สกรีน DTG คือ ในโลกของ
การสกรีนเสื้อ บนผ้าและเสื้อผ้า เทคโนโลยีได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ทำให้วิธีการพิมพ์ลวดลายบนเสื้อผ้ามีหลากหลายรูปแบบมากขึ้น หนึ่งในเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันคือ
การสกรีน DTG หรือ
Direct to Garment ซึ่งเป็นการปฏิวัติวงการสกรีนเสื้อผ้าด้วยคุณภาพงานพิมพ์ที่สูงและความสามารถในการพิมพ์ลวดลายที่มีความซับซ้อนได้อย่างง่ายดาย บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับเทคโนโลยีการ
สกรีน DTG อย่างละเอียด ตั้งแต่หลักการทำงาน ข้อดีข้อเสีย วิธีการคำนวณ
ราคาสกรีน DTG ไปจนถึงการเปรียบเทียบกับเทคนิคการสกรีนแบบอื่นๆ เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจเลือกวิธีการสกรีนที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณได้
สกรีน DTG คืออะไร ? เทคโนโลยีที่ปฏิวัติวงการสกรีนเสื้อ
DTG ย่อมาจาก
Direct to Garment หรือในภาษาไทยอาจเรียกว่า
"การสกรีนโดยตรงลงบนเสื้อผ้า" เป็นเทคโนโลยีการพิมพ์ดิจิทัลที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการในการพิมพ์ลวดลายที่มีความซับซ้อนและหลากสีสันลงบนเสื้อผ้าโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการที่ยุ่งยากเหมือนการสกรีนแบบดั้งเดิม
เทคโนโลยี DTG เริ่มเป็นที่รู้จักในช่วงต้นปี 2000 และได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ทำให้คุณภาพของงานพิมพ์ดีขึ้นและราคาเครื่องพิมพ์ DTG ถูกลง ทำให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยและธุรกิจขนาดกลาง
หลักการทำงานของการ
สกรีน DTG คล้ายกับเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทที่ใช้ในบ้านหรือสำนักงานทั่วไป แต่แทนที่จะพิมพ์ลงบนกระดาษ
เครื่องพิมพ์ DTG จะพิมพ์ลงบนเสื้อผ้าโดยตรง โดยใช้หมึกพิเศษที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับสิ่งทอ (textile ink) ซึ่งสามารถยึดติดกับเส้นใยผ้าได้ดีและทนต่อการซักล้าง
กระบวนการพิมพ์ DTG เริ่มต้นจากการออกแบบภาพกราฟิกด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ จากนั้นส่งไฟล์ดิจิทัลไปยังเครื่องพิมพ์ DTG เครื่องจะฉีดหมึกลงบนผ้าโดยตรงตามแบบที่ออกแบบไว้ หลังจากพิมพ์เสร็จแล้ว จำเป็นต้องนำเสื้อผ้าไปอบความร้อนเพื่อให้หมึกยึดติดกับเส้นใยผ้าอย่างถาวร ซึ่งทำให้ลวดลายทนต่อการซักล้างและการสวมใส่ในชีวิตประจำวัน
ความสามารถพิเศษของ
เทคโนโลยี DTG คือ การพิมพ์ภาพที่มีรายละเอียดสูง สีสันสดใส และการไล่โทนสีที่นุ่มนวล ซึ่งเป็นข้อจำกัดของการสกรีนแบบดั้งเดิม นอกจากนี้การ
สกรีนเสื้อ DTG ยังสามารถทำงานได้ตั้งแต่ 1 ชิ้นขึ้นไป ไม่จำเป็นต้องสั่งผลิตจำนวนมากเหมือนการสกรีนแบบอื่นๆ ทำให้เหมาะกับการผลิตเสื้อผ้าในจำนวนน้อย หรือแม้แต่การสั่งผลิตแบบชิ้นเดียว (Print on Demand)
