สรุปวิกฤติ ภาษีทรัมป์ โลกกำลังเข้าสู่ GREAT DEPRESSION

สรุปวิกฤติ ภาษีทรัมป์ โลกกำลังเข้าสู่ GREAT DEPRESSION /โดย ลงทุนแมน



- ครั้งสุดท้ายที่โลกเจอ Great Depression คือปี ค.ศ.1930 หรือเมื่อ 95 ปีที่แล้ว เป็นช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลกกินเวลา 10 ปี

ในระหว่างปี 1929 - 1933 อะไรเกิดขึ้นบ้าง ?

- GDP ทั่วโลกหดตัวลง 15%-20%
- GDP สหรัฐอเมริกาลดลง 46% (เทียบกับ วิกฤติซับไพรม์ GDP สหรัฐอเมริกาลดลงแค่ 1%)
- การค้าโลกลดลง 50% ทั่วโลก
- และสิ่งที่ทำให้การค้าโลกลดลงในตอนนั้น ก็เพราะ การตั้งกำแพงภาษี Smoot-Hawley ของสหรัฐอเมริกาที่เหมือนกับกำแพงภาษีของทรัมป์ในตอนนี้..

และแรงกดดันที่เศรษฐกิจตกต่ำในตอนนั้น ก็นำไปสู่เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์หลายเรื่อง เช่น
- ปี 1932 ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง

ในตอนนั้นนอกจากสหรัฐอเมริกาแล้ว เยอรมนี เป็นหนึ่งในประเทศที่มีแรงกดดันทางเศรษฐกิจสูงที่สุด และเป็นผลทำให้
- ปี 1939 โลกเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ..

จนถึงตอนนี้เราคนไทย ต้องรู้อะไรบ้าง ?
โลกกำลังเข้าสู่เหตุการณ์ Black Swan ครั้งใหม่ ที่ไม่เคยเกิดมาก่อนในรอบ 95 ปี หรือไม่
ระเบียบการค้าเสรีของโลกที่เป็นมาเกือบร้อยปี จะเปลี่ยนไปอย่างไร
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง..

ดอนัลด์ ทรัมป์ ไม่ใช่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรก ที่ประกาศทำสงครามการค้ากับประเทศต่าง ๆ แต่เป็นชายที่ชื่อว่า เฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์ ที่ประกาศสงครามการค้าในปี 1930

ในตอนนั้น หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง ยุโรปที่เคยเจ็บหนักเริ่มฟื้นตัว ทั้งโรงงานอุตสาหกรรมและไร่นา กลับมาผลิตสินค้าได้ตามปกติ สินค้าอเมริกันเริ่มส่งออกสินค้าไปยุโรปได้น้อยลงต่อเนื่อง

นอกจากนั้นก็มีการร่วงลงอย่างรุนแรงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปี 1929 ที่ซ้ำเติมเศรษฐกิจ

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ชื่อว่า เฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์ แก้ปัญหา ด้วยการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมจากยุโรป สูงสุดถึง 60% ในปี 1930 โดยกฎหมายนั้นถูกเรียกว่า Smoot-Hawley Act คล้ายกับ Reciprocal Tariff Act ของทรัมป์ในตอนนี้

แต่แทนที่จะช่วยแก้ปัญหาได้ กลับทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง..

เพราะฝั่งยุโรปเองก็ตอบโต้ทันที ด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เช่นกัน สุดท้าย เศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็เจ็บหนักมากกว่าเดิม เนื่องจากส่งออกได้น้อยลง แถมยังทำให้การค้าระหว่างประเทศลดน้อยลง จนส่งผลร้ายต่อทุกประเทศไปทั่วโลก

ในช่วงนั้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ ลดลงมากถึง 89% ภายใน 3 ปี พูดง่าย ๆ ให้เห็นภาพ ถ้าเราซื้อกองทุนดัชนีสหรัฐฯ ไป 100 บาท เวลาผ่านไป 3 ปี เงินของเราจะเหลือ 11 บาท..

