมมันรุนแรงจนผมกลายเป็นคนบ้าไปเลย และ สุดท้ายก็ต้องลาออกตอน ม.ปลายในที่สุด
PART-6: อัจฉริยะ, พรสวรรค์, และ คำสาป
ปัจจุบันผมรักษาตัวเองจนกลับมาเป็นปกติแล้ว แต่ ....
ก่อนที่ผมจะมาถึงจุดนี้ ผมจำเป็นต้อง ทำความเข้าใจกับตัวเองว่า
"มันเกิดอะไรขึ้นกับผม?" เพราะ ถ้าผมไม่เข้าใจตัวเอง ผมไม่มีทางรักษาสภาพจิตใจผมกลับมาได้แน่นอน.
หลังจากที่รักษาอาการมา 4ปี ผมก็เริ่มมีสติกลับมา และ เริ่มตั้งคำถาม ทำความเข้าใจกับตัวเอง
ผมเขียน journal ในสมุดถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น และ ตั้งคำถามกับตัวเองว่า
"ผมมาถึงจุดนี้ได้ยังไง?"
ผมเขียนเยอะขนาดที่ว่า เอาสมุดมาซ้อนสูงประมาณ 1เมตร
ผมเลยเข้าใจว่า ...
ผมเกิดมาพร้อมกับอาการวิตกกังวล มาตั้งแต่เกิด และ การถูกเลี้ยงดูมาโดยครอบครัวที่ก็มีอาการวิตกกังวลด้วย
มันทำให้ สมองผมมีการหลั่งสารเคมี โดปามีนในสมองสูงมาก ตามธรรมชาติ (สารโดปามีนมันทำให้เรากระตือรือร้น หัวแล่นตลอดเวลา)
ผมเลยจะสามารถจดจำ เรียนรู้ สิ่งต่างๆได้ไวมากๆ บวกกับ สมองที่วิตกกังวลของผม มันชอบจินตนาการถึงเหตุการณ์ต่างๆ มันชอบจินตนาการสิ่งต่างๆในหัว เช่น
1. สถานการณ์ต่างๆ การเคลื่อนไหว physics ผมสามารถจำลองฟิสิกส์ในหัวได้ แบบ ผมหลับตาแล้วเหมือนอยู่ในอีกโลกนึงอะไรประมาณนั้น (มันไม่ได้เห็นภาพชัดขนาดนั้น แต่มันเหมือนจริง ประมาณ 60% แต่พวกการสัมผัสพวก แรง ฟิสิกส์ มวล ของไหล อะไรแบบนั้นได้ผมทำได้ดีอยู่) ผมเลยใช้มันในการฝึกซ้อมสิ่งต่างๆในหัวได้ ผมเลยทำอะไรได้เก่งกว่าเพื่อนๆ เพราะผมลองผิดลองถูกในสมองตัวเองได้
2. แบบจำลองสามมิติ: สมองผมมันวิตกกังวลตั้งแต่ผมจำความได้ ยาวนานมาจนถึงผมโต 20+ จนถึงขั้นที่ผมสามารถจำลอง CAD ในสมองผมได้ ออกแบบ mechanic หุ่นยนต์ได้ จำลองเครื่องยนต์ อะไรก็ได้ที่มันเป็น mechanic, physics.
3. graph, node, relation, quantitative unit: เวลาผมเรียนคณิตศาสตร์ เขียนโปแกรม algorithm ผมก็จะทำแบบเดิมครับ จำลองในหัวเป็นโมเดลต่างๆ
ผมไม่รู้ว่าผมเป็นอัจฉริยะมั้ย แต่ถ้าใช่ ผมแค่อยากจะบอกกับหลายๆคนว่า
"ทุกๆพรสวรรค์ มันมาพร้อมกับคำสาปเสมอ"
รอแปปครับ กำลังพิมพ์ ...
