สวัสดีครับ ก่อนอื่นผมต้องขอเกริ่นนำก่อนจะพูดถึงโรควิตกกังวล ซึมเศร้า และแพนิค ว่าผมเริ่มรู้ตัวเองว่าผมมีปัญหาสุขภาพจิต คือเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ มาตั้งแต่เด็กและที่จำความได้แม่น ๆ น่าจะเป็นตั้งแต่ประมาณ8 ขวบครับ ซึ่งตอนเด็กผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออาการของโรคย้ำคิดย้ำทำ ซึ่งผมมารู้เอาตอนโตคือตอนเรียนจบมหาลัยแล้ว
อาการที่เริ่มเป็นตอนเด็กนั้นคือผมเป็นตลอดนะครับ ตั้งแต่ประมาณ8 ขวบ ยันขึ้นมัธยม และมหาลัย คือเวลาทำอะไรชอบนับจำนวนครั้งให้ได้เลขที่ตัวเองพอใจ เช่น ต้องล้างมือ 5 ครั้งถึงจะสะอาด ผมก็จะวนเปิดน้ำล้างจนครบ 5 ครั้ง ต้องนับขั้นบันไดเวลาขึ้นลงบันไดให้ได้ตัวเลขที่พอใจ ถ้าไม่ครบ หรือได้ไม่ตรงตามที่คิดไว้ มันจะมีความรู้สึกว่ามันยังมีอะไรติดค้างในใจ และจะโชคร้าย 🥴 เลยต้องทำอะไรย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ อยู่แบบนั้น
คนที่ไม่เป็นพออ่านมาจนถึงตรงนี้อาจจะมองว่าตลก และมองว่าดูไม่มีเหตุผลเอาซะเลย ใช่ครับ แต่มันเป็นจริง ๆ และมันหยุดไม่ได้ ซึ่งตั้งแต่เด็กจนมหาลัยผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออาการของโรคน้ำคิดย้ำทำ แต่แค่รู้ว่าเราน่าจะมีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับสมอง หรือระบบประสาทสักอย่าง แต่ก็ไม่ได้บอกพ่อแม่หรือครอบครัว เพราะกลัวเขาคิดว่าบ้า 🥹
นอกจากนี้ยังมีอาการอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ชอบเผลอไปลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้ง ๆ ที่ใจไม่ได้อยากทำ แล้วก็ต้องมาคอยพูดขอโทษในใจซ้ำ ๆ จนบางทีไม่มีสมาธิทำอย่างอื่น และรู้สึกไม่ดีมาก ๆ บางทีก็มีความรู้สึกกลัวกว่าเหตุเช่น นั่งอยู่ในห้องเรียนบนตึกชั้น 2 ก็รู้สึกกลัวตึกที่นั่งอยู่จะถล่ม แล้วเราจะตกลงไป มีความคิดสงสัยว่ามันแข็งแรง คงทนจริงมั้ย 🥴 แล้วก็มือเท้าเย็น เหงื่อออก เพราะกลัว วิตกกังวล บางทีถ้ายืนตรงระเบียงแล้วมองลงข้างล่าง จะรู้สึกมีความริดแวบมาว่าอยากโดด แต่จริง ๆ ไม่อยากนะ และรู้สึกหวิว เลยเป็นคนที่ไม่ชอบยืนใกล้ระเบียงเท่าไหร่
แต่ขอบอกไว้อย่างนึงครับ ถึงผมจะมีอาการย้ำคิดย้ำทำ แต่ผมเป็นเด็กที่เรียนเก่งมากเป็นอันดับต้น ๆ ของห้อง ตั้งแต่ประถม มัธยม และมหาลัย การคิดการอ่านความจำการคิดเชื่อมโยงต่าง ๆ ปกติ เพียงแต่แค่มีอาการ OCD ที่ชอบมารบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน (บางทีรู้สึกน้อยใจในโชคชะตา เหมือนเราต้องสู้ พยายามมากกว่าคนอื่น เพราะเราต้องต่อสู้กับอาการที่เป็นอยู่ และคิดว่าทำไมต้องเป็นไม่เหมือนคนอื่นด้วย แต่พอคิดได้ก็ภูมิใจ ที่เรามานะอดทนและต่อสู้มาได้ทุกวัน และเรียนได้เก่งขนาดนี้ 🤣)