กระบวนการทำงานของการพิมพ์แบบ DTG อย่างละเอียด
กระบวนการทำงานของ
การสกรีนแบบ DTG มีขั้นตอนที่ซับซ้อนและต้องการความพิถีพิถันในทุกขั้นตอนเพื่อให้ได้งานที่มีคุณภาพสูง เริ่มตั้งแต่การเตรียมไฟล์งานไปจนถึงการอบความร้อนเพื่อให้หมึกยึดติดกับผ้าอย่างถาวร โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. การเตรียมไฟล์และการออกแบบ
ขั้นตอนแรกของการพิมพ์แบบ DTG คือการเตรียมไฟล์ดิจิทัลสำหรับการพิมพ์ โดยปกติแล้วไฟล์ที่เหมาะสมสำหรับการพิมพ์ DTG ควรมีคุณสมบัติดังนี้ ความละเอียดของภาพควรอยู่ที่ 300 DPI (Dots Per Inch) ขึ้นไป เพื่อให้ได้ภาพที่คมชัดบนผ้า ไฟล์ควรอยู่ในรูปแบบ PNG หรือ JPEG สำหรับภาพถ่ายและภาพที่มีการไล่โทนสี หรืออาจใช้ไฟล์ Vector ในรูปแบบ AI หรือ EPS สำหรับงานที่เป็นตัวอักษรหรือโลโก้ สีที่ใช้ควรอยู่ในระบบ RGB เนื่องจาก
เครื่องพิมพ์ DTG ส่วนใหญ่ทำงานในระบบสีนี้ ควรออกแบบโดยคำนึงถึงชนิดของผ้าที่จะพิมพ์ เช่น สีพื้นหลังของภาพควรสอดคล้องกับสีพื้นของเสื้อ นอกจากนี้ การออกแบบสำหรับการพิมพ์ DTG ยังมีข้อควรระวังเฉพาะ เช่น การเว้นพื้นที่ขอบเพื่อป้องกันการพิมพ์เลยขอบ หรือการหลีกเลี่ยงการใช้สีที่มีความแตกต่างกันมากเกินไปในพื้นที่เล็กๆ เพื่อป้องกันการเยิ้มของหมึก
2. การเตรียมผ้าและการ Pre-treatment
หลังจากเตรียมไฟล์แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเตรียมผ้าที่จะพิมพ์ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญมากในการพิมพ์แบบ DTG โดยเฉพาะเมื่อต้องการพิมพ์บนผ้าสีเข้มหรือผ้าที่มีส่วนผสมของเส้นใยสังเคราะห์ สำหรับการพิมพ์บนผ้าสีเข้ม จำเป็นต้องผ่านกระบวนการ Pre-treatment หรือการเคลือบน้ำยาเตรียมผิวผ้าก่อน โดยน้ำยา Pre-treatment จะช่วยให้หมึกขาวและหมึกสีอื่นๆ ยึดติดกับผ้าได้ดีขึ้น และช่วยป้องกันไม่ให้หมึกซึมลงในเนื้อผ้ามากเกินไป ทำให้สีสันของงานพิมพ์สดใสและคมชัด
การเคลือบน้ำยา Pre-treatment สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การฉีดด้วยเครื่อง Pre-treatment แบบอัตโนมัติ หรือการฉีดด้วยมือโดยใช้ขวดสเปรย์ หลังจากฉีดน้ำยาแล้ว จะต้องนำผ้าไปอบให้แห้งด้วยเครื่องอบความร้อนก่อนที่จะนำไปพิมพ์
สำหรับผ้าสีอ่อน เช่น ผ้าสีขาวหรือสีพาสเทล อาจไม่จำเป็นต้องทำการ Pre-treatment เนื่องจากไม่ต้องใช้หมึกขาวเป็นฐาน แต่บางครั้งการเคลือบน้ำยา Pre-treatment ก็ช่วยให้สีสันของงานพิมพ์สดใสขึ้นและช่วยให้หมึกยึดติดกับผ้าได้ดีขึ้นนอกจากนี้ การเตรียมผ้ายังรวมถึงการทำความสะอาดผ้าให้ปราศจากฝุ่น เศษผ้า หรือสิ่งสกปรกอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อคุณภาพของงานพิมพ์ และการรีดผ้าให้เรียบก่อนพิมพ์เพื่อให้พื้นผิวสำหรับการพิมพ์เรียบสม่ำเสมอ