สมองผมมันเหมือนรถ Formula-1 มันคิดไว แล่นเร็วมากๆ แต่.... ถ้าผมไม่สามารถหยุดมันได้ มันจะกลายไปเป็นความวิตกกังวล และ ความวิกลจริตในที่สุด
ไอแซค นิวตัน ก็เป็นแบบเดียวกันครับ คล้ายๆผมเลย ช่วงท้ายๆของชีวิตที่เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ในที่สุดเขาก็กลายเป็นคนวิกลจริต และ สูญเสียความอัจฉริยะไปในที่สุด
PART-สุดท้าย: ชีวิต, การเดินทาง, การปล่อยวาง และ อยู่กับปัจจุบัน
รอแปป ...
คนที่เป็นอัจฉริยะ คืออะไร?
ผมมีโอกาสได้ไปเห็นกระทู้นึงเกี่ยวกับ "จะแข่งกับพวกอัจฉริยะยังไง...?" อารมณ์ประมาณอยากเอาชนะ อะไรแบบนั้น
ผมเลยอยากลองแชร์ประสบการณ์ส่วนตัว ว่าทำไม เพื่อนผมหลายคนถึงเรียกผมว่าอัจริยะ และ ทำไมบางคน ถึงเกลียดผม (อาจจะยาวนิดนึงนะครับ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านเรื่องราวนี้มากๆครับ)
เริ่มเลยครับ ...
PART-1 : Background
คือ ครอบครัวผมเป็นครอบครัวที่ ผ่านเหตุการณ์โหดร้ายมากๆมา (สงครามกลางเมือง: Khmer Rouge Civil War) ตั้งแต่เขาเด็กมากๆ ~ 10 ขวบ ทั้งพ่อ และ แม่เลย. ตอนนั้นพ่อผมประมาณ 12 ส่วนแม่ผม 10 ขวบ. ครอบครัวฝั่งแม่เป็นคนจีนครับ อาม่าเป็นคนฮ่องกง อากงเป็นคนไหหลำ, ส่วนฝั่งพ่อ ปู่เป็นชาวมาเล ยายเป็นคนไทยเกาะกงครับ. (ปล. คนรุ่นพ่อผม เขาย้ายกันอยู่แบบง่ายมาก ครอบครัวพ่อผมอาศัยอยู่ในส่วนของกัมพูชาในตอนนั้น)
อากงเขาเคยไปเรียนที่ฝรั่งเศษ เขาเลยย้ายมาทำงานเป็นพ่อครัวกับลูกเรือฝรั่งเศษที่ เวียดนาม ครับ อาม่า กับ แม่ผม ก็เลยได้ไปอยู่แถวนั้นครับ. เขาก็ใช้ชีวิตกันไป ก็ชนชั้นกลางล่างครับ (ครอบครัวฝั่งกงเขามีเงินนะครับ แต่กงแกไม่เอาไหนครับ ลูกๆครอบครัวเลยลำบาก).
แล้วมันมีช่วงสงคราม อันนี้ผมไม่รู้ประวัติศาสตร์มากครับผม แต่สุดท้าย แม่ผม น้าสาว อาม่า หนีมาด้วยกันครับ (ส่วนพี่น้องของแม่ผมที่โตๆกับแล้วเขาเอาตัวรอดหนีไปก่อน ทีหลังค่อยมารวมตัวกัน ส่วนกงตุยไปแล้วครับ กินเหล้าเยอะเกิน). แล้วก็สุดท้ายไปติดเขมรแดง ตอนที่แม่ผม 10ขวบ ส่วนน้าสาว 7ขวบ
พ่อผม ผมไม่มีข้อมูลอะไรมากครับ แต่พ่อผมรอดมาคนเดียว พี่น้อง ย่า ปู่ อันนี้ผมไม่เคยถาม แต่น่าจะไม่รอด (ครอบครัวฝั่งพ่อผมรวยมากครับ ปู่เป็นพ่อค้า น่าจะโดนทหาร ... ทั้งครอบครัว)
สุดท้าย พ่อกับแม่ก็มาเจอกันที่ไทย แล้วก็แต่งงานกัน
ตอนผมเกิดมา ผมเป็นลูกหลงครับ ครอบครัวผมก็ผ่านช่วงยากลำบากมาแล้ว ไม่รวย แต่ไม่อดอยาก
ซึ่ง เรื่องที่ผมเล่ามา มันจะไปมีผลกระทบต่อผมในอนาคต แล้วก็เหตุผลว่าทำไม สมองผมถึงทำงานแบบนี้
PART-2 : ผมโตมายังไง
ที่เล่ามาทั้งหมดก่อนหน้านี้ มันมีผลทำให้ คนทั้งครอบครัวผม มีปัญหาสุขภาพจิตหมดเลย (ซึ่งถ้าจะให้ผมในตอนนี้เรียก มันก็คือ PTSD ครับ)
ผมมีพี่สาว หนึ่งคน (ห่างกัน 19ปี) พี่ชายหนึ่งคน(ห่างกัน 12ปี) มีปัญหาสุขภาพจิตทั้งหมด (C-PTSD, Generational Traumas).