มาเข้าเรื่องอาการโรคแพนิคกันบ้าง คือผมรู้สึกว่าผมเริ่มมีอาการแพนิคตอนมัธยม(ตอนนั้น ยังไม่รู้จักโรคแพนิค)แต่ตอนนั้นผมไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก เพราะปีนึงน่าจะเป็นแค่ 2 หน นาน ๆ เป็นที คือนั่งเรียนอยู่ดี ๆ ก็ใจสั่น ใจเต้นแรงมาก เหมือนตกใจกลัวอะไรสักอย่าง แต่มันก็ไม่ได้กลัวอะไร ก็นั่งเรียนเฉย ๆ อยู่ดี ๆ 🤔 มันเหมือนหัวใจจะวาย ให้ได้ และเหงื่อออกที่มือเยอะมากกก ตอนนั้นตกใจมาก สิ่งที่ทำคือพยายามชวนเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ คุยเบา ๆ เพราะเรียนอยู่🤣เหมือนหาเรื่อง เบี่ยงเบนความสนใจไม่ให้ตัวเองตกใจในอาการ คุยเรื่องอะไรไปทั่ว พอสัก10 นาที มันก็ค่อย ๆ หาย เป็นทุกครั้งผมก็จะทำแบบนี้ทุกครั้ง ผมไม่รู้ว่ามันเรียกว่าแพนิค คิดว่าตัวเองอาจจะเป็นโรคหัวใจ หรือเครียดอะไรถึงใจสั่น แต่ก็ไม่ได้บอกพ่อแม่ จนจบมัธยม
พอเข้ามหาลัย เป็นช่วงที่ต้องปรับตัวมาก ต้องหาเพื่อนใหม่ในสาขา ต้องอยู่หอเพราะไกลบ้าน ห่างพ่อแม่ ห่างครอบครัว ต้องดูแลตัวเอง
บลาๆๆๆ ซึ่งผมเรียนในคณะ สาขาหนึ่ง ที่มีการรับน้องดูแลน้องปี 1 คล้าย ๆ ระบบโซตัส คือต้องมีการโดนว๊าก นู่น นี่ นั่น อาการแพนิคผมก็เริ่มเป็นหนักขึ้น และถี่ขึ้น (ตอนนั้นก็ ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร คิดว่าตัวเองเครียดเฉย ๆ🥴 )ระหว่างที่ผมนั่งรวมกับเพื่อน ๆ และโดนรุ่นพี่ยืนห้อมล้อมว๊ากตอนนั้น อาการใจเต้นเร็วเหมือนหัวใจจะวายเกิดขึ้นทันที....(รุ่นพี่ว๊ากเพื่อน แต่ผมรู้สึกเครียด อึดอัดเหมือนโดนเอง มันรู้สึก Toxic มาก และกลัวการโดนนัดว๊ากทุกครั้ง) อันนี้ไม่ได้โทษรุ่นพี่นะครับ ผมโทษตัวเองที่จิตใจของผมเปราะบางเอง เพื่อน ๆ ของผมไม่เป็น แต่ผมเป็น
ผมเริ่มกินไม่ได้ นอนไม่หลับ รู้สึกว่าเรียนมหาลัยไม่มีความสุข ผมไม่เครียดเรื่องเรียน เพราะค่อนข้างเรียนดีอยู่แล้ว ที่เครียดคือการใช้ชีวิตในกฏของสาขาที่ต้องมีการว๊ากรุ่นน้อง และระบบทำโทษหมู่ ผมจะไม่ขอลงดีเทลมากนะครับ เอาเป็นว่ามัน Toxic สำหรับผม ผมไม่อยากได้ยินเสียงตะคอกจากรุ่นพี่ แต่ผมก็พยายามอดทนครับ ถึงจะรู้สึกไม่ดีกับการเข้ามหาลัยแค่ไหน แต่ผมไม่เคยขาดเรียน ไปเรียนทุกคาบ
ผมไม่รู้ตัวว่าผมเป็นความเครียดสะสมเข้าให้แล้ว จนมันเครียดลงกระเพาะ ผมกินข้าวไม่ได้ ร่างกายผ่ายผอมมาก และผมก็เป็นโรคกระเพาะในที่สุด ผมก็พกยาไปกินระหว่างเรียนทุกวัน อาการก็ทรง ๆ ตลอด
จนผมมีอาการใจสั่น ใจเต้นแรง แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก เหงื่อออกที่มือทุกคาบที่เรียน นึกว่าตัวเองเป็นกรดไหลย้อน ก็กินยาลดกรดเอาระหว่างเรียน เข้าเรียนทุกครั้งก็เป็นทุกครั้งแต่ก็ไม่บอกเพื่อนหรืออาจารย์ที่กำลังสอนอยู่นะครับ ผมประคองอาการตัวเองโดยการกินยาลดกรดบ้าง ชวนเพื่อนคุยเบา ๆ บ้าง นานเข้าก็เริ่มชิน แต่ก็ทรมาน 🥴
จนเป็นหนักเข้า ๆ จนสุดจะทน เพราะข้าวก็กินไม่ได้ ผอมเกิน🥹 ผมก็บอกแม่ แม่ก็พาไปโรงพยาบาล ตรวจโรคต่าง ๆ ก็ไม่เจอโรคหัวใจ จนผมหาข้อมูลดู อาการมันเหมือนโรคแพนิค ไปหาหมอครั้งใหม่ผมเลยบอกหมอ หมอเลยให้ผมพบจิตแพทย์ สรุปใช่เลยผมเป็นแพนิค !!!