3. กระบวนการพิมพ์และการอบความร้อน
หลังจากเตรียมไฟล์และผ้าเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการพิมพ์ลวดลายลงบนผ้า โดยในการพิมพ์แบบ
DTG จะใช้เครื่องพิมพ์เฉพาะที่ออกแบบมาสำหรับการพิมพ์บนสิ่งทอโดยเฉพาะ สำหรับการพิมพ์บนผ้าสีเข้ม กระบวนการพิมพ์จะเริ่มจากการพิมพ์ชั้นหมึกขาว (White Ink) เป็นฐานก่อน เพื่อให้สีอื่นๆ ที่พิมพ์ทับลงไปมีความสดใส ไม่ถูกกลืนไปกับสีพื้นของผ้า หลังจากพิมพ์ชั้นหมึกขาวแล้ว เครื่องจะพิมพ์ชั้นสี CMYK (Cyan, Magenta, Yellow, Black) ทับลงไปตามแบบที่ออกแบบไว้ สำหรับการพิมพ์บนผ้าสีอ่อน เครื่องจะพิมพ์เฉพาะชั้นสี CMYK โดยไม่ต้องพิมพ์ชั้นหมึกขาวเป็นฐาน ทำให้กระบวนการพิมพ์รวดเร็วและประหยัดหมึกมากกว่า หลังจากพิมพ์เสร็จแล้ว จำเป็นต้องนำเสื้อผ้าไปผ่านกระบวนการอบความร้อน (Heat Curing) เพื่อให้หมึกยึดติดกับเส้นใยผ้าอย่างถาวร โดยทั่วไปแล้วจะใช้เครื่องอบความร้อนแบบสายพานหรือเครื่องอัดความร้อน (Heat Press) ที่อุณหภูมิประมาณ 330-350 องศาฟาเรนไฮต์ (165-180 องศาเซลเซียส) เป็นเวลาประมาณ 90-180 วินาที ขึ้นอยู่กับชนิดของหมึกและผ้าที่ใช้ การอบความร้อนเป็นขั้นตอนสำคัญมากใน
การสกรีนแบบ DTG เพราะหากอบไม่สมบูรณ์ หมึกอาจไม่ยึดติดกับผ้าอย่างถาวร ทำให้สีซีดจางหรือหลุดลอกได้เมื่อซักล้าง ในทางกลับกัน หากใช้ความร้อนสูงเกินไปหรือนานเกินไป อาจทำให้ผ้าเสียหายหรือสีของงานพิมพ์เพี้ยนได้
ข้อดีและข้อจำกัดของการสกรีนแบบ DTG
การพิมพ์แบบ DTG มีทั้งข้อดีและข้อจำกัดที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจเลือกใช้เทคนิคนี้ในการผลิตเสื้อผ้า เพื่อให้เข้าใจอย่างชัดเจน เราจะวิเคราะห์ข้อดีและข้อจำกัดของเทคโนโลยีนี้อย่างละเอียด
1 ข้อดีของการ
สกรีนแบบ DTG ความยืดหยุ่นในการผลิตจำนวนน้อย , คุณภาพงานพิมพ์ที่สูง , ความรวดเร็วในการผลิต , ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม , ความนุ่มของงานพิมพ์ , ความหลากหลายของสี , ความสม่ำเสมอของคุณภาพ
2. ข้อจำกัดของการสกรีนแบบ DTG ต้นทุนต่อชิ้นสูงสำหรับการผลิตจำนวนมาก , ข้อจำกัดด้านชนิดของผ้า , การบำรุงรักษาเครื่องพิมพ์ที่ยุ่งยาก , ความทนทานน้อยกว่าการสกรีนแบบดั้งเดิม , ต้นทุนเครื่องพิมพ์สูง , ความเร็วในการผลิตช้ากว่าการสกรีนแบบดั้งเดิม
เทคนิคสกรีน DTG เหมาะกับใคร
- ผู้เริ่มต้นทำแบรนด์เสื้อเอง (เช่น POD ธุรกิจเล็ก ๆ)
- ร้านรับพิมพ์ลายเสื้อ 1 ตัวก็รับทำ
- นักออกแบบที่มีลายหลากสี ไม่อยากทำบล็อกหลายชั้น
🔶 ปรึกษางานสกรีนเสื้อกับมืออาชืพ 🔶
🔥ร้านสกรีนเสื้อ HOSHI KAIZEN🔥
🟩 เว็บไซต์
https://ho-shi.com/t-shirt-printing/
🟩 แฟนเพจ
https://www.facebook.com/HOSHIKAIZEN
🟩 ไลน์ : @HO-SHI
สกรีน DTG คืออะไร ? ทำไมเป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมสูงมากในยุคนี้ !