แม่ผมหลังจากที่อพยพมาที่ไทย เขาก็ต้องรับจ้างทำงานเลี้ยงม่า น้อง แกะกุ้ง ทำสารพัดครับ แม่ผมก็จะมี trauma, อาการวิตกกังวล, หวาดระแวง - "ขั้นรุนแรงมากๆ" (ปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่ 60+ แล้ว)
พี่น้องผม รวมถึงผมด้วย ก็จะถูกเลี้ยงดูมาด้วยแม่ที่มีอาการวิตกกังวล ซึ่งมันมีผลกระทบมากๆ เพราะ อาการวิตกกังวล มันสามารถส่งต่อผ่าน DNA ได้ + การถูกเลี้ยงดูมาด้วยแม่ที่มีสภาวะวิตกกังวล พี่น้อง และ ผมเอง ก็มีอาการหวาดระแวง และ วิตกกังวลกันทั้งครอบครัว ถึงแม้อายุจะห่างกันมากๆก็ตาม
PART-3: ชีวิตวัยเด็ก
ผมเติบโตมาในต่างจังหวัดครับ ที่ๆผมเติบโตมา มันไม่มีอะไรเลยครับ มันไม่เหมือนในกรุงเทพที่มีที่เรียนพิเศษ ที่พ่อแม่หลายๆคนสามารถพัฒนาส่งเสริมเด็กได้
ของเล่นผมก็ไม่ค่อยมีครับ ผมต้องไปแงะพวก มอเตอร์ของเล่นพังๆมาทำเรือ หุ่นยนต์ เอง ทำปืนหน้าไม้ เอง
คอมพิวเตอร์บ้านผมมีครับ Pentium ของพี่ชาย แต่ผมใช้ไม่เป็น ไม่มีใครสอนผมใช้ ทำเป็นแค่เปิด เล่นเกม แล้วก็พอโตหน่อยก็ หาวิธีโกงเกมออนไลน์จาก Youtube ซึ่งผมก็ไม่มีความรู้เรื่องการเขียนโปรแกรม แค่ทำตาม Youtube เฉยๆ
(ถ้าผมรู้ว่าคอมพิวเตอร์มันสามารถเขียนโปรแกรมได้ แล้วมีหนังสือสอนเขียนโปรแกรมสักเล่มโยนให้ผม ป่านนี้ผมรวยไปแล้ว 55555)
โรงเรียนประถมที่ผมเรียนก็ โรงเรียนบ้านนอกทั่วไปครับมีนักเรียน ~ 300-400 คนทั้งโรงเรียน อนุบาล ถึง ป.6
ผมเด็กทั่วไปครับ ครูสอนไร ให้ทำไรก็ทำตาม แต่ คุณครูผมเขาชอบเอาผมไปแข่งหลายๆอย่างครับ ภาษาอังกฤษ คณิตศาตร์ ซึ่งเขาให้ทำไร ผมก็ทำตาม
PART-4: ชีวิตมัธยม ที่ๆดึงศักยภาพผมออกมาได้สูงสุด
พอผมจบ ป.6 น้าสาวผมก็อยากให้ผมไปอยู่ด้วย ไปเรียนด้วยที่จังหวัดหนึ่ง ซึ่งที่นั่นเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดครับ ห่างจากบ้านผมคนละฟากของประเทศ 55555
ที่ๆนั่นเป็นโรงเรียนวิทยาศาตร์ แล้วผมก็สอบเข้าไป ได้ห้องคิงครับ
(วันที่ไปสอบผมดันซวยไม่สบาย ผมก็ทำเท่าที่ทำไหวครับ. ผมได้ที่ 15/2000+)
