🩺 ทำไมที่อิตาลี ถึงต้องสอนการเจริญสติ ให้แก่ผู้ที่ทำงานช่วยเหลือผู้ทุพพลภาพ
🩺 นั่นก็เพราะว่าเป็นการทำงานกับ "คน" ที่มีทั้งความเหมือนและความต่างกัน
#
ในมิติความเหมือนคือ มีอวัยวะ มีการทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย มีการทำงานของสมอง และมีความรู้สึก
#
ในมิติความต่างคือ การอบรมเลี้ยงดู การศึกษา ประสบการณ์ชีวิต การทำงาน สังคม การเมือง ศาสนา
🩺 เมื่อคนที่เคยมีบทบาทเป็นพ่อ แม่ ครู หมอ ศิลปิน นักกีฬา วิศวกร พนักงานออฟฟิศ ฯลฯ แล้วมามีความทุพพลภาพ ไม่ว่าสาเหตุจากอุบัติเหตุ หรือความเจ็บป่วยทางด้านร่างกายและจิตใจ ต้องนั่งรถเข็น ติดเตียง ใส่แพมเพิส หายใจลำบากต้องให้ออกซิเจนทางสายยางเพิ่ม มีท่อสวนปัสสาวะ อุจจาระทางหน้าท้อง รับอาหารทางสายยางต่อกับจมูกลงกระเพาะ หรือต่อกับหน้าท้องลงลำไส้ ฯลฯ ซึ่งแต่ละคนก็จะรับมือกับสถานภาพนั้นๆได้แตกต่างกัน
🔺 ในทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์นั้น ฐานล่างสุดของทฤษฎีเป็นเรื่องเกี่ยวกับ การกิน การนอน การขับถ่าย การเคลื่อนไหว การหายใจ และการสืบพันธุ์
แล้วลำดับขั้นความต้องการขั้นนี้ของคนทุพพลภาพ ก็ไม่ได้รับการตอบสนองด้วยดีเหมือนคนที่ปกติ จึงส่งผลกระทบต่อทั้งร่างกายและจิตใจ เมื่อความต้องการด้านนี้ขาดสมดุล ก็กระทบกับความต้องการขั้นอื่นๆด้วย เช่น ความต้องการด้านความปลอดภัย ความต้องการการยอมรับทางสังคม การนับถือตนเอง และการเข้าถึงศักยภาพสูงสุดของตน
เมื่อคนถูกคุกคามด้วยภาวะดังกล่าว ก็จะเกิดกลไกป้องกันตัวและใช้ยุทธวิธีการรับมือต่างๆ เพื่อเป็นการสร้างสมดุลและเยียวยาตนเอง ดังนั้นเจ้าหน้าที่ที่ดูแลก็จะเจอคนทุพพลภาพแสดงออกในลักษณะต่างๆ เช่น ถามอะไรก็ไม่ตอบ ก้าวร้าว ไม่ยอมรับภาวะตนเองจึงปฏิเสธการรักษา มีพฤติกรรมถดถอย เป็นต้น
นอกจากผู้ป่วยแล้ว ก็ยังมีครอบครัวของผู้ป่วยที่เจ้าหน้าทึ่จะต้องรับมือ และไหนจะปัญหาชีวิตครอบครัว เรื่องงาน เรื่องเงิน เป็นต้น ของเจ้าหน้าที่เองด้วย ดังนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะเกิดภาวะความเครียด หนักงานหนักใจ สะสมจนเกิดภาวะซึมเศร้า และหมดไฟในการทำงานได้ นั่นเอง (Burn Out) ❤️🩹
🎯 เป็นคำตอบของคำถามว่าทำไมถึงมีการสอนเจริญสติและสมาธิในวิชาชีพนี้
..แชร์ความรู้ที่ครูนักจิตวิทยาชาวอิตาเลียนหลายๆท่านถ่ายทอดมา
❤️🩹งานของใจ ก่อนจะหมดไฟ❤️🩹
🩺 นั่นก็เพราะว่าเป็นการทำงานกับ "คน" ที่มีทั้งความเหมือนและความต่างกัน
#ในมิติความเหมือนคือ มีอวัยวะ มีการทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย มีการทำงานของสมอง และมีความรู้สึก
#ในมิติความต่างคือ การอบรมเลี้ยงดู การศึกษา ประสบการณ์ชีวิต การทำงาน สังคม การเมือง ศาสนา
🩺 เมื่อคนที่เคยมีบทบาทเป็นพ่อ แม่ ครู หมอ ศิลปิน นักกีฬา วิศวกร พนักงานออฟฟิศ ฯลฯ แล้วมามีความทุพพลภาพ ไม่ว่าสาเหตุจากอุบัติเหตุ หรือความเจ็บป่วยทางด้านร่างกายและจิตใจ ต้องนั่งรถเข็น ติดเตียง ใส่แพมเพิส หายใจลำบากต้องให้ออกซิเจนทางสายยางเพิ่ม มีท่อสวนปัสสาวะ อุจจาระทางหน้าท้อง รับอาหารทางสายยางต่อกับจมูกลงกระเพาะ หรือต่อกับหน้าท้องลงลำไส้ ฯลฯ ซึ่งแต่ละคนก็จะรับมือกับสถานภาพนั้นๆได้แตกต่างกัน
🔺 ในทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์นั้น ฐานล่างสุดของทฤษฎีเป็นเรื่องเกี่ยวกับ การกิน การนอน การขับถ่าย การเคลื่อนไหว การหายใจ และการสืบพันธุ์
แล้วลำดับขั้นความต้องการขั้นนี้ของคนทุพพลภาพ ก็ไม่ได้รับการตอบสนองด้วยดีเหมือนคนที่ปกติ จึงส่งผลกระทบต่อทั้งร่างกายและจิตใจ เมื่อความต้องการด้านนี้ขาดสมดุล ก็กระทบกับความต้องการขั้นอื่นๆด้วย เช่น ความต้องการด้านความปลอดภัย ความต้องการการยอมรับทางสังคม การนับถือตนเอง และการเข้าถึงศักยภาพสูงสุดของตน
เมื่อคนถูกคุกคามด้วยภาวะดังกล่าว ก็จะเกิดกลไกป้องกันตัวและใช้ยุทธวิธีการรับมือต่างๆ เพื่อเป็นการสร้างสมดุลและเยียวยาตนเอง ดังนั้นเจ้าหน้าที่ที่ดูแลก็จะเจอคนทุพพลภาพแสดงออกในลักษณะต่างๆ เช่น ถามอะไรก็ไม่ตอบ ก้าวร้าว ไม่ยอมรับภาวะตนเองจึงปฏิเสธการรักษา มีพฤติกรรมถดถอย เป็นต้น
นอกจากผู้ป่วยแล้ว ก็ยังมีครอบครัวของผู้ป่วยที่เจ้าหน้าทึ่จะต้องรับมือ และไหนจะปัญหาชีวิตครอบครัว เรื่องงาน เรื่องเงิน เป็นต้น ของเจ้าหน้าที่เองด้วย ดังนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะเกิดภาวะความเครียด หนักงานหนักใจ สะสมจนเกิดภาวะซึมเศร้า และหมดไฟในการทำงานได้ นั่นเอง (Burn Out) ❤️🩹
🎯 เป็นคำตอบของคำถามว่าทำไมถึงมีการสอนเจริญสติและสมาธิในวิชาชีพนี้
..แชร์ความรู้ที่ครูนักจิตวิทยาชาวอิตาเลียนหลายๆท่านถ่ายทอดมา