สกรีน DTG คืออะไร ? เทคโนโลยีที่ปฏิวัติวงการสกรีนเสื้อ
DTG ย่อมาจาก Direct to Garment หรือในภาษาไทยอาจเรียกว่า "การสกรีนโดยตรงลงบนเสื้อผ้า" เป็นเทคโนโลยีการพิมพ์ดิจิทัลที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการในการพิมพ์ลวดลายที่มีความซับซ้อนและหลากสีสันลงบนเสื้อผ้าโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการที่ยุ่งยากเหมือนการสกรีนแบบดั้งเดิม
เทคโนโลยี DTG เริ่มเป็นที่รู้จักในช่วงต้นปี 2000 และได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ทำให้คุณภาพของงานพิมพ์ดีขึ้นและราคาเครื่องพิมพ์ DTG ถูกลง ทำให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยและธุรกิจขนาดกลาง
หลักการทำงานของการ สกรีน DTG คล้ายกับเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทที่ใช้ในบ้านหรือสำนักงานทั่วไป แต่แทนที่จะพิมพ์ลงบนกระดาษ เครื่องพิมพ์ DTG จะพิมพ์ลงบนเสื้อผ้าโดยตรง โดยใช้หมึกพิเศษที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับสิ่งทอ (textile ink) ซึ่งสามารถยึดติดกับเส้นใยผ้าได้ดีและทนต่อการซักล้าง
กระบวนการพิมพ์ DTG เริ่มต้นจากการออกแบบภาพกราฟิกด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ จากนั้นส่งไฟล์ดิจิทัลไปยังเครื่องพิมพ์ DTG เครื่องจะฉีดหมึกลงบนผ้าโดยตรงตามแบบที่ออกแบบไว้ หลังจากพิมพ์เสร็จแล้ว จำเป็นต้องนำเสื้อผ้าไปอบความร้อนเพื่อให้หมึกยึดติดกับเส้นใยผ้าอย่างถาวร ซึ่งทำให้ลวดลายทนต่อการซักล้างและการสวมใส่ในชีวิตประจำวัน
ความสามารถพิเศษของ เทคโนโลยี DTG คือ การพิมพ์ภาพที่มีรายละเอียดสูง สีสันสดใส และการไล่โทนสีที่นุ่มนวล ซึ่งเป็นข้อจำกัดของการสกรีนแบบดั้งเดิม นอกจากนี้การ สกรีนเสื้อ DTG ยังสามารถทำงานได้ตั้งแต่ 1 ชิ้นขึ้นไป ไม่จำเป็นต้องสั่งผลิตจำนวนมากเหมือนการสกรีนแบบอื่นๆ ทำให้เหมาะกับการผลิตเสื้อผ้าในจำนวนน้อย หรือแม้แต่การสั่งผลิตแบบชิ้นเดียว (Print on Demand)
กระบวนการทำงานของการพิมพ์แบบ DTG อย่างละเอียด
กระบวนการทำงานของ การสกรีนแบบ DTG มีขั้นตอนที่ซับซ้อนและต้องการความพิถีพิถันในทุกขั้นตอนเพื่อให้ได้งานที่มีคุณภาพสูง เริ่มตั้งแต่การเตรียมไฟล์งานไปจนถึงการอบความร้อนเพื่อให้หมึกยึดติดกับผ้าอย่างถาวร โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. การเตรียมไฟล์และการออกแบบ