หมอก็จ่ายยา น่าจะเป็นยาปรับสารเคมีในสมอง และนัดติดตามอาการ และไม่น่าเชื่อประมาณ 1 เดือน เหมือนผมได้ชีวิตใหม่ ผมดีขึ้น นิ่งขึ้น อาการแพนิคผมหายไปเลย ผมนั่งเรียนได้แบบชิลด์ ๆ ผมกินยาและไปตามนัดหมอประมาณ 1 ปี หมอก็ประเมินอาการและให้ผมหยุดยาครับ
ผมรู้สึกขอบคุณแม่ของผมมากที่ท่านคอยอยู่เคียงข้างผมตลอด คอยดูแลและ พาผมไปตามนัดทุกครั้ง ท่านไม่เคยคิดว่าผมบ้า หรือประสาท เหมือนค่านิยมเดิม ๆ เลย แค่ผมเล่าอาการและอ่านข้อมูลที่หาให้ฟังว่าผมคิดว่าผมเป็นแพนิค ท่านก็รับฟังและเข้าใจ และพร้อมจูงมือผมออกมาจากความรู้สึกแย่ ๆ ที่เป็นเหมือนขุมนรก โดยรีบพาผมไปหาหมอทันที ฉะนั้นฝากถึงครอบครัวผู้ป่วยทุกท่านนะครับคนข้าง ๆ และกำลังใจ มีความสำคัญ กับผู้ป่วยมาก ฉะนั้น คอยให้กำลังใจ ให้ความช่วยเหลือและอย่าซ้ำเติม ผู้ป่วยนะครับ
และผมอยากจะบอกคนที่มีอาการเหมือนผมว่า อย่าทุกข์ทนคนเดียว แบบที่ผมเคยทำ ถ้าเป็นแบบผม ไม่ต้องอาย ไม่ต้องกลัว ไปหาจิตแพทย์เลยครับ รพ.รัฐก็มี ไม่เสียค่าใช้จ่าย ไปแล้วเหมือนเราได้ชีวิตใหม่ของจริง ยาและแพทย์ช่วยเราได้
และพอผมเรียนจบมา ผมก็มีงานทำ และแน่นอนว่าผมต้องปรับตัวใหม่อีกแล้ว ทำงานไปสักระยะผมก็มีอาการปวดหัวคิ้ว ปวดหน้าผากแบบบีบ ๆ ซึ่งรู้ตัวเองว่าน่าจะเครียดจากที่ทำงาน และแล้วใช่ครับ ผมทนไม่ไหวจนต้องไปพบจิตแพทย์อีกครั้ง ....
หมอบอกผมเป็นโรควิตกกังวล และมีอาการโรคซึมเศร้าเล็กน้อย ให้ตายสิ ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมาเป็นโรคซึมเศร้าด้วย แต่ไหน ๆ ก็เป็นแล้ว ช่างมัน สู้ครับ ผมก็กินยาตามหมอสั่ง จนกลับมาเป็นผู้เป็นคนได้อีกครั้ง 🥹
ตอนที่ยังไม่ได้ไปหาหมอ ผมไม่อยากไปทำงานมาก ๆ ผมเกือบลาออกเหมือนกัน ตอนยังไม่ได้กินยา แต่พอกินยา เหมือนยาไปช่วยปรับสมดุลในสมอง เราจึงคลายกังวลขึ้น และทำงานต่อได้ ฉะนั้นใครที่มีอาการเหมือนผม ลองไปพบจิตแพทย์นะครับ ช่วยได้มาก ๆ
ปัจจุบันผมหยุดยาแล้ว ประมาณ 1 ปี ณ ตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าบ่อยเหมือนกันที่อาการเก่า ๆ กลับมาเป็นอีก แต่สิ่งที่ทำให้ผมยังสู้ และผ่านมันมาได้จนถึงทุกวันนี้ คือแรงใจจากแม่ และกำลังใจจากตัวเองครับ วันนี้ผมเลยอยากจะมาแชร์วิธีการฉบับผมเองที่ต้องรับมือกับโรคเหล่านี้ ที่ผมต่อสู้และอยู่กับมันมาแสนนาน เพื่อเป็นกำลังใจ แนวทาง ให้กับผู้ที่กำลังประสบเหมือนกับผม...