และกว่าที่ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะกลับมาระดับเดิมได้ ก็ต้องใช้เวลานานถึง 25 ปี..

มาถึงตอนนี้ ทุกคนคงมีคำถามสำคัญว่า
แล้ว GREAT DEPRESSION นี้มันจะเกิดขึ้นกับโลกเราอีกครั้งหรือไม่ ?

ประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้น สหรัฐฯเจ็บหนักมาก่อน
แล้วทำไมทรัมป์ ยังเลือกทำ ?

ทรัมป์เป็นบุคคลที่เชื่อในเรื่องการดีล การเจรจา การใช้อำนาจที่มีอยู่ในการขู่เพื่อให้ข้อตกลงที่เป็นประโยชน์กับประเทศ ทุกคนในตอนแรกก็เชื่อกันว่า ทรัมป์ ทำเพื่อเจรจา ไม่ได้คิดจะทำจริง

แต่แล้ว วันที่ 2 เมษายน 2025
ทรัมป์ได้ประกาศ Reciprocal Tariff Act เพื่อกำหนดภาษีนำเข้า โดยแบ่งเป็น

1. ภาษีพื้นฐาน 10% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2025 แปลว่าต่อไปนี้ทุกประเทศที่ส่งออกสินค้าเข้าสหรัฐอเมริกา โดนภาษีนำเข้า 10% ทั้งหมด..

2. ภาษีเพิ่มเติมตามประเทศ โดยยึดจากการขาดดุลของสหรัฐอเมริกาต่อประเทศนั้นเป็นหลัก ประเทศไหนที่ส่งสินค้าออกมาหาสหรัฐอเมริกา มากกว่านำเข้าสินค้าอเมริกันเข้าประเทศ ก็จะเก็บภาษีประเทศนั้นมาก

ดังนั้น ประเทศที่มีฐานการผลิตทั้งหลาย ก็จะโดนทั่วหน้า เช่น จีน เวียดนาม ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย..

สรุปตัวอย่างภาษีนำเข้ารายประเทศก็คือ

จีน 34% (เมื่อรวมกับของเก่าจะเป็น 54%)
เวียดนาม 46%
ไทย 36%
ญี่ปุ่น 24%
เกาหลีใต้ 25%
สหภาพยุโรป 20%

ทีนี้ก็ต้องรอดูว่าแต่ละประเทศจะตอบสนองต่อเรื่องนี้อย่างไร ?

ถ้าเลือกที่จะสู้กลับ ก็จะเป็นแบบประเทศจีนที่ประกาศภาษีนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา 34% เช่นกัน

หรือประเทศที่เลือกจะเจรจา ซึ่งตอนนี้ที่เห็นก็จะเป็น เวียดนาม และไทย

ผลกระทบที่ตามมาคืออะไร ?

ข้อแรกประเทศที่เลือกสู้กลับ
แน่นอนว่าการค้าระหว่างประเทศของ 2 ประเทศที่สู้กัน จะลดลงมหาศาล
จีนจะส่งออกไปสหรัฐอเมริกาน้อยลงมาก
สหรัฐอเมริกาจะส่งออกไปจีนน้อยลงมาก

ต่อมาประเทศที่เลือกหมอบและเจรจา
ส่วนใหญ่ประเทศเหล่านี้ก็ต้องยอมลดภาษีนำเข้าที่มีต่อสหรัฐอเมริกา ที่เดิมมีเพื่อปกป้องสินค้าที่ผลิตในประเทศ
อย่างประเทศไทย ก็คงต้องยอมลดภาษีนำเข้าด้านการเกษตร และยอมให้ธุรกิจภายในได้รับผลกระทบ

ประเทศไทย หรือประเทศอื่น ๆ อาจต้องยอมซื้อของชิ้นใหญ่จากสหรัฐอเมริกา แบบรัฐต่อรัฐมากขึ้นเพื่อเพิ่มอัตราการนำเข้าให้มาสมดุลกับการส่งออก เช่น เครื่องบิน อาวุธยุทโธปกรณ์

ประเทศไทย หรือประเทศอื่น ๆ อาจต้องยอมทำตามเรื่องภูมิรัฐศาสตร์บางประการที่เป็นประโยชน์ต่อสหรัฐอเมริกา

แล้วอะไรจะเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจโลก ?

