1926-1932
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88
อุทาหรณ์ที่หนักหนาที่สุดเกิดขึ้นในปี 1930 เมื่อมีการเสนอกฎหมายขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าโดยเฉลี่ยเป็นประมาณ 20% ผ่านความเห็นชอบคองเกรสออกมาบังคับใช้ เป้าหมายในเวลานั้นแต่เดิมเป็นการให้ความคุ้มครองต่อเกษตรกรอเมริกัน แต่ต่อมาขยายความคุ้มครองไปถึงอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ล็อบบี้คองเกรส
ประเทศผู้ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกา แก้ปัญหาอุปสงค์ในสินค้าตัวเองหดหายไปแบบเฉียบพลันเพราะราคาที่สูงขึ้นในตลาดอเมริกันด้วยการถ้าไม่ขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้ก็พากันลดค่าเงินของตนเองลง
นักวิชาการหลายคนเชื่อว่า การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐหนนั้นส่งผลให้เกิดสิ่งที่รู้จักกันในเวลาต่อมาในชื่อ “เดอะ เกรต ดีเพรสชั่น” คือภาวะเศรษฐกิจตกต่ำต่อเนื่องยาวนานที่ลามออกไปทั่วโลก
ตัวอย่างที่แสดงให้เห็นชัดว่า การตั้งกำแพงภาษีนั้นสร้างผลเสียให้เกิดขึ้นมากกว่าผลประโยชน์ที่จะได้รับก็คือ การขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช เมื่อปี 2002 ตัวเลขที่คณะกรรมการการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (ยูเอสไอทีซี) แสดงให้เห็นว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐอเมริกาลดลงเป็นมูลค่า 30.4 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ผู้ใช้แรงงานอเมริกันต้องตกงานประมาณ 200,000 ตำแหน่ง โดยประมาณว่า 13,000 ตำแหน่งในจำนวนนั้นอยู่ในอุตสาหกรรมผลิตเหล็กกล้า
สถาบันปีเตอร์สันเพื่อเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ประมาณว่า การขึ้นภาษีของบุชสร้างความเสียหายคิดเป็นมูลค่า 400,000 ดอลลาร์ต่อ1 ตำแหน่งงานที่เสียไป องค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ยังชี้ขาดในเวลาต่อมาด้วยว่า การขึ้นภาษีของบุชครั้งนั้น เป็นการกระทำละเมิดกฎการค้าระหว่างประเทศ
ดูเหมือนครั้งเดียวที่การใช้ “ไม้แข็ง” ทำนองนี้ประสบความสำเร็จคือ “การเล่นงานญี่ปุ่น” เมื่อ 3 ทศวรรษก่อน เมื่อฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน กดดันจนญี่ปุ่นตกลงที่จะ “ระงับการส่งออกโดยสมัครใจ” เพื่อจำกัดจำนวนรถยนต์ที่ส่งออกไปยังสหรัฐ
ทางหนึ่งนั้นเนื่องจากญี่ปุ่นไม่เพียงเป็นพันธมิตรของสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ยังพึ่งพาทหารอเมริกันในการคุ้มครองประเทศอีกด้วย ในอีกทางหนึ่งเป็นเพราะญี่ปุ่นพบหนทางเลี่ยงปัญหาดังกล่าว ด้วยการไปปักหลักสร้างโรงงานผลิตขึ้นทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกาเอง
ที่น่าสนใจก็คือ หนึ่งในเจ้าหน้าที่ซึ่งทำเรื่องนี้ให้กับเรแกน คือ “โรเบิร์ต ไลต์ไฮเซอร์” ซึ่งในเวลานี้ดำรงตำแหน่ง “ผู้แทนการค้า” ที่เป็นตำแหน่งสูงสุดสำหรับทำหน้าที่เจรจาการค้าของโดนัลด์ ทรัมป์
อาจเป็นเพราะกรณีนี้ ทรัมป์ ถึงได้ทวีตข้อความเอาไว้เมื่อ 2 มีนาคมที่ผ่านมาว่า “สงครามการค้า” นั้น “ดี” และ “เอาชนะได้ง่าย”
แต่ “จีน” ไม่ใช่ “ญี่ปุ่น” แน่นอน เพราะจีนไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการคุ้มครองทางการทหารจากสหรัฐ และภายในประเทศจีนก็มีแรงกดดันต่อผู้รับผิดชอบมากขึ้นเรื่อย ๆ ให้ “ตอบโต้” สหรัฐอเมริกาให้หนักพอ ๆ กัน
หากสหรัฐอเมริกาคาดหวังว่าการ “ใช้ไม้แข็ง” ครั้งนี้จะช่วยให้จีนยินดีนั่งโต๊ะเจรจาด้วยและยินยอมต่อข้อต่อรองของสหรัฐอเมริกาโดยเร็ว ก็คงเป็นความคาดหวังที่ยากจะเป็นจริงได้
แต่ที่จะเป็นจริงก็คือระหว่างการเจรจานั้น การตอบโต้ซึ่งกันและกันทางการค้าก็คงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ และสามารถหลุดออกนอกการควบคุมได้โดยง่ายนักวิชาการถึงได้บอกว่า สงครามการค้านั้น นอกจากจะไม่เป็นผลดีกับใครแล้ว ยังเกิดง่ายดายมาก แต่จบยากอย่างยิ่งอีกด้วย
อ้างอิง
https://www.prachachat.net/world-news/news-137317
2
https://www.thairath.co.th/content/1247872