วิธีการนี้ไม่รวมการทานยานะครับ ใครยังทานยาอยู่ให้ทานต่อไปตามแพทย์สั่ง ห้ามหยุดหรือลดยาเองนะครับ สำคัญมาก ๆ
วิธีที่ผมใช้คือ เวลาเครียด ๆ วิตกกังวล หรือ แพนิค ผมจะ
1. เข้าใจตัวโรคและรู้เท่าทันโรค เข้าใจตัวโรคว่า ความรู้สึกและอาการที่เป็นอยู่มันคืออาการของโรค ให้เรารู้เท่าทันอาการ และให้กำลังใจตัวเองเสมอ และพูดกับตัวเองว่า เดี๋ยวความรู้สึกนี้ อาการนี้มันจะผ่านไป และควรพบจิตแพทย์ควบคู่ด้วยครับ ช่วยได้เยอะมาก
2. ฝึกการหายใจ แพนิคปุ๊บหายใจเข้าออกช้า ๆ ค่อย ๆ พิจารณาว่าคิดมากไปก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น มีแต่สุขภาพที่จะเสีย และพยายามหยุดความคิดทั้งหมด หยุดไม่ได้ไม่เป็นไร ค่อยเป็นค่อยไป หาอะไรที่ชอบทำ ถ้าไม่อยากทำอะไร ให้เล่นกับสัตว์เลี้ยง ฮีลใจสุดครับ
3. ถ้ามีปัญหา ค่อย ๆ พยายามแก้ไขทีละจุด ค่อย ๆ แก้ ปรึกษาคนที่เราคิดว่าช่วยเราได้ ช่วยซัพพล็อต ถ้าไม่มีไม่เป็นไร ให้คิดเสมอว่าเราเก่ง สตรอง เราทำได้ ค่อย ๆ แก้ ทีละนิด ๆ ถ้าแก้ไม่ได้ เป็นอดีตให้ปล่อยวาง และอยู่กับปัจจุบัน และยิ้มให้ตัวเอง พูดกับตัวเองว่าไม่เป็นไร คนเราผิดพลาดกันได้ และฉันจะทำให้ดีกว่าเดิมในครั้งหน้า คิดถึงหน้าคนที่เรารัก และรักเรา เยอะ ๆ กลับไปหากำลังใจ ❤️
4. การฟังธรรมะช่วยให้เรารู้จักปล่อยวางได้
5. อยู่อย่างมีความหวัง และสรรหาความสุข ต้องมีความหวังเสมอว่าวันข้างหน้าต้องดีกว่านี้ ต่อให้วันนี้พรุ่งนี้จะเจอเรื่องราวร้าย ๆ และรู้สึกแย่แค่ไหน แต่ไม่ได้หมายความว่า วันมะรืน สัปดาห์หน้า เดือนหน้า หรือปีหน้า จะไม่มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นเลย หมั่นให้ของขวัญรางวัลตัวเองเมื่อทำอะไรสำเร็จ เช่นของที่อยากได้ หรือไปเที่ยว
6. ทำสิ่งที่ชอบอยู่เสมอ แม้บางครั้งจะเครียดจนไม่อยากทำอะไร พยายามอย่าอยู่คนเดียว หรือเก็บตัวตามความรู้สึก ให้ออกไปหาครอบครัว หรือเพื่อนสนิท หากิจกรรมทำ แรก ๆ อาจไม่อยากทำ เพราะโรคซึมเศร้าทำให้เราหมดความสนใจในสิ่งต่าง ๆ แต่ลองฝืนทำในสิ่งที่เคยชอบสักนิด ดีกว่าอยู่คนเดียวแล้วคิดฟุ้งซ่านแน่นอนครับ
7.พยายามโฟกัสความสุข แม้จะเป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้คิดเสมอว่า ถ้าวันไหนเรามีความสุขได้แม้จะเล็ก ๆ น้อย ๆ วันนั้นคือเรากำลังประสบความสำเร็จแล้วครับ
8. หาเวลาไปออกกำลังกายบ้าง และหมั่นหากิจกรรมทำเสมอ
9. ฝึกการปล่อยวาง เราไม่สามารถให้ทุกคนหรือทุกเรื่องเป็นไปตามใจเราบางเรื่องเราควบคุมไม่ได้ ให้เรามีสติ และอยู่กับปัจจุบัน
10. หมั่นยิ้มให้ตัวเอง พูดชมตัวเองบ่อย ๆ เมื่อ ทำอะไรสำเร็จ หรือได้ทำความดี พูดกับตัวเองแง่บวก และพยายามคิดบวกเสมอ การคิดบวกจะเป็นเหมือนพลังงานช่วยดึงดูดเรื่องดี ๆ มาหาตัวเรา
11. ข้อนี้สำคัญมาก ใครที่ยังกินยาให้กินยาตามแพทย์สั่งไม่ขาด ไม่ลดขนาดยาเอง ไปตามนัดแพทย์เสมอ ถ้ากินยาแล้วไม่ดีขึ้น หรืออาการแย่ลงให้กลับไปปรึกษาแพทย์ แพทย์จะปรับยาให้เองครับ ถ้าใครที่แพทย์ให้หยุดยาแล้วมีอาการให้กลับไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด
**อาการและปัญหาของแต่ละคนไม่เหมือนกันและหนักเบาไม่เท่ากัน ผมทราบดีครับ แต่ถ้ากระทู้นี้พอจะเป็นประโยชน์ให้กับทุกคนได้ ขอให้นำวิธีที่คิดว่าเหมาะสมกับตัวเองไปปรับใช้ได้ตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคลนะครับ ผมเป็นกำลังใจให้เสมอ❤️
สุดท้ายนี้ ผมขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่กำลังเป็นเหมือนผม แม้ผมไม่อาจรู้อาการหรือปัญหาของแต่ละคนได้ แต่ในฐานะที่ผมเองก็เป็นคนที่ประสบกับโรคนี้ ผมจึงเข้าใจทุกคน และขอให้ทุกคนมีสติ ใช้สติเป็นแสงสว่างในการดำเนินชีวิต เพื่ออยู่กับปัจจุบัน ขอให้ทุกคนมีพลังใจที่จะเรียนรู้และอยู่กับมันให้ได้นะครับคนเก่ง ❤️
แชร์ประสบการณ์เมื่อผมต้องรับมือกับโรควิตกกังวล ซึมเศร้า และแพนิค
อาการที่เริ่มเป็นตอนเด็กนั้นคือผมเป็นตลอดนะครับ ตั้งแต่ประมาณ8 ขวบ ยันขึ้นมัธยม และมหาลัย คือเวลาทำอะไรชอบนับจำนวนครั้งให้ได้เลขที่ตัวเองพอใจ เช่น ต้องล้างมือ 5 ครั้งถึงจะสะอาด ผมก็จะวนเปิดน้ำล้างจนครบ 5 ครั้ง ต้องนับขั้นบันไดเวลาขึ้นลงบันไดให้ได้ตัวเลขที่พอใจ ถ้าไม่ครบ หรือได้ไม่ตรงตามที่คิดไว้ มันจะมีความรู้สึกว่ามันยังมีอะไรติดค้างในใจ และจะโชคร้าย 🥴 เลยต้องทำอะไรย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ อยู่แบบนั้น
คนที่ไม่เป็นพออ่านมาจนถึงตรงนี้อาจจะมองว่าตลก และมองว่าดูไม่มีเหตุผลเอาซะเลย ใช่ครับ แต่มันเป็นจริง ๆ และมันหยุดไม่ได้ ซึ่งตั้งแต่เด็กจนมหาลัยผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออาการของโรคน้ำคิดย้ำทำ แต่แค่รู้ว่าเราน่าจะมีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับสมอง หรือระบบประสาทสักอย่าง แต่ก็ไม่ได้บอกพ่อแม่หรือครอบครัว เพราะกลัวเขาคิดว่าบ้า 🥹
นอกจากนี้ยังมีอาการอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ชอบเผลอไปลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้ง ๆ ที่ใจไม่ได้อยากทำ แล้วก็ต้องมาคอยพูดขอโทษในใจซ้ำ ๆ จนบางทีไม่มีสมาธิทำอย่างอื่น และรู้สึกไม่ดีมาก ๆ บางทีก็มีความรู้สึกกลัวกว่าเหตุเช่น นั่งอยู่ในห้องเรียนบนตึกชั้น 2 ก็รู้สึกกลัวตึกที่นั่งอยู่จะถล่ม แล้วเราจะตกลงไป มีความคิดสงสัยว่ามันแข็งแรง คงทนจริงมั้ย 🥴 แล้วก็มือเท้าเย็น เหงื่อออก เพราะกลัว วิตกกังวล บางทีถ้ายืนตรงระเบียงแล้วมองลงข้างล่าง จะรู้สึกมีความริดแวบมาว่าอยากโดด แต่จริง ๆ ไม่อยากนะ และรู้สึกหวิว เลยเป็นคนที่ไม่ชอบยืนใกล้ระเบียงเท่าไหร่
แต่ขอบอกไว้อย่างนึงครับ ถึงผมจะมีอาการย้ำคิดย้ำทำ แต่ผมเป็นเด็กที่เรียนเก่งมากเป็นอันดับต้น ๆ ของห้อง ตั้งแต่ประถม มัธยม และมหาลัย การคิดการอ่านความจำการคิดเชื่อมโยงต่าง ๆ ปกติ เพียงแต่แค่มีอาการ OCD ที่ชอบมารบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน (บางทีรู้สึกน้อยใจในโชคชะตา เหมือนเราต้องสู้ พยายามมากกว่าคนอื่น เพราะเราต้องต่อสู้กับอาการที่เป็นอยู่ และคิดว่าทำไมต้องเป็นไม่เหมือนคนอื่นด้วย แต่พอคิดได้ก็ภูมิใจ ที่เรามานะอดทนและต่อสู้มาได้ทุกวัน และเรียนได้เก่งขนาดนี้ 🤣)