ลองนึกภาพว่าถ้าเราเป็นเจ้าของธุรกิจที่มีการผลิตส่งออกไปทั่วโลก เราจะทำอย่างไร ?
สิ่งที่จะเกิดขึ้นเลยคือ ผู้ค้าระหว่างประเทศจะลดกำลังการผลิตไปก่อน เพื่อดูสถานการณ์ เช่นล่าสุด มีข่าวว่านินเทนโดผู้ผลิตเกม เลื่อนการเปิดตัว Switch 2 ออกไปเพราะเหตุการณ์นี้

ดังนั้นเมื่อผลิตน้อย ก็จะทำให้เกิดการจ้างงานที่น้อยลงทั่วโลก เศรษฐกิจก็มีความเสี่ยงที่ชะลอตัว หรือถ้าลากยาวก็จะถดถอยหรือเกิด Recession

คำว่า Recession หรือ ภาวะเศรษฐกิจถดถอย คือการที่ GDP ติดลบติดต่อกัน 2 ไตรมาส

และสำหรับคำต่อไปจาก Recession ก็คือ Stagflation ที่น่าจะเกิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกา

Stagflation เกิดจากการรวมคำกัน ระหว่าง
- Stagnation ที่หมายถึง ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว หรือเติบโตน้อย (ซึ่งโดยทั่วไปจะน้อยกว่า 2% ต่อปี)
- Inflation ที่หมายถึง ภาวะเงินเฟ้อ

ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อต้องนำเข้าสินค้าในอัตราภาษีที่สูง ก็จะทำให้มีราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นในประเทศ และก่อให้เกิดเงินเฟ้อ

เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาก็มีแนวโน้มที่จะชะลอตัวเพราะ ราคาสินค้าที่สูงขึ้นจะทำให้การบริโภคลดลง และการส่งออกสินค้าอเมริกันไปหาประเทศที่ตั้งกำแพงภาษีกลับเช่น จีน ได้น้อยลง

Stagflation เป็นภาวะเศรษฐกิจที่น่ากังวลอย่างมาก เพราะความยากในการแก้ปัญหาและใช้เวลาในการฟื้นตัว เปรียบเสมือนรถยนต์ที่กำลังถูกเบรก กว่าจะกลับมาเร่งใหม่ก็ต้องใช้เวลา

และในกรณีที่เลวร้ายสุด คำต่อไปจาก Stagflation ก็คือ Great Depression

Great Depression คือคำที่ใช้เรียกช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำเป็นเวลานาน
- GDP ทั่วโลกลดลงในระดับ 10% ขึ้นไป
- การที่มีความยากจนกระจายไปทั่ว ผู้คนไม่สามารถซื้อสิ่งของจำเป็นในชีวิตได้
- มีคนว่างงานเกิดขึ้นจำนวนมากทั่วโลก
- มีธนาคารล้มละลายเป็นจำนวนมาก เพราะผู้คนต่างถอนเงิน ไม่มีใครฝากเงิน
ซึ่งเหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาเกือบร้อยปีแล้วนับตั้งแต่ปี 1930

เหตุการณ์เลวร้ายสุดที่จะทำให้เกิด Great Depression
คือในกรณีที่ทุกประเทศเลือกที่จะตั้งกำแพงภาษีใส่สหรัฐอเมริกากลับ
- การค้าโลกจะลดลงอย่างมาก
- GDP ทั่วโลกจะหดตัวลงอย่างหนัก
- GDP สหรัฐอเมริกาจะลดลงมากที่สุด เพราะเป็นประเทศเดียวที่ทำสงครามกับทุกประเทศ