ขั้นตอนแรกของการพิมพ์แบบ DTG คือการเตรียมไฟล์ดิจิทัลสำหรับการพิมพ์ โดยปกติแล้วไฟล์ที่เหมาะสมสำหรับการพิมพ์ DTG ควรมีคุณสมบัติดังนี้ ความละเอียดของภาพควรอยู่ที่ 300 DPI (Dots Per Inch) ขึ้นไป เพื่อให้ได้ภาพที่คมชัดบนผ้า ไฟล์ควรอยู่ในรูปแบบ PNG หรือ JPEG สำหรับภาพถ่ายและภาพที่มีการไล่โทนสี หรืออาจใช้ไฟล์ Vector ในรูปแบบ AI หรือ EPS สำหรับงานที่เป็นตัวอักษรหรือโลโก้ สีที่ใช้ควรอยู่ในระบบ RGB เนื่องจาก เครื่องพิมพ์ DTG ส่วนใหญ่ทำงานในระบบสีนี้ ควรออกแบบโดยคำนึงถึงชนิดของผ้าที่จะพิมพ์ เช่น สีพื้นหลังของภาพควรสอดคล้องกับสีพื้นของเสื้อ นอกจากนี้ การออกแบบสำหรับการพิมพ์ DTG ยังมีข้อควรระวังเฉพาะ เช่น การเว้นพื้นที่ขอบเพื่อป้องกันการพิมพ์เลยขอบ หรือการหลีกเลี่ยงการใช้สีที่มีความแตกต่างกันมากเกินไปในพื้นที่เล็กๆ เพื่อป้องกันการเยิ้มของหมึก
2. การเตรียมผ้าและการ Pre-treatment
หลังจากเตรียมไฟล์แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเตรียมผ้าที่จะพิมพ์ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญมากในการพิมพ์แบบ DTG โดยเฉพาะเมื่อต้องการพิมพ์บนผ้าสีเข้มหรือผ้าที่มีส่วนผสมของเส้นใยสังเคราะห์ สำหรับการพิมพ์บนผ้าสีเข้ม จำเป็นต้องผ่านกระบวนการ Pre-treatment หรือการเคลือบน้ำยาเตรียมผิวผ้าก่อน โดยน้ำยา Pre-treatment จะช่วยให้หมึกขาวและหมึกสีอื่นๆ ยึดติดกับผ้าได้ดีขึ้น และช่วยป้องกันไม่ให้หมึกซึมลงในเนื้อผ้ามากเกินไป ทำให้สีสันของงานพิมพ์สดใสและคมชัด การเคลือบน้ำยา Pre-treatment สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การฉีดด้วยเครื่อง Pre-treatment แบบอัตโนมัติ หรือการฉีดด้วยมือโดยใช้ขวดสเปรย์ หลังจากฉีดน้ำยาแล้ว จะต้องนำผ้าไปอบให้แห้งด้วยเครื่องอบความร้อนก่อนที่จะนำไปพิมพ์
สำหรับผ้าสีอ่อน เช่น ผ้าสีขาวหรือสีพาสเทล อาจไม่จำเป็นต้องทำการ Pre-treatment เนื่องจากไม่ต้องใช้หมึกขาวเป็นฐาน แต่บางครั้งการเคลือบน้ำยา Pre-treatment ก็ช่วยให้สีสันของงานพิมพ์สดใสขึ้นและช่วยให้หมึกยึดติดกับผ้าได้ดีขึ้นนอกจากนี้ การเตรียมผ้ายังรวมถึงการทำความสะอาดผ้าให้ปราศจากฝุ่น เศษผ้า หรือสิ่งสกปรกอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อคุณภาพของงานพิมพ์ และการรีดผ้าให้เรียบก่อนพิมพ์เพื่อให้พื้นผิวสำหรับการพิมพ์เรียบสม่ำเสมอ
3. กระบวนการพิมพ์และการอบความร้อน