มาเข้าเรื่องอาการโรคแพนิคกันบ้าง คือผมรู้สึกว่าผมเริ่มมีอาการแพนิคตอนมัธยม(ตอนนั้น ยังไม่รู้จักโรคแพนิค)แต่ตอนนั้นผมไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก เพราะปีนึงน่าจะเป็นแค่ 2 หน นาน ๆ เป็นที คือนั่งเรียนอยู่ดี ๆ ก็ใจสั่น ใจเต้นแรงมาก เหมือนตกใจกลัวอะไรสักอย่าง แต่มันก็ไม่ได้กลัวอะไร ก็นั่งเรียนเฉย ๆ อยู่ดี ๆ 🤔 มันเหมือนหัวใจจะวาย ให้ได้ และเหงื่อออกที่มือเยอะมากกก ตอนนั้นตกใจมาก สิ่งที่ทำคือพยายามชวนเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ คุยเบา ๆ เพราะเรียนอยู่🤣เหมือนหาเรื่อง เบี่ยงเบนความสนใจไม่ให้ตัวเองตกใจในอาการ คุยเรื่องอะไรไปทั่ว พอสัก10 นาที มันก็ค่อย ๆ หาย เป็นทุกครั้งผมก็จะทำแบบนี้ทุกครั้ง ผมไม่รู้ว่ามันเรียกว่าแพนิค คิดว่าตัวเองอาจจะเป็นโรคหัวใจ หรือเครียดอะไรถึงใจสั่น แต่ก็ไม่ได้บอกพ่อแม่ จนจบมัธยม
พอเข้ามหาลัย เป็นช่วงที่ต้องปรับตัวมาก ต้องหาเพื่อนใหม่ในสาขา ต้องอยู่หอเพราะไกลบ้าน ห่างพ่อแม่ ห่างครอบครัว ต้องดูแลตัวเอง
บลาๆๆๆ ซึ่งผมเรียนในคณะ สาขาหนึ่ง ที่มีการรับน้องดูแลน้องปี 1 คล้าย ๆ ระบบโซตัส คือต้องมีการโดนว๊าก นู่น นี่ นั่น อาการแพนิคผมก็เริ่มเป็นหนักขึ้น และถี่ขึ้น (ตอนนั้นก็ ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร คิดว่าตัวเองเครียดเฉย ๆ🥴 )ระหว่างที่ผมนั่งรวมกับเพื่อน ๆ และโดนรุ่นพี่ยืนห้อมล้อมว๊ากตอนนั้น อาการใจเต้นเร็วเหมือนหัวใจจะวายเกิดขึ้นทันที....(รุ่นพี่ว๊ากเพื่อน แต่ผมรู้สึกเครียด อึดอัดเหมือนโดนเอง มันรู้สึก Toxic มาก และกลัวการโดนนัดว๊ากทุกครั้ง) อันนี้ไม่ได้โทษรุ่นพี่นะครับ ผมโทษตัวเองที่จิตใจของผมเปราะบางเอง เพื่อน ๆ ของผมไม่เป็น แต่ผมเป็น
ผมเริ่มกินไม่ได้ นอนไม่หลับ รู้สึกว่าเรียนมหาลัยไม่มีความสุข ผมไม่เครียดเรื่องเรียน เพราะค่อนข้างเรียนดีอยู่แล้ว ที่เครียดคือการใช้ชีวิตในกฏของสาขาที่ต้องมีการว๊ากรุ่นน้อง และระบบทำโทษหมู่ ผมจะไม่ขอลงดีเทลมากนะครับ เอาเป็นว่ามัน Toxic สำหรับผม ผมไม่อยากได้ยินเสียงตะคอกจากรุ่นพี่ แต่ผมก็พยายามอดทนครับ ถึงจะรู้สึกไม่ดีกับการเข้ามหาลัยแค่ไหน แต่ผมไม่เคยขาดเรียน ไปเรียนทุกคาบ
ผมไม่รู้ตัวว่าผมเป็นความเครียดสะสมเข้าให้แล้ว จนมันเครียดลงกระเพาะ ผมกินข้าวไม่ได้ ร่างกายผ่ายผอมมาก และผมก็เป็นโรคกระเพาะในที่สุด ผมก็พกยาไปกินระหว่างเรียนทุกวัน อาการก็ทรง ๆ ตลอด
จนผมมีอาการใจสั่น ใจเต้นแรง แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก เหงื่อออกที่มือทุกคาบที่เรียน นึกว่าตัวเองเป็นกรดไหลย้อน ก็กินยาลดกรดเอาระหว่างเรียน เข้าเรียนทุกครั้งก็เป็นทุกครั้งแต่ก็ไม่บอกเพื่อนหรืออาจารย์ที่กำลังสอนอยู่นะครับ ผมประคองอาการตัวเองโดยการกินยาลดกรดบ้าง ชวนเพื่อนคุยเบา ๆ บ้าง นานเข้าก็เริ่มชิน แต่ก็ทรมาน 🥴
จนเป็นหนักเข้า ๆ จนสุดจะทน เพราะข้าวก็กินไม่ได้ ผอมเกิน🥹 ผมก็บอกแม่ แม่ก็พาไปโรงพยาบาล ตรวจโรคต่าง ๆ ก็ไม่เจอโรคหัวใจ จนผมหาข้อมูลดู อาการมันเหมือนโรคแพนิค ไปหาหมอครั้งใหม่ผมเลยบอกหมอ หมอเลยให้ผมพบจิตแพทย์ สรุปใช่เลยผมเป็นแพนิค !!!