ผมก็ เหมือนเดิมครับ เขาให้ทำไรก็ทำตาม และ ที่นี่แหละที่ผมได้เรียนพิเศษครั้งแรกในชีวิต
ผมก็เรียนปกติครับ สอบได้คะแนนท็อปๆตลอด
วิทยาศาสตร์, คณิตศาตร์ สอบได้จนเพื่อนเรียนผมว่า เอเลี่ยน
ภาษาอังกฤษ เอ่อๆๆๆ ผมจำไม่ได้ว่าเคยสอบ ไม่รู้เรื่องเลย ภาษาอิหยัง
ผมสอบได้ท็อปๆตลอด แต่เกรดออกก็จะกลางๆครับ ~ 3.5x เพราะ งานไม่ส่ง การบ้านไม่ทำ ครูสั่งอะไร ไม่รู้เรื่อง เน้นลอกเพื่อนก่อนวันส่ง
ชีวิต ม.1 ผมก็ ตื่นมา ไปเรียน เลิกเรียน เรียนพิเศษ แค่นั้นครับ
ตอนนั้นผมยังไม่มีมอเตอร์ไซค์ ผมเลยให้อาไปรับส่งครับ ชีวิตมีแค่นั้น
กลับบ้านมาก็ไม่มีอะไรทำ เพื่อนแถวบ้านก็ไม่มี เพื่อนสนิทบ้านก็อยู่ไกล มอเตอร์ไซค์ก็ไม่มี
ผมเลยดู Youtube ครับ หาไรทำ จนกระทั่งผมไปเจอพวกสารคดีวิทยาศาสตร์ แล้ววันนึงผมดันไปดู สารคดีระเบิดปรมณู แล้ว นึกครึ้มอยากสร้างระเบิดขึ้นมา
ตอนนั้นผมจำได้ว่า ผมอยากสร้างดินปืน ผมจำเป็นต้องมี กำมะถัน ถ่าน แล้วก็พวก ขี้ค้างคาวอะไรประมาณนั้น
แล้ว แถวโรงเรียนผมมันมีภูเขาในกลางเมือง (จังหวัดแห่งหนึ่ง ติดทะเล) ที่ตรงข้างล่างมันมีถ้ำที่มีค้างคาวอยู่แล้ว ผมเลยไปคุยกับเพื่อนสนิท ที่มันเป็นเด็กในเมือง มีรถเครื่อง ว่า "เพื่อน ทำระเบิดกันป่าว?" แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าทำครับ กลัวเข้าถ้ำแล้วโดนงูกัด มันน่ากลัวมากๆๆๆๆ
ผมเลยไปหาอย่างอื่นทำแทน
ตอน ม.1 ที่เรียนพิเศษผม ฝั่งตรงข้ามมันเป็นร้านขายของชำ แล้วมันมีไม้ขีดขาย แบบ กล่องใหญ่ๆ ขางเป็นแพค แพคละ 20บาท
ผมที่ได้เงินไปวันละ 100 แล้วเหลือเงินฉ่ำๆก็จัดมาครับ วันละสองกล่อง
ผมเอาครีมหนีบตรงหัวไม้ขีดแดงๆ แล้วสะสมจนมันเยอะมากๆครับ (ผมใส่ในลูกกลมๆที่มันเป็นไข่ หยอดเหรียญ 10บาท กดในห้างอะครับ)
ผมเอาเทบแปะที่ก้น แล้วใส่ดินปืนผมจนมันเต็มประมาณ 1/4
ผมทำจนวันนึงครูสอนพิเศษผมจับได้ เพราะ ป้าร้านฝั่งตรงข้ามเขามาบ่นให้ครูฟังว่า "เนี่ย นักเรียนของอาจารณ์ ไอหนูคนนั้นมันซื้อไม้ขีดร้านป้าทุกวันเลย เขาซื้อไปทำอะไรคะอาจารณ์?"