หลังจากเตรียมไฟล์และผ้าเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการพิมพ์ลวดลายลงบนผ้า โดยในการพิมพ์แบบ DTG จะใช้เครื่องพิมพ์เฉพาะที่ออกแบบมาสำหรับการพิมพ์บนสิ่งทอโดยเฉพาะ สำหรับการพิมพ์บนผ้าสีเข้ม กระบวนการพิมพ์จะเริ่มจากการพิมพ์ชั้นหมึกขาว (White Ink) เป็นฐานก่อน เพื่อให้สีอื่นๆ ที่พิมพ์ทับลงไปมีความสดใส ไม่ถูกกลืนไปกับสีพื้นของผ้า หลังจากพิมพ์ชั้นหมึกขาวแล้ว เครื่องจะพิมพ์ชั้นสี CMYK (Cyan, Magenta, Yellow, Black) ทับลงไปตามแบบที่ออกแบบไว้ สำหรับการพิมพ์บนผ้าสีอ่อน เครื่องจะพิมพ์เฉพาะชั้นสี CMYK โดยไม่ต้องพิมพ์ชั้นหมึกขาวเป็นฐาน ทำให้กระบวนการพิมพ์รวดเร็วและประหยัดหมึกมากกว่า หลังจากพิมพ์เสร็จแล้ว จำเป็นต้องนำเสื้อผ้าไปผ่านกระบวนการอบความร้อน (Heat Curing) เพื่อให้หมึกยึดติดกับเส้นใยผ้าอย่างถาวร โดยทั่วไปแล้วจะใช้เครื่องอบความร้อนแบบสายพานหรือเครื่องอัดความร้อน (Heat Press) ที่อุณหภูมิประมาณ 330-350 องศาฟาเรนไฮต์ (165-180 องศาเซลเซียส) เป็นเวลาประมาณ 90-180 วินาที ขึ้นอยู่กับชนิดของหมึกและผ้าที่ใช้ การอบความร้อนเป็นขั้นตอนสำคัญมากใน การสกรีนแบบ DTG เพราะหากอบไม่สมบูรณ์ หมึกอาจไม่ยึดติดกับผ้าอย่างถาวร ทำให้สีซีดจางหรือหลุดลอกได้เมื่อซักล้าง ในทางกลับกัน หากใช้ความร้อนสูงเกินไปหรือนานเกินไป อาจทำให้ผ้าเสียหายหรือสีของงานพิมพ์เพี้ยนได้
ข้อดีและข้อจำกัดของการสกรีนแบบ DTG
การพิมพ์แบบ DTG มีทั้งข้อดีและข้อจำกัดที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจเลือกใช้เทคนิคนี้ในการผลิตเสื้อผ้า เพื่อให้เข้าใจอย่างชัดเจน เราจะวิเคราะห์ข้อดีและข้อจำกัดของเทคโนโลยีนี้อย่างละเอียด
1 ข้อดีของการ สกรีนแบบ DTG ความยืดหยุ่นในการผลิตจำนวนน้อย , คุณภาพงานพิมพ์ที่สูง , ความรวดเร็วในการผลิต , ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม , ความนุ่มของงานพิมพ์ , ความหลากหลายของสี , ความสม่ำเสมอของคุณภาพ
2. ข้อจำกัดของการสกรีนแบบ DTG ต้นทุนต่อชิ้นสูงสำหรับการผลิตจำนวนมาก , ข้อจำกัดด้านชนิดของผ้า , การบำรุงรักษาเครื่องพิมพ์ที่ยุ่งยาก , ความทนทานน้อยกว่าการสกรีนแบบดั้งเดิม , ต้นทุนเครื่องพิมพ์สูง , ความเร็วในการผลิตช้ากว่าการสกรีนแบบดั้งเดิม
เทคนิคสกรีน DTG เหมาะกับใคร
- ผู้เริ่มต้นทำแบรนด์เสื้อเอง (เช่น POD ธุรกิจเล็ก ๆ)
- ร้านรับพิมพ์ลายเสื้อ 1 ตัวก็รับทำ
- นักออกแบบที่มีลายหลากสี ไม่อยากทำบล็อกหลายชั้น
🔶 ปรึกษางานสกรีนเสื้อกับมืออาชืพ 🔶
🔥ร้านสกรีนเสื้อ HOSHI KAIZEN🔥
🟩 เว็บไซต์ https://ho-shi.com/t-shirt-printing/
🟩 แฟนเพจ https://www.facebook.com/HOSHIKAIZEN
🟩 ไลน์ : @HO-SHI