หมอก็จ่ายยา น่าจะเป็นยาปรับสารเคมีในสมอง และนัดติดตามอาการ และไม่น่าเชื่อประมาณ 1 เดือน เหมือนผมได้ชีวิตใหม่ ผมดีขึ้น นิ่งขึ้น อาการแพนิคผมหายไปเลย ผมนั่งเรียนได้แบบชิลด์ ๆ ผมกินยาและไปตามนัดหมอประมาณ 1 ปี หมอก็ประเมินอาการและให้ผมหยุดยาครับ
ผมรู้สึกขอบคุณแม่ของผมมากที่ท่านคอยอยู่เคียงข้างผมตลอด คอยดูแลและ พาผมไปตามนัดทุกครั้ง ท่านไม่เคยคิดว่าผมบ้า หรือประสาท เหมือนค่านิยมเดิม ๆ เลย แค่ผมเล่าอาการและอ่านข้อมูลที่หาให้ฟังว่าผมคิดว่าผมเป็นแพนิค ท่านก็รับฟังและเข้าใจ และพร้อมจูงมือผมออกมาจากความรู้สึกแย่ ๆ ที่เป็นเหมือนขุมนรก โดยรีบพาผมไปหาหมอทันที ฉะนั้นฝากถึงครอบครัวผู้ป่วยทุกท่านนะครับคนข้าง ๆ และกำลังใจ มีความสำคัญ กับผู้ป่วยมาก ฉะนั้น คอยให้กำลังใจ ให้ความช่วยเหลือและอย่าซ้ำเติม ผู้ป่วยนะครับ
และผมอยากจะบอกคนที่มีอาการเหมือนผมว่า อย่าทุกข์ทนคนเดียว แบบที่ผมเคยทำ ถ้าเป็นแบบผม ไม่ต้องอาย ไม่ต้องกลัว ไปหาจิตแพทย์เลยครับ รพ.รัฐก็มี ไม่เสียค่าใช้จ่าย ไปแล้วเหมือนเราได้ชีวิตใหม่ของจริง ยาและแพทย์ช่วยเราได้
และพอผมเรียนจบมา ผมก็มีงานทำ และแน่นอนว่าผมต้องปรับตัวใหม่อีกแล้ว ทำงานไปสักระยะผมก็มีอาการปวดหัวคิ้ว ปวดหน้าผากแบบบีบ ๆ ซึ่งรู้ตัวเองว่าน่าจะเครียดจากที่ทำงาน และแล้วใช่ครับ ผมทนไม่ไหวจนต้องไปพบจิตแพทย์อีกครั้ง ....
หมอบอกผมเป็นโรควิตกกังวล และมีอาการโรคซึมเศร้าเล็กน้อย ให้ตายสิ ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมาเป็นโรคซึมเศร้าด้วย แต่ไหน ๆ ก็เป็นแล้ว ช่างมัน สู้ครับ ผมก็กินยาตามหมอสั่ง จนกลับมาเป็นผู้เป็นคนได้อีกครั้ง 🥹
ตอนที่ยังไม่ได้ไปหาหมอ ผมไม่อยากไปทำงานมาก ๆ ผมเกือบลาออกเหมือนกัน ตอนยังไม่ได้กินยา แต่พอกินยา เหมือนยาไปช่วยปรับสมดุลในสมอง เราจึงคลายกังวลขึ้น และทำงานต่อได้ ฉะนั้นใครที่มีอาการเหมือนผม ลองไปพบจิตแพทย์นะครับ ช่วยได้มาก ๆ
ปัจจุบันผมหยุดยาแล้ว ประมาณ 1 ปี ณ ตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าบ่อยเหมือนกันที่อาการเก่า ๆ กลับมาเป็นอีก แต่สิ่งที่ทำให้ผมยังสู้ และผ่านมันมาได้จนถึงทุกวันนี้ คือแรงใจจากแม่ และกำลังใจจากตัวเองครับ วันนี้ผมเลยอยากจะมาแชร์วิธีการฉบับผมเองที่ต้องรับมือกับโรคเหล่านี้ ที่ผมต่อสู้และอยู่กับมันมาแสนนาน เพื่อเป็นกำลังใจ แนวทาง ให้กับผู้ที่กำลังประสบเหมือนกับผม...