1930 เคยมีสงครามการค้า ///1926-1932 เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ๋
อุทาหรณ์ที่หนักหนาที่สุดเกิดขึ้นในปี 1930 เมื่อมีการเสนอกฎหมายขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าโดยเฉลี่ยเป็นประมาณ 20% ผ่านความเห็นชอบคองเกรสออกมาบังคับใช้ เป้าหมายในเวลานั้นแต่เดิมเป็นการให้ความคุ้มครองต่อเกษตรกรอเมริกัน แต่ต่อมาขยายความคุ้มครองไปถึงอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ล็อบบี้คองเกรส
ประเทศผู้ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกา แก้ปัญหาอุปสงค์ในสินค้าตัวเองหดหายไปแบบเฉียบพลันเพราะราคาที่สูงขึ้นในตลาดอเมริกันด้วยการถ้าไม่ขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้ก็พากันลดค่าเงินของตนเองลง
นักวิชาการหลายคนเชื่อว่า การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐหนนั้นส่งผลให้เกิดสิ่งที่รู้จักกันในเวลาต่อมาในชื่อ “เดอะ เกรต ดีเพรสชั่น” คือภาวะเศรษฐกิจตกต่ำต่อเนื่องยาวนานที่ลามออกไปทั่วโลก
ตัวอย่างที่แสดงให้เห็นชัดว่า การตั้งกำแพงภาษีนั้นสร้างผลเสียให้เกิดขึ้นมากกว่าผลประโยชน์ที่จะได้รับก็คือ การขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช เมื่อปี 2002 ตัวเลขที่คณะกรรมการการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (ยูเอสไอทีซี) แสดงให้เห็นว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐอเมริกาลดลงเป็นมูลค่า 30.4 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ผู้ใช้แรงงานอเมริกันต้องตกงานประมาณ 200,000 ตำแหน่ง โดยประมาณว่า 13,000 ตำแหน่งในจำนวนนั้นอยู่ในอุตสาหกรรมผลิตเหล็กกล้า
สถาบันปีเตอร์สันเพื่อเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ประมาณว่า การขึ้นภาษีของบุชสร้างความเสียหายคิดเป็นมูลค่า 400,000 ดอลลาร์ต่อ1 ตำแหน่งงานที่เสียไป องค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ยังชี้ขาดในเวลาต่อมาด้วยว่า การขึ้นภาษีของบุชครั้งนั้น เป็นการกระทำละเมิดกฎการค้าระหว่างประเทศ
ดูเหมือนครั้งเดียวที่การใช้ “ไม้แข็ง” ทำนองนี้ประสบความสำเร็จคือ “การเล่นงานญี่ปุ่น” เมื่อ 3 ทศวรรษก่อน เมื่อฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน กดดันจนญี่ปุ่นตกลงที่จะ “ระงับการส่งออกโดยสมัครใจ” เพื่อจำกัดจำนวนรถยนต์ที่ส่งออกไปยังสหรัฐ
ทางหนึ่งนั้นเนื่องจากญี่ปุ่นไม่เพียงเป็นพันธมิตรของสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ยังพึ่งพาทหารอเมริกันในการคุ้มครองประเทศอีกด้วย ในอีกทางหนึ่งเป็นเพราะญี่ปุ่นพบหนทางเลี่ยงปัญหาดังกล่าว ด้วยการไปปักหลักสร้างโรงงานผลิตขึ้นทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกาเอง
ที่น่าสนใจก็คือ หนึ่งในเจ้าหน้าที่ซึ่งทำเรื่องนี้ให้กับเรแกน คือ “โรเบิร์ต ไลต์ไฮเซอร์” ซึ่งในเวลานี้ดำรงตำแหน่ง “ผู้แทนการค้า” ที่เป็นตำแหน่งสูงสุดสำหรับทำหน้าที่เจรจาการค้าของโดนัลด์ ทรัมป์
อาจเป็นเพราะกรณีนี้ ทรัมป์ ถึงได้ทวีตข้อความเอาไว้เมื่อ 2 มีนาคมที่ผ่านมาว่า “สงครามการค้า” นั้น “ดี” และ “เอาชนะได้ง่าย”
แต่ “จีน” ไม่ใช่ “ญี่ปุ่น” แน่นอน เพราะจีนไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการคุ้มครองทางการทหารจากสหรัฐ และภายในประเทศจีนก็มีแรงกดดันต่อผู้รับผิดชอบมากขึ้นเรื่อย ๆ ให้ “ตอบโต้” สหรัฐอเมริกาให้หนักพอ ๆ กัน
หากสหรัฐอเมริกาคาดหวังว่าการ “ใช้ไม้แข็ง” ครั้งนี้จะช่วยให้จีนยินดีนั่งโต๊ะเจรจาด้วยและยินยอมต่อข้อต่อรองของสหรัฐอเมริกาโดยเร็ว ก็คงเป็นความคาดหวังที่ยากจะเป็นจริงได้
แต่ที่จะเป็นจริงก็คือระหว่างการเจรจานั้น การตอบโต้ซึ่งกันและกันทางการค้าก็คงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ และสามารถหลุดออกนอกการควบคุมได้โดยง่ายนักวิชาการถึงได้บอกว่า สงครามการค้านั้น นอกจากจะไม่เป็นผลดีกับใครแล้ว ยังเกิดง่ายดายมาก แต่จบยากอย่างยิ่งอีกด้วย
อ้างอิง https://www.prachachat.net/world-news/news-137317
2 https://www.thairath.co.th/content/1247872