ราคาน้ำมันดิบจะไปทางไหน ท่ามกลางแรงกดดัน ทั้งกำลังซื้อ และ การผลิต



ความผันผวนของราคาน้ำมันท่ามกลางปัจจัยที่ผกผัน ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบ Brent มีความ ผันผวนอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของอุปทาน โดยเฉพาะจากผู้ผลิตนอกกลุ่ม OPEC ขณะเดียวกันภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวอย่างเปราะบาง และความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศยังคงเป็นแรงกดดันต่อการขยายตัวของอุปสงค์พลังงาน โดยรวมส่งผลให้บรรยากาศในตลาดน้ำมัน (market sentiment) มีแนวโน้มเป็นลบ
.
รายงาน Wealth Insight ของทีม Wealth Research จากหลักทรัพย์บัวหลวง ระบุว่า แม้ในช่วงต้นปี 2025 ราคาน้ำมัน Brent จะปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบหกเดือนที่ 81 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงกลางเดือนมกราคม
.
จากแรงหนุนของสภาพอากาศหนาวจัดในซีกโลกเหนือที่กระตุ้นความต้องการใช้พลังงานเพื่อทำความร้อน รวมถึงมาตรการคว่ำบาตรที่เข้มงวดยิ่งขึ้นของสหรัฐฯ ต่อรัสเซียและอิหร่าน
.
ซึ่งทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับภาวะตึงตัวของอุปทานในระยะสั้น กระตุ้นให้นักลงทุนเข้าสู่ตลาดเพื่อเก็งกำไร และดันราคาปรับขึ้นถึง 15% เมื่อเทียบกับจุดต่ำสุดในเดือนธันวาคม 2024 อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2025 ซึ่งเป็นวันที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ราคาน้ำมันดิบ Brent ได้อ่อนตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ
.
โดยปรับตัวลดลงถึง 13% สะท้อนถึงความกังวลต่อทิศทางตลาดน้ำมันโลกในอนาคต ทั้งนี้ผลสำรวจของ Reuters ชี้ว่าราคาน้ำมัน Brent ตลอดปี 2025 อาจเฉลี่ยอยู่ที่ 74.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งสะท้อนถึงขีดจำกัดของการปรับขึ้นของราคา
.
ความเสี่ยงขาลงของราคาน้ำมันดิบยังไม่หมดไป ในระยะสั้นตลาดน้ำมันยังคงเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ทั้งจากฝั่งอุปสงค์และอุปทาน รวมถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่อยู่ในระดับต่ำ และรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคาที่บ่งชี้ถึงแนวโน้มเชิงลบราคาน้ำมัน Brent จึงอาจยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ sideways down ซึ่งดำเนินมาตลอดช่วงปีที่ผ่านมา
.
ข้อมูลจากตลาดซื้อขายล่วงหน้าสะท้อนภาพเชิงลบ โดยอัตราส่วน long-to-short ratio ปรับตัวลดลงเหลือเพียง 1.6 เท่า จากระดับ 7.6 เท่าในช่วง 1 ปีก่อนหน้า และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 5.6 เท่าอย่างมีนัยสำคัญ ตัวเลขนี้บ่งชี้ ถึงความเชื่อมั่นที่ลดลงของเทรดเดอร์ต่อตลาดน้ำมันในปัจจุบัน
.
แนวโน้มของอุปทานน้ำมันมีโอกาสเข้าสู่ตลาดมากขึ้น โดยในช่วงที่ “โจ ไบเดน” ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ใช้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียอย่างเข้มงวด เพื่อลดรายได้ของมอสโกจากภาคพลังงานและจำกัดศักยภาพ ของรัสเซียในการทำสงคราม อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” รับตำแหน่งประธานาธิบดี มีแนวโน้มว่านโยบายดังกล่าวอาจถูกผ่อนปรน
.
โดยแหล่งข่าวจาก Reuters ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณายกเลิกบางมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตและผลักดันให้เกิดการเจรจาสันติภาพในยูเครน หากการคว่ำบาตรถูกยกเลิกอุปทานน้ำมันจากรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับสามของโลกอาจกลับเข้าสู่ตลาดมากขึ้น
.