วิธีการนี้ไม่รวมการทานยานะครับ ใครยังทานยาอยู่ให้ทานต่อไปตามแพทย์สั่ง ห้ามหยุดหรือลดยาเองนะครับ สำคัญมาก ๆ
วิธีที่ผมใช้คือ เวลาเครียด ๆ วิตกกังวล หรือ แพนิค ผมจะ
1. เข้าใจตัวโรคและรู้เท่าทันโรค เข้าใจตัวโรคว่า ความรู้สึกและอาการที่เป็นอยู่มันคืออาการของโรค ให้เรารู้เท่าทันอาการ และให้กำลังใจตัวเองเสมอ และพูดกับตัวเองว่า เดี๋ยวความรู้สึกนี้ อาการนี้มันจะผ่านไป และควรพบจิตแพทย์ควบคู่ด้วยครับ ช่วยได้เยอะมาก
2. ฝึกการหายใจ แพนิคปุ๊บหายใจเข้าออกช้า ๆ ค่อย ๆ พิจารณาว่าคิดมากไปก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น มีแต่สุขภาพที่จะเสีย และพยายามหยุดความคิดทั้งหมด หยุดไม่ได้ไม่เป็นไร ค่อยเป็นค่อยไป หาอะไรที่ชอบทำ ถ้าไม่อยากทำอะไร ให้เล่นกับสัตว์เลี้ยง ฮีลใจสุดครับ
3. ถ้ามีปัญหา ค่อย ๆ พยายามแก้ไขทีละจุด ค่อย ๆ แก้ ปรึกษาคนที่เราคิดว่าช่วยเราได้ ช่วยซัพพล็อต ถ้าไม่มีไม่เป็นไร ให้คิดเสมอว่าเราเก่ง สตรอง เราทำได้ ค่อย ๆ แก้ ทีละนิด ๆ ถ้าแก้ไม่ได้ เป็นอดีตให้ปล่อยวาง และอยู่กับปัจจุบัน และยิ้มให้ตัวเอง พูดกับตัวเองว่าไม่เป็นไร คนเราผิดพลาดกันได้ และฉันจะทำให้ดีกว่าเดิมในครั้งหน้า คิดถึงหน้าคนที่เรารัก และรักเรา เยอะ ๆ กลับไปหากำลังใจ ❤️
4. การฟังธรรมะช่วยให้เรารู้จักปล่อยวางได้
5. อยู่อย่างมีความหวัง และสรรหาความสุข ต้องมีความหวังเสมอว่าวันข้างหน้าต้องดีกว่านี้ ต่อให้วันนี้พรุ่งนี้จะเจอเรื่องราวร้าย ๆ และรู้สึกแย่แค่ไหน แต่ไม่ได้หมายความว่า วันมะรืน สัปดาห์หน้า เดือนหน้า หรือปีหน้า จะไม่มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นเลย หมั่นให้ของขวัญรางวัลตัวเองเมื่อทำอะไรสำเร็จ เช่นของที่อยากได้ หรือไปเที่ยว
6. ทำสิ่งที่ชอบอยู่เสมอ แม้บางครั้งจะเครียดจนไม่อยากทำอะไร พยายามอย่าอยู่คนเดียว หรือเก็บตัวตามความรู้สึก ให้ออกไปหาครอบครัว หรือเพื่อนสนิท หากิจกรรมทำ แรก ๆ อาจไม่อยากทำ เพราะโรคซึมเศร้าทำให้เราหมดความสนใจในสิ่งต่าง ๆ แต่ลองฝืนทำในสิ่งที่เคยชอบสักนิด ดีกว่าอยู่คนเดียวแล้วคิดฟุ้งซ่านแน่นอนครับ
7.พยายามโฟกัสความสุข แม้จะเป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้คิดเสมอว่า ถ้าวันไหนเรามีความสุขได้แม้จะเล็ก ๆ น้อย ๆ วันนั้นคือเรากำลังประสบความสำเร็จแล้วครับ
8. หาเวลาไปออกกำลังกายบ้าง และหมั่นหากิจกรรมทำเสมอ
9. ฝึกการปล่อยวาง เราไม่สามารถให้ทุกคนหรือทุกเรื่องเป็นไปตามใจเราบางเรื่องเราควบคุมไม่ได้ ให้เรามีสติ และอยู่กับปัจจุบัน
10. หมั่นยิ้มให้ตัวเอง พูดชมตัวเองบ่อย ๆ เมื่อ ทำอะไรสำเร็จ หรือได้ทำความดี พูดกับตัวเองแง่บวก และพยายามคิดบวกเสมอ การคิดบวกจะเป็นเหมือนพลังงานช่วยดึงดูดเรื่องดี ๆ มาหาตัวเรา
11. ข้อนี้สำคัญมาก ใครที่ยังกินยาให้กินยาตามแพทย์สั่งไม่ขาด ไม่ลดขนาดยาเอง ไปตามนัดแพทย์เสมอ ถ้ากินยาแล้วไม่ดีขึ้น หรืออาการแย่ลงให้กลับไปปรึกษาแพทย์ แพทย์จะปรับยาให้เองครับ ถ้าใครที่แพทย์ให้หยุดยาแล้วมีอาการให้กลับไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด
**อาการและปัญหาของแต่ละคนไม่เหมือนกันและหนักเบาไม่เท่ากัน ผมทราบดีครับ แต่ถ้ากระทู้นี้พอจะเป็นประโยชน์ให้กับทุกคนได้ ขอให้นำวิธีที่คิดว่าเหมาะสมกับตัวเองไปปรับใช้ได้ตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคลนะครับ ผมเป็นกำลังใจให้เสมอ❤️
สุดท้ายนี้ ผมขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่กำลังเป็นเหมือนผม แม้ผมไม่อาจรู้อาการหรือปัญหาของแต่ละคนได้ แต่ในฐานะที่ผมเองก็เป็นคนที่ประสบกับโรคนี้ ผมจึงเข้าใจทุกคน และขอให้ทุกคนมีสติ ใช้สติเป็นแสงสว่างในการดำเนินชีวิต เพื่ออยู่กับปัจจุบัน ขอให้ทุกคนมีพลังใจที่จะเรียนรู้และอยู่กับมันให้ได้นะครับคนเก่ง ❤️