เท่านั้นแหละครับ ครูผมก็มาถามผมและผองเพื่อนที่สุ้มทำระเบิดกัน สุดท้ายผมยอมรับ พร้อมของกลางในกระเป๋านักเรียน
ครูผมก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ เขาแค่บอกว่าอย่าทำอีก แล้วเขาก็บอกว่า "พวกเอ็งมันเก่งนะ น่าจะเอาความสามารถไปทำอะไรที่มีประโยชน์มากกว่านี้ ไม่ใช่มาทำระเบิดในบ้านครู"
สุดท้ายครูที่สอนพิเศษผมก็เอาผมและเพื่อนที่ทำระเบิด ไปฝากไว้กับชมรมหุ่นยนต์ แล้วก็ได้แข่งหุ่นยนต์แทน
PART-5: จุดสูงสุด และ ต่ำสุด
ช่วง ม.2 ผมก็แข่งหุ่นยนต์ไปครับ บวกกับ ช่วงนั้นติดสาว อยากเท่ อยากรวย อยากมีบิ้กไบค์ไปอวดสาว (ตามประสาเด็กโง่ครับขออภัย และ อย่าหาทำตามขอร้อง)
แต่ได้เงินวันละร้อย เอาไรไปซื้อบิ้กไบค์ ผมเลยคุยกับเพื่อนสนิทผม ที่ทำระเบิดและแข่งหุ่นยนต์ด้วยกัน 3คน ชวนกันสั่งท่อ (ท่อเด็กแว้นที่พวกคุณด่านั่นแหละครับ) มาจากจีน Alibaba แล้วเอามาขายบ้าง (ตอนนั้นเปิดบัญชียังไม่ได้เลย ใช้ true money wallet master card แทน) ขายของเล่น บ้าง ทำหลายอย่างครับ แต่ก็ต้องล้มโปรเจคไป เพราะ ที่บ้านจับได้ครับ แล้วเขาไม่ให้ของ เขากลัวเสียการเรียน เลยต้องกลับไปเรียน แล้วก็ แข่งหุ่นยนต์ต่อไป
ผมก็เรียนๆไป เลิกเรียนก็ ซ้อมแข่งหุ่นยนต์ จนชนะได้ที่หนึ่งของประเทศ แล้วก็ได้ไปแข่งที่จีน
ตอนนั้นผมอยากทำธุรกิจมาก แล้ว มีปัญหากับน้า เลยขอย้ายไปเรียนกับที่ชายแทน
ผมไปเรียนที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง แถวกรุงเทพตอน ม.ปลาย แต่ๆๆๆๆ โรงเรียนนี้มันเป็นโรงเรียนกีฬาจ้าๆๆ ไม่สนับสนุนความสามารถของผม บวกกับ ตอนนั้นผมมีปัญหาเรื่องเงินด้วย เครียดเรื่องเรียน ชีวิตในกรุงเทพ + พี่ชายผมก็ Toxic มากๆ จนสุขภาพจิตผมค่อยๆพังในที่สุด
ในที่สุดสุขภาพจิตผมก็ไปต่อไม่ไหว สติผมตอนนั้นคือ 50% ผมแทบจำอะไรไม่ได้เลย ผมแทบไม่ได้นอนเลยเพราะมีปัญหาด้านการนอน
อาการวิตกกังวล ของผมมันรุนแรงจนผมกลายเป็นคนบ้าไปเลย และ สุดท้ายก็ต้องลาออกตอน ม.ปลายในที่สุด
PART-6: อัจฉริยะ, พรสวรรค์, และ คำสาป
ปัจจุบันผมรักษาตัวเองจนกลับมาเป็นปกติแล้ว แต่ ....