ถ้าสถานการณ์เป็นอย่างนี้ต่อเนื่องและยาวนาน จะเริ่มส่งผลกระทบต่อมนุษย์ทั่วโลก
- เศรษฐกิจหดตัว
- ผู้ผลิตสินค้าจะเริ่มผลิตน้อยลง
- คนมีกำลังซื้อน้อยลง
- มีคนว่างงานเกิดขึ้นในระบบ มีคนยากจนเพิ่มขึ้น ภาครัฐต้องคอยหาเงินมาช่วยเหลือ
- รัฐบาลจะมีภาระด้านงบประมาณเพิ่มขึ้น

ถ้าเป็นแบบนั้นจริงโลกจะเข้าสู่ระเบียบใหม่ ที่ไม่เหมือนเดิมอย่างที่เป็นมาเกือบร้อยปี
“โลกของเราจะไม่ใช่โลกที่มีการค้าเสรีอีกต่อไป”

เมื่อก่อนประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำในโลกการค้าเสรี และคอยเป็นตัวอย่างความสำเร็จให้แก่ประเทศอื่น

ในเวลานี้เรื่องราวกลับตรงกันข้าม
ประเทศที่เป็นผู้นำ กลับเป็นตัวอย่างในการทำลายการค้าเสรี

ดังนั้นต่อไป โลกของเราอาจแบ่งเป็น 2 ขั้ว
1. โลกที่ค้าขายกันเอง
2. โลกที่ค้าขายกับสหรัฐอเมริกา

สินค้าเดียวกัน
โลกที่ค้าขายกันเองอาจมีราคา 100 บาท
แต่ที่สหรัฐอเมริกากลับมีราคา 120 บาท เพราะมีกำแพงภาษี

คนอเมริกันต้องจ่ายสินค้าแพงขึ้น
และคนทั้งโลกก็ต้องได้รับผลกระทบเป็นลูกโซ่ตามกันไป

สำหรับลงทุนแมน
สิ่งที่อยู่เบื้องหลังของเรื่องราวทั้งหมดก็คือ
ตอนนี้ประเทศสหรัฐอเมริกาสูญเสียความเป็นผู้นำในเรื่องการผลิตให้กับประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศจีน

ทรัมป์อาจรู้ดีว่าถ้าปล่อยไป สหรัฐอเมริกาจะต้องเจอความท้าทายยิ่งกว่านี้ในอนาคต
การเลือกที่จะเล่นใหญ่ตอนนี้ ก็เหมือนกับการเล่นเกมไปแล้วรู้สึกว่าน่าจะแพ้ เลยอยากเปลี่ยนกติกาใหม่ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป แล้วเปลี่ยนอะไรไม่ได้

ในใจลึก ๆ สหรัฐอเมริการู้ประวัติศาสตร์ดี ว่า Great Depression มันน่ากลัว
การตั้งกำแพงภาษีมีแต่เสียกับเสีย
ดังนั้นสหรัฐอเมริกาคงคิดว่า ในที่สุดพอเจรจาเสร็จ โลกเสรีนี้อาจจะต้องดำเนินต่อไป เพราะถ้าทุกคนแย่กันหมด สหรัฐอเมริกาก็ไปต่อไม่ได้

แต่ทรัมป์ก็คือทรัมป์ ทุกอย่างคาดเดายาก
และเรื่องการลงทุนในตอนนี้ที่ดูเหมือนง่าย มันก็คาดเดายากเช่นกัน

ถ้าออกหัว ราคาในตลาดหุ้นที่เป็นอยู่ตอนนี้อาจเป็น “โอกาสทอง” และน่าจะทำกำไรให้มหาศาลให้กับผู้ลงทุน

แต่ถ้าออกก้อย ทุกอย่างจะพังทลายอย่างรวดเร็ว
และ กว่าจะรู้ตัวอีกที
เราก็อาจอยู่ใน Great Depression แล้ว..

https://www.facebook.com/share/p/1A2PRKXGhw/

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่