นอกจากนี้ อุปทานน้ำมันจากกลุ่มผู้ผลิตนอก OPEC คาดว่าจะเติบโตถึง 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในปี 2025 ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของอุปสงค์น้ำมันโลก และเป็นอีกปัจจัยที่อาจสร้างแรงกดดันต่อราคา ทั้งนี้การผลิตน้ำมันจากลิเบีย คาซัคสถานและอิรัก ยังมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นเกินกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ขณะที่ OPEC ยังคงมีกำลังการผลิตส่วนเกิน (spare capacity) ถึง 4.18 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวตั้งแต่ปี 2024 ที่ 3.05 ล้านบาร์เรลต่อวัน
.
ภายใต้สถานการณ์ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลงมีความเป็นไปได้ที่ชาติสมาชิก OPEC บางรายอาจเลือกผลิตน้ำมันเกินโควต้าที่ได้รับการจัดสรร เพื่อชดเชยรายได้ที่ลดลงดังที่เคยเกิดขึ้นในอดีต หากเกิดการผลิตส่วนเกินในลักษณะนี้อุปทานนน้ำมันในตลาดโลกจะเพิ่มขึ้นเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ และกดดันให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงไปอีก
.
การบริโภคน้ำมันโลกมีโอกาสชะลอตัวมากกว่าคาด แม้ว่า International Energy Agency (IEA) คาดการณ์ว่าอุปสงค์น้ำมันโลกจะขยายตัว 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในปี 2025 แต่การเติบโตดังกล่าวถือว่าชะลอตัวลงอย่างมาก จากระดับเฉลี่ย 2.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในช่วงปี 2022- 2023 และยังมีโอกาสถูกปรับลดลงในอนาคต
.
เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐฯ ซึ่งอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยแบบอ่อนในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 ขณะที่นโยบายภาษีนำเข้าและการตอบโต้ทางการค้าภายใต้รัฐบาลทรัมป์อาจส่งผลกระทบต่อภาคขนส่งและอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นผู้ใช้พลังงานหลัก
.
สำหรับจีน ซึ่งเป็นผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก ความต้องการน้ำมันยังถูกกดดันจากปัญหาเงินฝืด รวมทั้งการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานทางเลือก โดยเฉพาะการใช้ LNG แทนน้ำมันดีเซลในภาคขนส่ง และยอดขายรถยนต์ พลังงานใหม่ (NEV) ที่เพิ่มขึ้นถึง 40%-50% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลให้การเติบโตของอุปสงค์น้ำมันของจีนชะลอตัวลง ซึ่งนับว่า มีความสำคัญ เนื่องจากจีนเป็นหนึ่งในประเทศหลักที่จะหนุนการเติบโตของอุปสงค์น้ำมันโลกในปีนี้
สรุป ตลาดน้ำมันดิบ Brent ยังคงมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ "sideways down"
.
โดยมีปัจจัยลบจากอุปสงค์และอุปทาน ที่ยังไม่เอื้อให้ราคาปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากระดับปัจจุบัน เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่รัฐบาล “โดนัลด์ ทรัมป์” จะผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย ซึ่งอาจทำให้อุปทานเพิ่มขึ้น ขณะที่กลุ่ม Non-OPEC ยังมีศักยภาพการผลิตมากขึ้น ส่วนเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่อาจเผชิญภาวะถดถอยแบบอ่อนจะยิ่งเป็นแรงกดดันต่ออุปสงค์ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ราคาน้ำมันดิบ Brent เพิ่งปรับตัวลงต่ำกว่า 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
.
ซึ่งเป็นระดับแนวรับทางจิตวิทยาที่สำคัญ และอาจลดลงไปทดสอบระดับ 62 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นกรณี bear case ของเรา สำหรับช่วงครึ่งแรกของปี 2568

PTT PTTEP ราคาจะเป็นยังไงต่อ เห็นขึ้นมาแรงมากเลย หรือแค่ reboundเพี้ยนหืม

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่