ก่อนที่ผมจะมาถึงจุดนี้ ผมจำเป็นต้อง ทำความเข้าใจกับตัวเองว่า "มันเกิดอะไรขึ้นกับผม?" เพราะ ถ้าผมไม่เข้าใจตัวเอง ผมไม่มีทางรักษาสภาพจิตใจผมกลับมาได้แน่นอน.
หลังจากที่รักษาอาการมา 4ปี ผมก็เริ่มมีสติกลับมา และ เริ่มตั้งคำถาม ทำความเข้าใจกับตัวเอง
ผมเขียน journal ในสมุดถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น และ ตั้งคำถามกับตัวเองว่า "ผมมาถึงจุดนี้ได้ยังไง?"
ผมเขียนเยอะขนาดที่ว่า เอาสมุดมาซ้อนสูงประมาณ 1เมตร
ผมเลยเข้าใจว่า ...
ผมเกิดมาพร้อมกับอาการวิตกกังวล มาตั้งแต่เกิด และ การถูกเลี้ยงดูมาโดยครอบครัวที่ก็มีอาการวิตกกังวลด้วย
มันทำให้ สมองผมมีการหลั่งสารเคมี โดปามีนในสมองสูงมาก ตามธรรมชาติ (สารโดปามีนมันทำให้เรากระตือรือร้น หัวแล่นตลอดเวลา)
ผมเลยจะสามารถจดจำ เรียนรู้ สิ่งต่างๆได้ไวมากๆ บวกกับ สมองที่วิตกกังวลของผม มันชอบจินตนาการถึงเหตุการณ์ต่างๆ มันชอบจินตนาการสิ่งต่างๆในหัว เช่น
1. สถานการณ์ต่างๆ การเคลื่อนไหว physics ผมสามารถจำลองฟิสิกส์ในหัวได้ แบบ ผมหลับตาแล้วเหมือนอยู่ในอีกโลกนึงอะไรประมาณนั้น (มันไม่ได้เห็นภาพชัดขนาดนั้น แต่มันเหมือนจริง ประมาณ 60% แต่พวกการสัมผัสพวก แรง ฟิสิกส์ มวล ของไหล อะไรแบบนั้นได้ผมทำได้ดีอยู่) ผมเลยใช้มันในการฝึกซ้อมสิ่งต่างๆในหัวได้ ผมเลยทำอะไรได้เก่งกว่าเพื่อนๆ เพราะผมลองผิดลองถูกในสมองตัวเองได้
2. แบบจำลองสามมิติ: สมองผมมันวิตกกังวลตั้งแต่ผมจำความได้ ยาวนานมาจนถึงผมโต 20+ จนถึงขั้นที่ผมสามารถจำลอง CAD ในสมองผมได้ ออกแบบ mechanic หุ่นยนต์ได้ จำลองเครื่องยนต์ อะไรก็ได้ที่มันเป็น mechanic, physics.
3. graph, node, relation, quantitative unit: เวลาผมเรียนคณิตศาสตร์ เขียนโปแกรม algorithm ผมก็จะทำแบบเดิมครับ จำลองในหัวเป็นโมเดลต่างๆ
ผมไม่รู้ว่าผมเป็นอัจฉริยะมั้ย แต่ถ้าใช่ ผมแค่อยากจะบอกกับหลายๆคนว่า
"ทุกๆพรสวรรค์ มันมาพร้อมกับคำสาปเสมอ"
รอแปปครับ กำลังพิมพ์ ...
สมองผมมันเหมือนรถ Formula-1 มันคิดไว แล่นเร็วมากๆ แต่.... ถ้าผมไม่สามารถหยุดมันได้ มันจะกลายไปเป็นความวิตกกังวล และ ความวิกลจริตในที่สุด
ไอแซค นิวตัน ก็เป็นแบบเดียวกันครับ คล้ายๆผมเลย ช่วงท้ายๆของชีวิตที่เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ในที่สุดเขาก็กลายเป็นคนวิกลจริต และ สูญเสียความอัจฉริยะไปในที่สุด
PART-สุดท้าย: ชีวิต, การเดินทาง, การปล่อยวาง และ อยู่กับปัจจุบัน
รอแปป ...